บทที่ 229 - การโต้ตอบ
บทที่ 229 - การโต้ตอบ
“เจ้าทำข้าตกใจแทบแย่!” หลี่เฟิงเกอพูดพร้อมกับแลบลิ้นออกมาแสดงออกถึงความรู้สึกกลัว "เจ้าสามารถหลบแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีได้ยังไงกัน เจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ๆ"
สีหน้าของหยางมู่คลายลง เขามองฉื่อหยานด้วยอาการเหวี่ยง พร้อมกับส่งสัญญาณให้ฉื่อหยานถอยกลับไปที่รูปแบบฝนอุกกาบาต
“หวือออ หวือออ หวือออ!”
เสียงลมพัดมาอย่างรุนแรง
คลื่นแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่ฉื่อหยานหลบพ้นก็ ได้ย้อนกลับมาและพุ่งมาจากทางด้านหลังของฉื่อหยานและบดขยี้พระราชวังอีกครั้ง
"เจ้าจะไม่หลบมันจริงๆรึ? "รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของ ฉาวจื่อหลาน "แสดงความกล้าหาญให้ข้าดูหน่อยเป็นไง "
“เสี่ยวหยาน อย่าฟังที่นางพูด แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีนี้เต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง เจ้าไม่สามารถจัดการมันได้แน่ อย่าฝืนจนเกินไป!” หยางมู่ตะโกน
หยางเค่อ และ หยางซู่ ต่างก็พยายามเตือนฉื่อหยานถึงเรื่องนั้น
ฉื่อหยานหลับตาลงอีกครั้ง
แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี ย้อนกลับมาทำให้พลังที่สามารถทำลายสวรรค์และพื้นดิน ซัดเข้าไปที่ด้านหลังของฉื่อหยาน
“บูม!”
เปลวไฟไหลออกจากร่างของฉื่อหยานอย่างต่อเนื่อง
พลังไฟที่ลุกโหมกระหน่ำมาจากแกนเพลิงทันทีมันก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของฉื่อหยานเหมือนกับทะเลเพลิง เสียงเผาไหม้แตกหักดังขึ้นในอากาสและพลังไฟที่สามารถทำลายได้ทุกสรรพสิ่งก็ลุงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกับที่แสงสีห้าสีที่หล่นพุ่งเข้าไปในทะเลเพลิงที่เกิดจากแกนเพลิง
“ชี่………..!”
ในทะเลเพลิงก็เกิดเสียงแปลกๆดังออกมา พวกเขาก็ได้เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีถูกเผาด้วยพลังไฟที่อยู่ภายในทะเลเพลิง
แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีก็ส่องประกายออกมาจากในทะเลเพลิง แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีนี้กำลังถูกเผาไหม้และอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว
แกนเพลิงกลายเป็นเปลวไฟนภา พลังของเปลวไฟนภานั้นสามารถทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนและ แผดเผาสิ่งมีชีวิตได้ทั้งหมด
ทะเลเพลิงที่เกิดจากแกนเพลิง มีคุณสมบัติธาตุของเปลวไฟนภาพลังเปลวไฟที่เผาไหม้นี้ สามารถเผาทำลายทุกสิ่งที่มันสัมพัสได้
แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่เข้าไปในทะเลเพลิงก็เริ่มกลายเป็นขี้เถ้า ด้วยเปลวไฟมันก็หมอดไหม้อย่างรวดเร็ว และเกิดเป็นควันและขี้เถ้าหลากสีไว้ด้านหลัง
“ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าข้าจะไม่หลบ”
ฉื่อหยานลืมตาขึ้นพร้อมกับจ้องไปที่ฉาวจื่อหลาน,ด้วยสายตาที่เย็นชาว่า "ภายในแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีของเจ้ามีห้วงจิตสำนึกและห้วงวิญญานของเจ้าอยู่ มันจึงสามารถติดตามตัวข้าได้, ในครั้งนี้ไม่ว่าข้าจะพยายามหลบหนีหรือไม่ ข้าก็ยังคงถูกไล่ตามโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีของเจ้าอยู่ดี ดังนั้นข้าจึงไม่หลบเลี่ยงมัน ”
“เจ้าสามารถรับรู้ถึงจิตสำนึกวิญญาณของข้าได้อย่างไร?” ดวงตาที่สวยงามของ ฉาวจื่อหลาน ส่องประกายออกมาด้วยความสงสัย, "มีเพียงนักรบระดับรู้แจ้งเท่านั้น ที่สามารถห้วงจิตสำนึกขึ้นมาได้ จึงจะสามารถสัมพัสได้ถึงจิตสำนึกวิญญานของข้าได้ เจ้าอยู่แค่ระดับหายนะเท่านั้น ทำไมถึงสามารถรู้สึกถึงจิตสำนึกวิญญานของข้าได้กัน ข้าไม่เข้าใจจริงๆ”
"มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้ายังไม่รู้" แววตาสีแดงของฉื่อหยานแสดงออกถึงการดูถูก จากนั้นเขาก็ตะโกนเบา ๆ : "โจมตีกลับ!!"
ภูตปีศาจยักษ์สามตนบินออกมาจากนอกพระราชวัง ในเวลาเดียวกันก็พุ่งตัวเข้าไปกลางกลุ่มนักรบ ห้วงจิตสำนึกของฉื่อหยานกลายเป็นพายุวิญญาณ อารมณ์เชิงลบเพิ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และเกิดเป็นพายุวิญญาณพุ่งชนผู้คนอย่างบ้าคลั่ง
นักรบที่มีระดับต่ำกว่ารู้แจ้ง ไม่สามารถสร้างห้วงจิตสำนึกขึ้นมาได้ ใช้ได้แค่เพียงพลังวิญญานเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถใช้มันเพื่อโจมตีวิญญานโดยตรงได้
อย่างไรก็ตามฉื่อหยานนั้นได้ใช้ไข่มุกรวมวิญญานเพื่อสร้างห้วงจิตสำนึกได้ก่อนที่จะุคงระดับนั้นอย่างเหลือเชื่อ ด้วยความช่วยเหลือของห้วงจิตสำนึกของเขา,ตั้งแต่แรกเขาก็ได้รู้ความลับเกี่ยวกับวิญญานของฉาวจื่อหลานแล้ว ขณะนี้เดียวกันตอนนี้เขาก็กำลอบโจมตีไปยังวิญญานของนักรบที่ตามล่าเขา
ด้วยการสร้างห้วงจิตสำนึกขึ้นมาได้ นั้นแสดงให้เห็นว่า ฉื่อหยานนั้นมีวิวัตณาการของวิญญานที่ประสบความสำเร็จมากกว่าทุกคนในที่นี่
ด้วยห้วงจิตสำนึก วิญญานของฉื่อหยานสามารถสัมพัสได้ถึงทุกสิ่งรอบๆ เขาสามารถใช้มันเพื่อโจมตีไปยังวิญญานของคนอื่นได้ มันเป็นการลอบโจมตีที่มีประสิทธิภาพมาก
ก่อนหน้าเขาไม่เคยใช้ห้วงจิตสำนึกมาก่อน แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ระเบิดมันออกมาเป็นพายุวิญญานเพื่อโจมตี!
เมื่อพายุวิญญาณพัดผ่านไป เหล่านักรบที่ไล่ล่าเขาดวงตาก็กลายเป็นสีแดง พวกเขาได้ลืมตัวตนของตนเองและยกอาวุธในมือขึ้นมาโจมตีสหายที่อยู่ข้างๆพวกเขา
คลื่นของพายุวิญญาณทำให้นักรบนับสิบกลายเป็นคนบ้าคลั่งและโจมตีกันเอง
ฉื่อหยานใช้ประโยชน์จากสถานการณ์โดยการควบคุมภูตปีศาจยักษ์สามตน ภูตปีศาจเหล่านี้เกิดขึ้นจากพลังงานเชิงลบมันลอบไปรอบๆสนามรบและผ่านร่างของเหล่านักรบ
เมื่อภูติปีศาจบินผ่านร่างของนักรบ พลังชีวิตของคนๆนั้นก็จะหายไปและตกตายลงทันที
ทันใดนั้นฉื่อหยานก็เดินข้ามร่างของพวกเขาและนั่งลงบนตัวของพวกเขา
เขาใช้จิตสำนึกในการควบคุมสามภูตปีศาจยักษ์ เขารวบรวมจิตสำนึกวิญญาณในเวลาเดียวกัน, เพื่อกระตุ้นอารมณ์เชิงลบและก่อให้เกิดพายุวิญญาณ ทำให้เหล่านักรบสูญเสียสติ และทำให้เหล่านักรบฝ่ายศัตรูต่อสู้กันเองอย่างบ้าคลั่ง
"จิตสำนึกวิญญาณ! นี่คือจิตสำนึกวิญญาณ! "
ด้วยจิตวิญญานต่อสู้ของฉาวจื่อหลาน หลังจากที่เห็นเหตุกาณ์นางก็เข้าใจทันที ช่วยไม่ได้ที่นางจะตะโกนออกมา สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“อะไรนะ!!”
ใบหน้าอันงดงามของกู่หลินหลงก็ เปลี่ยนไปอย่างมากนางส่ายหัวอย่างไม่น่าเชื่อ, "เจ้านั้น เห็นได้ชัดว่าอยู่แค่ระดับหายนะ แล้วเขาจะสร้างห้วงจิตสำนึกได้อย่างไร?"
ฉาวจื่อหลาน ไม่ตอบใดๆนางมองไปที่ฉื่อหยาน และนั่งลง แหวนบนมือของนางกระพริบและกลองสงครามสีแดงก็ปรากฏขึ้น
“บูม บูม บูม!”
นางอยู่ตรงข้ามกับฉื่อหยาน ฉาวจื่อหลานนั่งขัดสมาธและมือของนางก็เริ่มตีกลองสงคราม
เสียงกลองดูเหมือนจะมีพลังลึกลับบางอย่างที่สามารถทำให้จิตสำนึกวิญญานปั่นป่วน เสียงตีกลองเจาะเข้าไปในศรีษะของฉื่อหยาน ซึมลงไปในห้วงจิตสำนึกของเขา ทำให้เขาไม่สามารถสร้างจิตวิญญาณเพื่อสร้างรูปแบบการโจมตีได้อีก
กลองสงครามนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านห้วงจิตสำนึกของนักรบระดับรู้แจ้งอย่างชัดเจน
“ตึ้ม! ตึ้ม! ตึ้ม!”
เสียงกลองแปลกประหลาดดังขึ้นทั่วทั้งสนามรบ นักรบที่เสียสติจากพลังของห้วงจิตวิญญานของฉื่อหยาน ก็ได้สติกลับคืนและค่อยๆตื่นขึ้นอย่างช้าๆ
ใบหน้าของฉื่อหยานเปลี่ยนไปเขาลุกขึ้นยืนและพยักหน้าไปทางหยางมู่พร้อมกับพูดว่า
: "ถอยกันเถอะ !"
ภูติปีศาจสามตนที่เกิดขึ้นจากพลังงานเชิงลบค่อยๆหายไปจากการควบคุม เนื่องจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในห้วงจิตสำนึกของฉื่อหยาน พวกมันเริ่มแยกออกจากกันกลายเป็นควันและค่อยๆจางหายไปต่อหน้ากู่หลินหลงและคนอื่นๆ
พายุวิญญาณไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป และแม้แต่ภูตปีศาจที่เกิดขึ้นจากพลังงานเชิงลบก็ยากที่จะควบคุม ในเวลาเดียวกันความเมื่อยล้าก็ทำให้ร่างกายของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบจากบ้าคลั่งในนภาที่สองกำลังค่อยๆถูกกระตุ้นอย่างช้าๆ
ในสถานการณ์แบบนี้ฉื่อหยานรู้ดีว่า ถ้าเขาสู้ต่อไปพวกเขาอาจจะถูกสังหารได้โดยง่ายจากศัตรูฝ่ายตรงข้าม
“ถอยทัพ!”
หยางมู่คำราม เขาพลักหยางเค่อ เข้าไปในรูปแบบฝนอุกกาบาต
เขาเกรงว่าหยางเค่อจะแสดงความโง่เขลาออกมาอีกครั้ง จึงส่งเขาไปก่อน จากนั้นเขาก็ตะโกนไปที่หลี่เฟิงเกอ และคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลว่า "เข้าไปเร็ว!"
ความรู้สึกเหนื่อยล้าในร่างกายของเขาซัดไปทั่วร่างเหมือนกับคลื่นทะเล ฉื่อหยานฝืนตัวเองและรีบถอยไปข้างหลัง
ร่างสง่างามสวมชุดเกราะสีแดงก็ปรากฏตัวขึ้น ฉื่อหยานมีสีหน้าสับสนเล็กน้อย และเขาก็รู้ว่าแท้จริงแล้วร่างที่งดงามนั้นคือเหอซิงเหมิน.
เหอซิงเหมิน’มีสีหน้าเย็นชา นางหันไปต่อสู้กับกับหยางซู่อย่างรุนแรง
เมื่อเสียงคำรามของหยางมู่ดังขึ้น เหอซิงเหมิน ก็คำรามออกมาอย่างเย็นชา การเคลื่อนไหวที่มือของนางเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าของนางดูโหดเหี้ยมราวกับว่านางกำลังต้อนหยางซู่ ไม่ให้หลบหนี
"เจ้าอยากตายใช่มั้ย !"
ฉื่อหยานพุ่งเข้าไปช่วยหยางซู่ เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่รุนแรงของเหอซิงเหมิน
เขาเปล่งเสียงอย่างเย็นชาและยกมือขึ้น ผนึกแห่งชีวิตก็เกิดขึ้นพร้อมกับมีพลังปราณลึกลับปรากฏออกมา
เหอซิงเหมินที่กำลังทุ่มเทกับการต่อสู้อยู่กับหยางซู่ ก็สัมผัสได้ว่ามีพลังงานที่บางอย่างอยู่ที่ด้านหลังของนาง ใบหน้างดงามของนางเปลี่ยนไปเมื่อนางหันหลังนางก็เห็นการโจมตีจากผนึกแห่งชีวิตของฉื่อหยาน
เหอซิงเหมิน ก็แสดงออกอย่างแปลกประหลาดใบหน้าของนางดูมีเลศนัย นางจ้องมองไปยังฉื่อหยานอย่างขมขื่น จากนั้นก็รีบถอยออกห่างออกจากหยางซู่ทันที
เห็นได้ชัดว่าหยางซู่นั้นได้เปรียบกว่า แต่น่าแปลกที่นางไม่ได้พยายามฆ่าเหอซิงเหมิน แต่กลับถอยเข้าไปในรูปแบบฝนอุกกาบาต
ฉื่อหยานตกตะลึงกับสถานการ์ณตรงหน้า
เห็นได้ชัดว่าหยางซู่รีบกลับเข้าไปในรูปแบบฝนอุกกาบาตทันที ถ้านางต่อสู้กับเหอซิงเหมิน ที่กำลังยุ่งอยู่กับการหลบผนึกแห่งชีวิต นางก็จะสามารถจัดการเหอซิงเหมินได้อย่างแน่นอนเพราะเหอซิงเหมินนั้นไม่ได้ระวังข้างหลัง
“เจ้าคนคิดถึงแต่ตัวเอง”รูปร่างที่มีเสน่ห์ของเหอซิงเหมิน ค่อยๆลอยไปเหมือนสายลม นางสาปแช่งอย่างเงียบ ๆ ขณะที่กำลังหลบผนึกแห่งชีวิตของฉื่อหยาน
ฉื่อหยานงุงงงกับคำพูดของนาง
เขาจ้องมองไปทางเหอซิงเหมินสองสามครั้งก่อนที่จะระลึกถึงการกระทำที่แปลกประหลาดของหยางซู่ ฉื่อหยานจึงคิดได้
ผู้หญิงสองคนนี้กำลังเสแสร้งต่อหน้าทุกคน
ทั้งสองดูเหมือนจะต่อสู้อย่างจริงจัง,แต่ในความเป็นจริงพวกนางไม่ได้พยายามฆ่ากัน พวกนางแค่แสดงต่อหน้าทุกคน
ฉื่อหยานตอบสนองต่อสถานการณ์ตรงหน้า, เขายังคงมีสีหน้าเย็นชาพร้อมกับพูดว่า “ไปให้พ้น!”
เขาปล่อยโล่แสงทมิฬออกมาและเปิดใช้จิตวิญญานกายาแข็งง ฟันมือออกไปเหมือนกับดาบที่แหลมคมทางด้านข้างของเหอซิงเหมินอย่างรวดเร็วและรีบวิ่งไปที่รูปแบบฝนอุกกาบาต
เหอซิงเหมินยกมือขึ้น,และส่งลำแสงแหลมคมออกมาจากนิ้วทั้งห้าของนางไปที่หลังของฉื่อหยาน
แสงสว่างที่พุ่งมานั้นไม่มีพลังทำลายพอที่จะทำร้ายร่างกายของเขามากนัก ถ้าฉื่อหยานไม่ได้จงใจสลายโล่แสงทมิฬ, แรงซัดของเหอซิงเหมินก็คงไม่สามารถทำลายโล่แสงทมิฬของเขาได้ง่ายๆ
หญิงสาวคนนี้ เขายังคงสามารถสัมพัสได้ถึงความเชื่อมั่นในตัวนาง
พลังของนางทำให้ฉื่อหยานรู้ว่า นางไม่ได้มีจุดประสงค์เช่นเดียวกับเซี่ยกุ่ย นางไม่ได้ต้องการฆ่าพวกเขา
ร่างของฉื่อหยาน หายไปภายในไม่กี่นาที เขาหายตัวเข้าไปที่ที่มีเมฆหนาทึบ หยางมู่หัวเราะเสียงดังพร้อมกับหายตัวไป
พานโจว และคนอื่นๆที่เหลือแสดงออกถึงความเกียจชังบนใบหน้า พวกเขารีบวิ่งตามไปพร้อมกับเหล่านักรบที่ตามมา และกำลังจะเข้าสู้รูปแบบฝนอุกกาบาต
“หยุดไล่ตามก่อน”
ฉาวจื่อหลาน ที่นั่งขัดสมาธอยู่บนพื้นก็ลุกขึ้นยืน นางส่ายหน้าด้วยท่าทางที่รุนแรงและอธิบายว่า:"ที่นั่นมันค่อนข้างอันตราย เหตุผลที่ตระกูลหยางสามารถเข้าและออกได้อย่างปลอดภัยเป็นเพราะพวกเขารู้เงือนไขของรูปแบบนั่น แต่ถ้าพวกเจ้าเข้าไป รูปแบบนั้นก็จะจู่โจมพวกเจ้า "
“แล้วพวกเราจะทำยังไง?” กู่หลินหลงพูดพร้อมกัดฟัน นางกล่าวว่า"จะปล่อยให้ไปง่ายๆแบบนี้รึ? ฮืมมมมม ข้าคิดว่าเจ้าแข็งแรงพอจะต่อกรกับฉื่อหยานได้เสียอีก? ข้าอุส่าปล่อยมันไว้กับเจ้า ข้าไม่น่าไว้ใจคนอย่างเจ้าเลยจริงๆ ถ้าข้าตัดสินใจลงมือเร็วกว่านี้คงสามารถฆ่ามันได้ไปแล้ว!”
“แม่นางกู่ ถ้าเจ้ามั่นใจมาก ในครั้งต่อไปข้าจะให้เจ้าต่อกรกับเขา” ฉาวจื่อหลาน นางยิ้มอย่างไม่ตั้งใจและกล่าวว่า "แต่ตอนนี้ทุกคนใจเย็นลงก่อน พวกเจ้ารอให้ข้าได้หยุดการทำงานของรูปแบบนี้ได้ก่อนดีหรือไม่?”
ทุกคนเงียบและพวกเขาก็พยักหน้า
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1329 แล้วนะคะ มี 29 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ
ด่วน!! ตอนนี้มีโปรโมชั่น ปกติเข้า 7 กลุ่ม ราคา 700 บาท ตอนนี้ลดเหลือ 500 บาทเท่านั้น รีบๆ มาใช้โปรกันนะคะ