บทที่ 69 ตายทั้งตระกูล
เจียงอี้ถอยกลับมาและซ่อนตัวในพุ่มไม้อีกครั้ง หากพวกกเฬวรากพวกนี้กล้าที่จะทำเรื่องผิดศีลธรรมจริงๆ เขาก็จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วยมิฉะนั้นเขาอาจจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
หญิงสาวในชุดคลุมดำไม่ได้ตอบกลับพวกมัน ดวงตาของนางในตอนนี้อัดแน่นไปด้วยความโกรธ ในกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้าคน หนึ่งในนั้นสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่ดูหรูหราและยังมีดาบยาวเหน็บอยู่ที่เอว
ชายหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาที่ค่อนข้างดีแต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของเขาถูกแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มอันหื่นกระหาย แค่เหลือบมองเพียงครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่พวกสุภาพบุรุษอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่านายน้อยก่อนหน้านี้เหลือบมองไปยังกลุ่มของตนและกล่าวอย่างเฉยเมย “พวกเจ้าคิดว่าพวกเรายังอยู่ในเมืองเจียงหลิงหรือยังไง? นายน้อยผู้นี้กำลังจะเข้าร่วมกับสำนักจิตอสูร หากเกิดปัญหาขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ?”
“ท่านจะกลัวไปทำไมกันขอรับนายน้อย?!”
ชายที่มีร่างอันผอมแห้งซึ่งเป็นคนที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ได้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งขณะที่ใช้สายตาสำรวจไปทั่วทั้งร่างของหญิงสาว
“พวกเราไม่เห็นคนของสำนักมาลาดตระเวนแถวนี้ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานะของนายน้อย พวกมันจะกล้าทำให้ท่านขุ่นเคืองหรือ?”
“ไร้สาระ!”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่านายน้อยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจและกล่าว “ก็ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ระวังหลังให้ข้า… นายน้อยผู้นี้จะขอเป็นคนแรกเอง!”
เมื่อชายหนุ่มออกคำสั่ง พวกมันทั้งสี่คนที่เหลือก็เตรียมเฝ้าระวัง สีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย เห็นได้ชัดว่าหากหญิงสาวนางนี้คิดจะหลบหนี พวกมันก็จะยิงนางด้วยหน้าไม้อย่างไร้เมตตา
บัดซบ!
เจียงอี้สาปแช่งอยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่าพวกมันจะต้องไม่ได้ทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก พวกมันอาจจะเคยพรากความบริสุทธิ์ของหญิงสาวมากมายในเมืองของพวกมันและหากเจียงอี้คิดจะลงมือ เขาก็จะต้องสังหารพวกมันทั้งหมดเพื่อที่จะป้องกันเรื่องที่ไม่คาดฝันในอนาคต
แต่ปัญหาก็คือ… หากเขาสังหารพวกมันและถูกพบในภายหลัง ผลที่ตามมาจะต้องเลวร้ายเป็นแน่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะถูกตัดสิทธิ์จากสำนักจิตอสูร แม้แต่เจียงหยุนไฮ่ก็อาจจะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย!
เอาไงดี? จะเมินเฉย?
แน่นอนว่าตัวเลือกนี้เป็นไปไม่ได้ เจียงอี้รู้ตัวอยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่คนดี แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้น ยกตัวอย่างเช่น การคุกเข่า – เขาจะไม่ยอมคุกเข่าให้ใครหน้าไหนแม้ว่าเขาจะต้องตายก็ตาม หรือแม้แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ หากเขาไม่เข้าไปช่วยเหลือหรือทำอะไรสักอย่าง เรื่องนี้จะกลายเป็นปมในใจของเขาไปตลอดและยังจะส่งผลต่อเส้นทางแห่งเต๋าของเขาในอนาคต
ช่างหัวมัน! หากข้ากลัวปัญหานับตั้งแต่ตอนนี้แล้วข้าจะก้าวหน้าได้ยังไง?!
ในที่สุดเมื่อตัดสินใจได้ เจียงอี้ก็ทำการเคลื่อนไหวอย่างลับๆเพื่อเข้าใกล้ตำแหน่งของชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มและยังต้องคอยระมัดระวังหน้าไม้เหล่านั้น อาวุธพวกนี้อันตรายเกินไป หากพลาดเพียงครั้งเดียวนั่นก็หมายถึงต้องเอาชีวิตไปทิ้งทันที
“แม่หนู จงเป็นเด็กดีและไม่ต้องขยับไปไหนมิฉะนั้นหน้าไม้ของพวกเราอาจจะทำให้เจ้าบาดเจ็บได้ ไม่ต้องกลัว นายน้อยของพวกเรามีสถานะที่ไม่มีใครเทียบได้ ความจริงเจ้าอาจจะต้องขอบคุณที่เขาให้ความสนใจในตัวเจ้าด้วยซ้ำ…”
ชายสองคนที่อยู่ด้านหน้ากำลังเข้าใกล้หญิงสาวในชุดคลุมดำ เมื่อเห็นว่านางไม่กล้าเคลื่อนไหว พวกเขาก็แสยะยิ้มออกมาพร้อมกับใช้ดาบยาวข่มขู่และพุ่งเข้าใส่เพื่อที่จะฉีกเสื้อผ้าของนาง
ฟับบ!
ทันใดนั้นเองหญิงสาวก็เริ่มลงมือ ดาบยาวสีดำของนางส่องประกายและแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีเขียวพร้อมกับพุ่งไปยังชายที่อ่อนแอกว่าซึ่งอยู่ทางด้านซ้าย
“หืม?”
ม่านตาของอีกฝ่ายหดแคบลงและถอยหลังกลับด้วยความตกใจกลัว เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าการตวัดดาบของหญิงสาวจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ พริบตาเดียวปลายดาบก็ได้มาถึงที่ส่วนล่างของเขาและกำลังจะทะลวงเข้าไปในเป้าของเขาแล้ว!
“เจ้ากล้า?!”
ชายอีกคนตกใจและโกรธเกี้ยวเช่นเดียวกัน เขาอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้าและชักดาบออกมาเพื่อที่จะแทงไปด้านหลังของหญิงสาวด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า หากนางกล้าที่จะทำร้ายพี่น้องของเขา ดาบของเขาก็จะทะลวงร่างของนาง
ฟึบ!
ดาบยาวของหญิงสาวไม่ได้หยุดชะงักแต่อย่างใด มันยังคงไปพุ่งไปยังเป้าของอีกฝ่าย ด้วยการสั่นสะเทือนของดาบทำให้เสื้อผ้าของชายหนุ่มฉีกขาดพร้อมกับมีเลือดทะลักออกมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัวขณะที่กรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา!
“เจ้าเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?!”
ชายหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้าระเบิดจิตสังหารออกมา เขาแทงดาบยาวไปที่ด้านหลังของหญิงสาวอย่างไร้ปรานี แต่ในขณะที่ดาบเกือบจะสัมผัสกับหลังของนาง หญิงสาวก็ขยับเพียงเล็กน้อยซึ่งทำให้ดาบของอีกฝ่ายแทงทะลุไหล่ซ้ายของนางแทน
หญิงสาวผู้นี้ช่างมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก!
เจียงอี้ถึงกับยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชม ในเวลานี้เองเขาก็เพิ่มความเร็วเพื่อที่จะเข้าถึงตัวอีกสามคนที่เหลือ
อึก!
เป็นไปตามคาด หญิงสาวแสดงความเจ็บปวดแม้ว่าจะไม่ได้โดยจุดสำคัญแต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ดี ความจริงแล้วนางยอมที่จะให้ไหล่ซ้ายถูกแทงเพื่อที่จะได้มีโอกาสเข้าใกล้อีกฝ่าย ดาบของนางเปรียบเสมือนอสรพิษ ด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียวปลายดาบของนางก็แทงทะลุตันเทียนของอีกฝ่ายแล้ว
“เหล่าซื่อ! เหล่าอู่!”
นายน้อยและพรรคพวกที่เหลือต่างก็จ้องมองไปยังฉากตรงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ สาวน้อยวัยเพียงแค่สิบหกปีมีความสามารถในการต่อสู้ที่โหดเหี้ยมเช่นนี้เชียวหรือ? นางทำให้ชายฉกรรจ์สองคนกลายเป็นคนพิการในพริบตา
“ยิงเลย! สังหารนางซะ!”
นายน้อยผู้นั้นโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เขายิงลูกศรออกจากหน้าไม้ในมือ ลูกน้องอีกสองคนที่เหลือก็ตื่นจากภวังค์และเหนี่ยวไกทันที
ฟิ้วว!
แต่ทันใดนั้นเอง แผ่นไม้ลึกลับก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ มันปรากฏตัวออกมาในจังหวะที่สมบูรณ์แบบซึ่งเข้าขวางระหว่างลูกศรและหญิงสาว
ปัก! ปัก! ปัก!
ลูกศรทั้งสามปักเข้าไปในแผ่นไม้อย่างพอดิบพอดี นายน้อยและชายหนุ่มอีกสองคนเมื่อเห็นแบบนั้นก็แสดงความตื่นตระหนกออกมา พวกเขาหันไปมองที่พุ่มไม้อย่างพร้อมเพียง แต่จู่ๆพวกเขาก็มองเห็นเงาดำจำนวนนับไมถ้วนถูกยิ่งใส่พวกเขาแทน ในเวลาเดียวกันก็ได้มีร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้าหาพวกเขาด้วยความเร็วที่เทียบได้กับเสือดาว
ทั้งสามไม่มีเวลามากพอให้บรรจุลูกศรลงหน้าไม้ ดังนั้นพวกมันจึงต้องชักดาบออกมาแทน พวกมันแต่ละคนกวัดแกว่งดาบเพื่อป้องกันลูกหินที่เจียงอี้ปามา หนึ่งในนั้นพุ่งเข้าหาเจียงอี้ในขณะที่อีกคนพุ่งไปทางหญิงสาวในชุดคลุมสีดำ
“เพียงแค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าแต่กล้าเข้ามาแส่เรื่องของพวกเรา? เช่นนั้นก็จงตายเสียเถอะ!”
ชายที่กำลังเล็งเป้ามาที่เจียงอี้เป็นจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ด ดวงตาของเขาอัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร เขาจับดาบด้วยสองมือและเล็งไปที่คอของเจียงอี้
แก่นแท้พลังสีดำ!
ในสถานการณ์ปัจจุบัน เจียงอี้ไม่กล้าที่จะปกปิดพลังที่แท้จริงอีกต่อไปเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะเกิดอันตราย เขาโคจรแก่นแท้พลังสีดำไปที่แขนซ้ายและกวัดแกว่งดาบสั้นสีนวลในมือ
ปัง!
ดาบทั้งสองเข้าปะทะกัน ฝ่ายตรงข้ามแสยะยิ้มออกมาเพราะเชื่อว่าตนเองเหนือกว่า แต่ทันใดนั้นเองการแสดงออกทางสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่ฝ่ามือของเจียงอี้ซึ่งกำลังเปล่งแสงสีดำและน้ำเงินออกมา
ตู้มม!
จอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดถูกกระแทกจนกระเด็น ในเวลาเดียวกันแขนข้างหนึ่งและดาบของเขาก็ปลิวออกไปพร้อมกับเลือดที่ไหลทะลัก
ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ของเจียงอี้มีพลังทำลายที่อย่างน่าเหลือเชื่อ ก่อนที่เขาจะทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้า เขาก็สามารถทำร้ายหม่าหยิ่นที่บรรลุขอบเขตจื่อฝู่ขั้นแรกจนบาดเจ็บสาหัสมาแล้ว ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาเพิ่มขึ้นมาก หากเจียงอี้ไม่ยับยั้งพลังบางส่วนไว้ เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะตัวระเบิดตายไปแล้ว
ยังไม่พอ!
เจียงอี้ยังไม่ค่อยพอใจนักหลังจากที่ล้มศัตรูได้หนึ่งคน เนื่องจากมีชายอีกคนพุ่งเข้าหาหญิงสาวในสุดคลุมสีดำแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแค่กัดฟันและวิ่งเข้าหานายน้อยซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม หากเขาต้องการที่จะช่วยเหลือหญิงสาว เขาก็ต้องรีบล้มนายน้อยคนนี้ลงซะ!
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ นายน้อยหนุ่มผู้นี้กลับสงบจนผิดปกติ เจียงอี้สามารถทำให้ลูกน้องของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ได้แสดงความตื่นตระหนกออก เขาเพียงแค่จ้องมองมาที่เจียงอี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“ไอ้ลูกหมา ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ให้เจ้ามาฆ่า เจ้ากล้าหรือไม่? ข้าลืมบอกไปว่าข้าคือเจียงฉีหลิน ลุงของข้าคือจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก, เจียงเปี๋ยหลี หากเจ้ากล้าที่จะแตะต้องข้า ข้าจะนำความตายไปสู่พวกเจ้าทั้งตระกูล!”