บทที่ 221 จุดสูงสุดของระดับหายนะ
บทที่ 221 จุดสูงสุดของระดับหายนะ
ฉื่อหยานนั่งอยู่บนหลังของสัตว์อสูรภูติ เขาเริ่มสั่นมากขึ้น แล้วเลือดก็หยดจากริมฝีปากของเขาและร่างกายของเขาทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยพลังงานเชิงลบ .
หยางมู่ หยางซู่ และ หลี่เฟิงเกอ ทั้งหมดต่างก็มีสนหน้าประหลาดใจมากปรากฏออกมา พวกเขาจ้องไปที่ฉื่อหยาน และการคิดต่างๆนาๆกับการแสดงออกของเขา
" กลไกสะท้อนกลับนี่ช่างเป็นผลกระทบที่น่ากลัวนัก " หยางเค่อ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า : " แท้จริงแล้วข้าว่า มีเพียงจิตวิญญานอมตะของตระกูลหยางเท่านั้นที่รับมือกับผลกระทบนี้ได้ ข้าดูแล้วว่าผลกระทบนั้นได้ทำลายร่างกายของเสี่ยวหยานอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ,พลังในการฟื้นฟูของเขาเองก็ไม่ได้อ่อนแอเลย" .
" มันสามารถทำให้พลังของเขารับมือกับนักรบในนภาแรกของระดับปฐพีได้ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า โดยปกติ ของวิชานี้ ก็ถูกแล้วที่จะมีกลไกสะท้อนกลับเช่นนี้ " หยางมู่พยักหน้า " เซี่ยซินหยาน เมื่อนางกระตุ้นจิตวิญญานจุติของนาง นางก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับนภาได้ . แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพลังของจิตวิญญานจุติของนางหายไป ไม่เพียงแต่นางจะกลับคืนสู่ระดับที่แท้จริงของนาง แต่นางก็อาจจะไม่สามารถต่อสู้ได้เป็นเดือนๆ เมื่อต้องการจะใช้พลังใดๆที่ไม่ได้เป็นของตนเอง ก็ย่อมได้รับผลกลไกสะท้อนกลับตามธรรมชาติอยู่แล้ว”
" ถูกต้อง แต่เม็ดยาบำรุงก็สามารถช่วยพวกเขาได้ " หยางซู่ สีหน้าก็เปลี่ยนไป " ตอนนี้ข้ามีเม็ดยาบำรุงอยู่สองเม็ด . "
" ไม่มีประโยชน์ " หยางมู่ส่ายหัวเล็กน้อย " จิตวิญญานต่อสู้ของเสี่ยวหยานนั้นแปลกประหลาดและแตกต่างจากคนอื่นๆเล็กน้อย . การฟื้นฟูวิญญานของเขาเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันไม่ได้รักษาบาดแผลภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น อืม.. เม็ดยาบำรุงนั้นจะได้ผลก็ต่อเมื่อเขารู้สึกตัวแล้วเท่านั้น แต่เขาเองก็เป็นคนตระกูลหยางเช่นเดียวกับเราและมีจิตวิญญานอมตะอยู่ ดังนั้น เม็ดยาบำรุง คงไม่จำเป็นสำหรับเขาเท่าไหร่นัก "
" จริงด้วย " หยางซู่ ก็เงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้า
ทุกคนก็เงียบ พวกเขายังคงมองไปที่ฉื่อหยาน
ในไม่ช้า ฉื่อหยานก็ดูเหมือนจะเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เขาหดตัวลงลง ขบฟันแน่นและคำรามออกมา ขณะที่การแสดงออกของเขารุนแรงมากขึ้น
เขากำลังจะสูญเสียสติของเขาไป
" เฝ้าเขาให้ดี ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเขา " ใบหน้าของหยางมู่จริงจัง เขาเงียบและเข้าไปใกล้ฉื่อหยาน , โดยกลัวว่าฉื่อหยานอาจจะไม่สามารถรับมือกับอาการเจ็บปวดในร่างกายของเขาได้ในเวลาที่สำคัญเช่นี้นี้
หยางเค่อ ส่วนที่เหลือก็เงียบๆและเดินเข้าไปใกล้ไม่กี่ก้าว
ฉื่อหยานคำรามออกมา เหมือนกับสัตว์อสูรที่บ้าคลั่ง เขาเอาแต่คำรามไปทั่วท้องฟ้า
เสียงคำรามของเขารุนแรงเป็นอย่างมากมาก เสียงของมันดังไปไกล และดูเหมือนจะเป็นที่สนใจของเหล่านักรบมากมายในทะเลท้องฟ้า นักรบมากมายบนเกาะทั้งหมดต่างก็มองขึ้นมาบนฟ้า โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาตระหนักได้ว่าภายใต้เมฆขาว เป็นมังกรสองหัวและค้างคาวโลหิตครามที่กำลังบินอยู่ นักรบเหล่านั้นที่มาจากดินแดนเพิ้งหลายศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดต่างก็มีสีหน้าตกใจบนใบหน้าของพวกเขา ถึงแม้จะหวาดกลัวแต่พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจ
นักรบตระกูลหยางเคยสร้างความวุ่นวายในทะเลท้องฟ้า นักรบในทะเลท้องฟ้าต่างก็ รู้ว่า มังกรสองหัวและค้างคาวโลหิตครามเป็นสัตว์อสูรของตระกูลหยาง นักรบเหล่านี้ไม่ได้รู้เรื่องลึกลับหรือการเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในตระกูลหยางเลย พวกเขาคิดแต่เพียงว่า ตอนนี้สงสัยนักรบตระกูลหยางคงจะมายังทะเลท้องฟ้าเพื่อสร้างปัญหาอีกครั้ง
หยางมู่ และคนอื่นๆที่เหลือทั้งหมดต่างก็มีสีหน้าจริงจังบนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาไม่กล้าที่จะผ่อนคลายแม้แต่วินาทีเดียว พวกเขาทั้งหมดระวังตัวอย่างรอบคอบ ด้วยความกลัวที่ว่าจะมีนักรบจากดินแดนเพิ้่งหลายศักดิ์สิทธิ์จะม
ขณะที่ฉื่อหยาน ร้องคำรามออกมา สัตว์อสูรภูติดูเหมือนจะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พลังความมืดและพลังอสูร ต่างก็หมุนวนอยู่รอบๆร่างของมัน และอัดแน่นกันจนเกิดเป็นกลุ่มก้อนกลิ่นอายอยู่รอบๆตัว หากมองจากเกาะที่อยู่ด้านล่าง สัตว์อสูรภูติดูเหมือนกับว่ากำลังขี่เมฆก้อนเมฆสีดำหนาที่มืดมิด มันทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกหวาดเกรงและตกตะลึง
หลังจากคำรามออกมาไม่รู้ว่านานเท่าใด เมื่อหยางมู่ และคนอื่นๆที่เหลือกำลังมองไปรอบๆอย่างตรึงเครียด , ฉื่อหยาน จู่ๆ ก็เงียบลง
พลังงานเชิงลบที่ออกมาจากร่างเขาทั้งหมดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ฉื่อหยานดูเหมือนจะสงบลง หลังจากที่ทั้งร่ายกายและวิญญานของเขาเหนื่อยล้า ร่างกายของเขาอ่อนแอเป็นอย่างมากและนอนอยู่บนหลังสัตว์อสูรภูติ ราวกับว่าเขาสลบไป
หยางมู่เดินเข้าไปดูเขา
" ไม่เป็นไร เขาแค่หมดสติชั่วคราวเท่านั้น แต่จิตวิญญานอมตะในร่างของเขายังคงฟื้นฟูร่างกายของเขาอยู่ . " ตรวจสอบสักครู่ หยางมู่จิตใจก็สงบ " เขาสบายดี ไม่ต้องห่วง จิตวิญญานอมตะของเขา แท้จริงแล้วมันอยู่ในขั้นที่สาม”
" อะไรนะ ! ? "
หยางซู่ หยางเค่อ และหลี่เฟิงเกอทั้งหมดก็อุทานออกมา ด้วยความสับสนพร้อมกับมองไปที่หยางมู่ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
" มันต้องอยู่ในขั้นที่สามอย่างแน่นอน " หยางมู่ ยิ้มด้วยความสบายใจ" ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสับสนเป็นอย่างมาก หากจะให้จิตวิญญานอมตะอยู่ในขั้นที่สามนั้นจำเป็นจะต้องอยู่ในระดับปฐพี อืม.. ก่อนหน้านี้ในใจของข้าก็สับสนเช่นกัน ข้าแถบจะไม่เชื่อเลยว่าเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม เขานั้นแตกต่างจากคนอื่น จิตวิญญาณการอมตะของเขาที่อยู่ในขั้นที่สามนั้น เป็นเรื่องจริง”
หลังจากที่หยางมู่ บอกออกมา ทั้งสามก็มองอย่างว่างเปล่าไปที่ฉื่อหยาน
ภายใต้สายตาของทั้งสาม บาดแผลบนร่างกายของฉื่อหยานก็ถูกรักษาด้วยความเร็วที่เห็นได้อย่างชัดเจน ดูที่ความเร็วนี้ มันแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันต้องเป็นจิตวิญญานอมตะในขั้นที่สามแน่นอน
" เป็นไปได้ยังไงกัน " หลี่เฟิงเกอดวงตาคู่สวยของนางก็เต็มไปด้วยความตกใจและอยากรู้อยากเห็น " ผู้ชายคนนี้ยังมีความลับอะไรอีกหรือไม่ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านักรบในระดับหายนะจะสามารถทำให้จิตวิญญานอมตะอยู่ในขั้นที่สามได้ มันอาจจะเป็นไปได้ว่าเขานั้นแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ "
" เหตุผลที่ท่านปู่ใหญ่เห็นค่าของเขาเป็นอย่างมาก ก็คงเป็นเพราะสิ่งพิเศษเหล่านี้ของเขา " หยางมู่ ยิ้ม
ทุกคนพยักหน้า
. . . . . . .
ในคืนที่หนาวเย็น ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วนประดับอยู่
สัตว์อสูรทั้งห้าบินอย่างรวดเร็วในท้องฟ้ายามค่ำคืน ตัวที่นำหน้าสุดของสัตว์อสูรภูติ ฉื่อหยานก็นอนอ่อนล้าอยู่บนหลังของสัตว์อสูรภูติ ทั้งวันที่ผ่านมา เวลาส่วนมากเขานอนสลบอยู่
ในเวลานี้ , แผลที่ปรากฏบนร่างกายของเขาก็หายเป็นปกติแล้ว
ในช่วงตกดึก
ฉื่อหยาน ก็หายใจออกมาเบา ๆและเขาก็ค่อยๆตื่นขึ้นมา เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็ไม่ได้ไปรบกวนใคร แต่ทันทีที่เขาก็นั่งลงขัดสมาธและเริ่มพยายามฝึกบ่มเพาะพร้อมกับปิดตา
หยางมู่ และส่วนที่เหลือทั้งหมดก็มองไปที่เขา
ทุกคนรู้สึกว่า ได้ถึงความปั่นป่วนของพลังที่อยู่ในร่างของเขา พลังที่ปั่นปวนเหล่านั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก มันเอาโคจรอย่างรวดเร็วในร่างของเขา และดูเหมือนว่าพลังปราณลึกลับจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
พวกเขารู้สึกได้ว่าในร่างของฉื่อหยาน วิญญาณ พลัง และ จิตใจของเขาทั้งหมดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจขึ้น .
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะรุ่งสาง , พลังธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียงทั้งหมดก็ค่อยๆไหลรวมกันมาที่ฉื่อหยาน และไหลเข้าไปในร่างกายของเขา
พลังแห่งดวงดาวที่เย็นยะเยือกก็ทะลักลงมาเหมือนกับว่ามาจากสวรรค์ และมันก็ไหลเข้าไปในร่างของฉื่อหยาน
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้น ฉื่อหยานก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาส่องประกายเหมือนดวงดาว สองเส้นแสงที่แปลกประหลาดก็พุ่งออกมาจากดวงตาของเขา พวกมันพุ่งออกไปสามฟุตมันพุ่งออกมาจากตาของเขา และทันทีก็กลับเข้าไปในดวงตาของเขาอีกครั้ง
" แสงสว่างที่เกิดดวงตา แสดงว่าเขาได้อยู่ในจุดสูงสุดของระดับหายนะแล้ว "
หลี่เฟิงเกอก็ตะโกนออกมา
หยางมู่ และส่วนที่เหลือก็ตกใจ พวกเขามองไปที่ฉื่อหยานและสิ่งที่เกิดขึ้น , การแสดงออกบนใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดต่างก็เต็มไปด้่วยความสับสน
พลังปราณลึกลับโคจรอยู่ในสมอง และรวมกันอยู่ในดวงตาของเขา , กลายเป็นแสงจิตวิญญานบางๆ นี้คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นได้อยู่ใน จุดสูงสุดของระดับหายนะแล้ว
ตอนมราฉื่อหยานลืมตาขึ้นมา ก็มีแสงพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา เขาได้บรรลุเข้าสู่นภาที่สามของระดับหายนะอย่างสมบูรณ์
ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงคืนเดียว เขาก็สามารถก้าวผ่านนภาที่สองของระดับหายนะได้ และก้าวไปสู่จุดสูงสุดของระดับหายนะทันที
ฉื่อหยานเผยรอยยิ้มและพยักหน้า " ใช่ ตอนนี้ข้าได้บรรลุเข้าสู่นภาที่สามของระดับหายนะแล้ว”
" เจ้าไม่คิดว่าเจ้าประหลาดมั่งรึ ? " สีหน้าของหยางเค่อ ดูเหมือนจะยอมรับฉื่อหยาน , " ไม่ใช่ว่าเจ้าได้รับผลกระทบจากกลไกสะท้อนกลับหลอกรุ ? ด้วยเหตุผลเจ้าควรจะบาดเจ็บสาหัส แต่เจ้าไม่เพียงแต่จะหายดี แต่ยังสามารถบรรลุเข้าสู่ระดับใหม่ได้อีก ? สหาย เจ้ามีความลับอะไรปิดบังเราอยู่หรือป่าว "
" ข้าก็แค่โชคดี " ฉื่อหยานยิ้มและไม่ได้อธิบายอะไรมาก
" เอาล่ะ เลิกถามได้แล้ว" หลังจากหายตกตะลึง หยางมู่ก็กลับมาเป็นปกติ เขารู้ว่า ฉื่อหยานอาจจะมีความลับบางอย่างที่เขาไม่ได้ต้องการจะบอกใครและ เขาเองไม่อยากบังคับฉื่อหยานเหมือนกัน เขาเพียงยิ้ม : " เสี่ยวหยานเจ้านั้นมีความสามารถจริงๆ มิน่าล่ะ ท่านปู่ใหญ่ถึงเห็นค่าเจ้าเป็นอย่างมาก เจ้านั้นมีความสามารถที่ไม่มีสิ้นสุด การเดินทางไปยังหุบเหวแห่งสงครามครั้งจะต้องทำให้เจ้าบรรลุเข้าสู่ระดับปฐพีแน่นอน”
สายตาของทุกคนก็ส่องประกาย
ฉื่อหยานยิ้ม " ข้าจะพยายาม หึ ข้ารู้สึกว่าข้าจะต้องบรรลุเข้าสู่ระดับปฐพีในอีกไม่นานนี้แน่นอน "
ตอนที่อยู่บนเรื่อนั้น พลังปราณลึกลับที่ฉื่อหยานดูดซับมานั้นค่อนข้างจะแข็งแกร่ง และพลังแปลกประหลาดก็เปลี่ยนแปลงร่างของเขาไปเกินความคาดหมาย และมันก็ได้ช่วยให้เขาบรรลุเข้าสู่นภาที่สามของระดับหายนะ แถมดูเหมือนว่าอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นเขาก็จะสามารถบรรลุเข้าสู่ระดับปฐพีได้แล้ว
ดูเหมือนเพียงแค่เขาได้รับประสบการณ์บางอย่างอีกเพียงส่วนหนึ่ง เขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับปฐพีได้อย่างราบรื่นแล้ว
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงอีกครั้ง
" เจ้าบ้า เจ้านี่เป็นพวกบ้าคลั่งการฝึกบ่มเพาะจริงๆ " หลี่เฟิงเกอส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ " ตอนแรกข้าคิดว่า หยางมู่ และ หยางเค่อเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว แต่ตอนนี้ ข้าก็ได้รู้แล้วว่ามีสัตว์ประหลาดอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย .
ทุกคนดูเหมือนจะเห็นด้วยกับคำที่หลี่เฟิงเกอพูด พวกเขาทั้งหมดพยักหน้าแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของนาง
. . . . . . .
สองวันต่อมา
หลังจากที่ขี่สัตว์อสูรทั้งห้ามาอย่างต่อเนื่องในที่สุดเขาก็มาถึงเกาะน้ำเต้า
เกาะน้ำเต้านี้มีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก มองจากข้างบน มันดูเหมือน มันดูเหมือนกับน้ำเต้ายักษ์ ซึ่่งเกิดจากเกาะขนาดใหญ่ทั้งสองเกาะเชื่อติดกัน เต็มไปด้วยเทือกเขาอสูรนภานับไม่ถ้วน มีสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่ทั่วไปหมด
ไกลออกไปหลายกิโลเมตร ฉื่อหยานได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังมาจากข้างล่าง
สัตว์อสูรภูติก็ค่อนข้างตื่นเต้น
ดวงตาสีเขียวที่ชั่วร้างของมัน มองไกลไปที่เทือกเขาอสูรนภา เมื่อได้ยินเสียงพวกสัตว์อสูรที่ดังมาจากเทือกเขา มันดูเหมือนว่าจะอดใจไม่ไหวที่จะได้ดินอาหารอันโอชะเหล่านั้น
บนเกาะบางสถานที่เป็นบึงขนาดเล็ก . มีหมอกพิษอยู่ตรงนั้น และเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตาย
" ประตูแห่งสวรรค์ที่นำไปสู่หุบเหวแห่งสงครามอยู่ในบึงนั่น อืม คงไม่มีอันตรายใดๆอยู่ในบริเวณรอบๆแน่นอน ดินแดนเพิ้งหลายศักดิ์สิทธิ์นั้นคอยปกป้องประตูสวรรค์นี้ ปกป้องประตูสวรรค์ที่นำไปสู่หุบแหวแห่งสงครามอันเป็นดินแห่งสมบัติของพวกเขา อย่างไรก็ตาม คนที่ไปยังหุบเหวแห่งสนามรบจำนวน , ต่างก็ตกตายเมื่อเข้าไปภายใน คนที่กลับมาแล้วได้รับประโยชน์ใดๆนั้นแถบไม่มี นั่นจึงเป็นเหตุทำให้เมื่อไม่นานมานี้ ดินแดนเพิ้งหลายศักดิ์สิทธิ์เลิกที่จะปกป้องประตูสวรรค์แห่งนี้และเปิดให้ใครเข้าไปก็ได้ . " หลี่เฟิงเกอพูดเสียงดัง
สัตว์อสูรทั้งห้าบินมา และหยุดอยู่ตรงกลางของหนองน้ำสีเขียว ในหนองน้ำ มีแสงสีเขียวกระพริบออกมา และประตูฟ้าสวรรค์ก็ลอยอยู๋เงียบๆด้านบนพร้อมกับมีกลิ่นอายโบราณทะลักออกมา จากประสูสวรรค์เงียบๆ
" นั่นคือประตูแห่งสวรรค์ . " หลี่เฟิงเกอชี้และพูดอย่างใจเย็น " ไม่มีอะไรผิดปกติที่นี่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเราก้าวเข้าไปข้างใน มันก็จะเป็นอีกโลกหนึ่ง ภายในหุบเหวแห่งสนามรบนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากมายรอบๆ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องหาสมบัติลับใดๆ แต่ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เป้าหมายของเราก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว "
" ถูกต้อง ชีวิตสำคัญที่สุด " หยางมู่พยักหน้า " เราต้องอยู่ที่นี่อย่างน้อย 3 ปี ในช่วงเวลาสามปีเราสามารถทำอะไรได้มากมาย . . . "
" เจ้าไปรอข้าอยู่ที่นั่น แล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า " ฉื่อหยานแตะไปที่สัตว์อสูรภูติ และชี้ไปทางทิศของเทือกเขาอสูรนภา " ที่นั่นมีสัตว์อสูรมากมาย นี่นับได้ว่าเป็นสวรรค์ของเจ้า "
สัตว์อสูรภูติคำรามออกมา และบินสู่ท้องฟ้า ร่างใหญ่ค่อยๆเล็กลงกลายเป็นจุดสีดำอยู่บนท้องฟ้า และค่อยๆหายไป
" ไปกันเถอะ " หยางมู่ และคนอื่นๆ จากตระกูลหยางเองก็สั่งสัตว์อสูรของตนเช่นกัน และในที่สุดพวกเขาก็ก้าวเข้าไปในประตูแห่งสวรรค์ที่นำไปสู่หุบเหวแห่งสนามรบ
ฉื่อหยานก็ก้าวตามไปอย่างสงบ
_______________________________________
ปัจจุบันเรื่องนี้แต่งไปจนถึงตอนที่ 1329 แล้วนะคะ มี 29 กลุ่ม แบ่งเป็นกลุ่มละ 50 ตอน หากสนใจอ่านติดตามได้ที่เพจด้านล่างเลยค่ะ
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่เพจของเรา >>GOS เทพเจ้าล่าสังหาร << ฝากกดไลท์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้แปลด้วยครับ
ด่วน!! ตอนนี้มีโปรโมชั่น ปกติเข้า 7 กลุ่ม ราคา 700 บาท ตอนนี้ลดเหลือ 500 บาทเท่านั้น รีบๆ มาใช้โปรกันนะคะ