บทที่ 98 - มอบอิสระภาพ (5)
บทที่ 98 - มอบอิสระภาพ (5)
วอร์คเกอร์ได้ดำเนินภารกิจอย่างรวดเร็วและแม่นยำ แม้ว่าเขาจะดูน่าสงสารเมื่อฉันตีเขา แต่ว่าพลังในการซ่อนตัวของเขายอดเยี่ยมมากพอที่จะหลอกผู้ใช้พลังระดับ SS ได้เลย ในเวลาเพียงสองวันเขาได้ทำลายข้อมูลทั้งหมดของฮวาหยาที่อยู่กับบริทแมน
"ฉันได้ทำลายแล้วก็เผาถุกๆอย่างที่ฉันไม่สามารถจะเอามาได้ไปแล้ว มันไม่มีแม้แต่คำหรือรูปเหลือแม้แต่อย่างเดียว"
วอร์คเกอร์ได้บอกกับเราอย่างมั่นใจ เนื่องจากว่าสัญญาของเรามันก็ทำให้เขาไม่มีทางโหกหได้ ฮวาหยาได้เผาทุกๆอย่างที่เขาเอามาและหยักหน้า
"ดีมาก"
"แต่ว่าเขาก็น่าจะรู้ว่าฉันเป็นคนทำ ฉันเพิ่งจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขาไป"
"ดีมากวอร์คเกอร์ นายสามารถจะอยู่ในดันเจี้ยนได้จนกว่าที่ฉันจะหมดธุระที่นี่ นายจะได้กลับไปที่เกาหลีด้วยกันกับฉัน"
"....แม้ว่าฉันจะใช้พลังการซ่อนตัวแต่บริทแมนก็จะรู้ว่าฉันออกจากประเทศไปกับนาย เขาได้จับตามองนายอยู่อย่างใกล้ชิด นายคงรู้เรื่องนี้อยู่แล้วสินะ?"
"มันจะไม่มีปัญหาอะไร...ไม่ต้องกังวล ฉันไม่ต้องการที่จะให้เขาค้นพบตัวตนของฉันเหมือนกัน เขาไม่รู้ว่าฉันมาที่นี่ได้ยังไงใช่มั๊ย?"
"ไม่มีใครรู้ว่าคุณมาที่นี่จนกว่าคุณจะได้มาถึงที่ทะเลสาบวินเดอแมร์ มัสติฟอร์ดได้ปิดเรื่องราวไว้อย่างแนบเนียน"
"หุหุ มันไม่ยากเลย"
ฮวาหยาได้ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แน่นอนวในฐานะที่ฮวาหยาเป็นผู้ใช้พลังระดับ SS นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เธอจะมีพรรคพวกซ่อนตัวจากบริทแมน
"ถ้างั้นก็ดีแล้ว เมื่อฉันกลับไป ฉันจะใช้วิธีการของฉันเอง นายก็จะสามารถมากับฉันได้วอร์คเกอร์"
"วิธีการของนายหรอ หือ...? นายคงจะมีทักษะพิเศษสินะ"
"ใช่แล้ว ดังนั้นนายก็โฟกัสไปที่ดันเจี้ยนก่อนซะ...อ่า"
ฉันเกือบลืมไปเลย
"วอร์คเกอร์มานี่"
"มีอะไร...นี้มันสร้อยข้อมือผู้พิทักษ์เซริน่านี่"
วอร์คเกอร์ได้จับสร้อยข้อมือที่ฉันยื่นออกไปด้วยตาที่เบิกกว้าง
"อ่า มันต่างออกไปหน่อยนะ หลินได้บอกว่าเขาได้เพิ่มบางสิ่งเข้าไป"
"แต่ว่าได้ยังไง...? นยทำลายและก็เผามันนิ!?"
"อืม ใช่ แต่ว่าดูเหมือนว่าส่วนที่สำคัญจะไม่เป็นอะไร มันเป็นรางวัลสำหรับการทำงานของนายและก็สำหรับทุกๆงานที่นายทำในอนาคต
ความจริงแล้วฉันได้เอาซากของสร้อยข้อมือไปให้หลินที่สวนแฟรี่ด้วยความคิดที่ว่าเขาจะสามารถสร้างไอเทมใหม่ได้ ส่วนที่สำคัญของมันยังโอเคอยู่ทำให้การสร้างขึ้นมาใหม่ใช้ไอเทมที่ดรอปออกมาจากมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนที่หนึ่ง ผลลัพธ์ก็คือทำให้สร้อยข้อมือนี้ดีขึ้นมากกว่าเก่า แต่โชคร้ายที่มันได้ผูกมัดกับวอร์คเกอร์ แม้ว่าฉันคิดว่าจะทำลายมันอีกครั้งแต่เพราะว่าเขาจะต้องไปรับหน้าที่ปกป้องน้องสาวของฉัน ฉันก็เลยได้ตัดสินใจที่จะคืนมันให้กับเขา
"ฟู่...ฉันคิดว่าฉันจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว..."
วอร์คเกอร์ได้สัมผัสมันโดยการเอาไปถูกับแกก้มของเขา ฉันได้พยายามอย่างดีที่สุดที่จะเมินฉากที่น่าขยะแขยงนี้
"เพราะว่านายเป็นคนทำลายมันในตอนแรกดังนั้นฉันจะไม่ขอบคุณนาย แต่ฉันจะขอสัญญาว่าฉันจะทำทุกอย่างอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองต่อสัญญา"
"แน่นอน"
แม้ว่าพวกเราจะไม่ค่อยชอบกัน แต่ว่าความไม่ถูกกันของพวกเราในตอนนี้ก็ได้ลดน้อยลงไปในตอนที่เขาได้รับกำไลคืนมา หลังจากที่ได้ใส่สร้อยข้อมือแล้วเขาก็กลับไปที่ดันเจี้ยน ตามที่เขาบอกมาเขาอยู่ที่ชั้นที่ 44
"ยังไงก็ตามชินนายมาจากดันเจี้ยนอะไร? นายบอกว่านายยังไม่ได้อยู่ระดับทองใช่ไหม? แต่ว่าเพราะนายแข็งแกร่งกว่าวอร์คเกอร์มากๆ บางทีนายก็อาจจะอยู่ในดันเจี้ยนที่สองหรอ?"
ฮวาหยาได้ถามฉันออกมาอย่างลวกๆ ฉันก็ได้ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ
"ฉันอยู่ในดันเจี้ยนที่หนึ่ง"
"อะไรนักที่หนึ่ง!? แม้แต่ฉันยังอยู่ในดันเจี้ยนที่สองเลย!"
ใช่แล้ว ฉันรู้ว่าเธอโกรธ
"พ่อของฉันเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนแรก เพราะเขาได้แต่งตั้งฉันให้เป็นนักสำรวจดังนั้นมันก็เป็นปกติที่ฉันจะอยู่ในดันเจี้ยนแรก"
"อึก นะ นั่นมันหมายความว่าเพื่อนของนายก็อยู่ในดันเจี้ยนที่หนึ่ง..."
"ใช่"
"อ๊ากกกก! แต่ฉันแข็งแกร่งกว่านะ! ฉันก็อยากจะไปอยู่ในดันเจี้ยนที่หนึ่งเหมือนกัน!"
"ไม่...เธอควรจะยอมแพ้มัน"
"ฉันไม่ยอม! ฉันจะต้องกลายเป็นระดับแพตตินัมและไปที่ดันเจี้ยนที่หนึ่ง!"
"อะไรนะ?"
ฉันได้เงยหน้าขึ้น
"เธอว่าไงนะ? เธอจะกลายเป็นระดับแพตตินัมและไปที่ดันเจี้ยนที่หนึ่งหรอ?"
"นายไม่รู้หรอ? วิธีที่จะไปในดันเจี้ยนที่ระดับสูงกว่านะ"
"นี้มันเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องนี้"
ในขณะที่ฉันมึนงง ฮวาหยาก็เริ่มอธิบายออกมา
"ฉันได้ค้นพบมันหลังจากที่ฉันทะลวงผ่านชั้นที่ 65 ในดันเจี้ยนที่สอง นายจะกลายเป็นนักสำรวจระดับแพตตินัมหลังจากผ่านชั้นที่ 80 และถ้านายสามารถทำความสำเร็จได้สูงๆ นายก็สามารถจะกลายเป็นนักสำรวจในดันเจี้ยนแรกด้วยการปรับเลเวลของนาย"
"ความสำเร็จอะไร?"
"ฉันไม่รู้!"
"...."
ฉันได้มองไปที่เธอเหมือนกับคนงี่เง่า เธอก็ดูเหมือนจะสังเหตุเห็นในสิ่งที่ฉันกำลังขึ้น เธอได้หยิกแขนของฉันและจากนั้นก็เป็นเธอที่เจ็บนิ้วไป อย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงโม้ต่อไป
"แต่ว่านายรู้ไหม ถ้ามันเป็นความสำเร็จมันก็อาจจะมีอะไรเหมือนๆกันก็ได้ ฉันก็มีมันอันหนึ่ง หุหุจากการที่เผามอนสเตอร์กว่าครึ่งในชั้นไปในเวลาเดียวกัน ฉันได้รับแม้แต่ฉายา 'อวตารแห่งแอคนี' น่าทึ่งเลยใช่ไหมละ?"
"แอคนี พระเจ้าแห่งไฟจากเทพนิยายฮินดู นะ นั่นมันน่าทึ่ง..."
ฉันไม่สามารถจะบอกกับเธอไปได้ว่าฉายาก็มีชื่อที่แท้จริงของพระเจ้า
"นายได้รับความสำเร็จหรือยัง? อ่ามันไม่เป็นไรหรอกนะถ้านายยังไม่มี มันเป็นเพียงเพราะฉันน่าทึ่งเกินไปเท่านั้น ฉันคิดว่าฝีมือของนายก็เหมือนกัน นอกจากนี้นายก็ยังคงแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นนายจะมีโอการที่จะได้รับความสำเร็จพวกนี้"
ฉันได้เมินต่อคำปลอมใจนี้ของเธอและพูดต่อไป
"ฮวาหยา ฉันไม่รู้ว่าความสำเร็จอะไรที่จะทำให้เธอกลายมาเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนแรก แต่ฉันจะบอกถึงความสำเร็จของฉันเอาไว้เพื่อให้เธอได้อ้างอิง"
"ความสำเร็จหรอ!?"
"อันแรกฉันได้ผ่านสี่ชั้นใน 4 ชม."
"...นายยังเป็นมนุษย์อยู่หรอ?"
"อย่างที่สองฉันได้ท้าทายบอสประจำชั้นเพียงลำพังและเอาชนะมันในครั้งแรกที่ต่อสู้กัน ความสำเร็จนี้มันดีกว่าถ้าเธอเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของดันเจี้ยนที่สองที่ทำมัน"
"นาย...เอาจริงดิ?"
"จริง"
"..."
"แม้ว่าถ้าเธอไม่ใช่คนแรก การเอาชนะบอสประจำชั้นเพียงคนเดียวก็ยังนับเป็นความสำเร็จและการเอาชนะเหตุการณ์การจู่โจมด้วยคนเพียงไม่กี่คนก็นับเป็นความสำเร็จเช่นกัน แต่มันอาจจะไม่นับว่าเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่นัก ดังนั้นฉันจะนับมันดีไหม"
"....."
"การได้รับชื่อที่แท้จริงของพระเจ้าก็เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าตั้งแต่ที่เธอมีอวตารแห่งแอคนี เธอก็อาจจะสามารถได้รับชื่อที่แท้จริงของแอคนีก็ได้ถ้าเธอพยายาม เหมือนกับว่าถ้าเธอเผามอนสเตอร์ทั้งหมดในเวลาเดียวกันทั้งชั้นเธอก็อาจจะได้มัน"
"...ฮู"
ฮวาหยาที่ฟังฉันอย่างเงียบๆได้กลายเป็นหดหู่ไป จากนั้นเธอก็โพล่งขึ้นมา
"ฉันอิจฉา"
"เธอนี่ซื่อตรงจริงๆ...."
"อู ฉันเกลียดมัน ฉันเกลียดตัวเองและฉันก็เกลียดนาย ทำไมฉันถึงต้องอิจฉานาย...? ดันเจี้ยนของเราแตกต่างกันและรูปแบบการต่อสู้ก็ต่างกัน...แต่ฉันก็ยัง...อิจฉานาย!"
เมื่อเห็นฮวาหยาได้กับผมของเธอ ฉันก็ไม่รู้จะทำอะไรดีได้แต่ถามออกไป
"ถ้างั้นเธอก็จะรู้สึกอิจฉาต่อไป?"
"แน่นอนว่าไม่! ชื่อที่แท้จริงของพระเจ้าใช่ไหม? เอาชนะบอสประจำชั้นด้วยตัวคนเดียว? อู เพียงแค่ดูฉันให้ดี! ฉันจะทำความสำเร็จพวกนั้นและกลายเป็นนักสำรวจดันเจี้ยนที่หนึ่ง เตรียมตัวไว้ให้ดี ตอนนี้มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาเดียวที่นายจะหยิ่งได้! เข้าใจหรือยังคังชิน?"
โอ้ เธอมีไฟแล้ว! ฉันได้ตอบคำถามที่กระตือรือร้นของเธอด้วยรอยยิ้ม ฉันชอบคนที่ทำงานหนักจริงๆ
"โชคดีนะ ฉันจะเป็นกำลังใจให้"
"ไม่ต้องมาเป็นกำลังใจด้วยใบหน้าแบบนั้น! ความเกลียดของฉันมันจะหายไป!"
"เธอไม่ควรจะมาเป็นศัตรูกับเพื่อนของเธอนะ...."
ในขณะที่ฉันคุยกับฮวาหยามันก็ได้มีคำถามเข้ามาในหัวของฉัน
ถ้ามันมีทางจากดันเจี้ยนที่สองมาดันเจี้ยนที่หนึ่ง...แล้วดันเจี้ยนที่หนึ่งจะสามารถไปไหนได้?
*****
หลังจากที่ฉันได้เข้ามาร่วมทีมของฮวาหยาความเร็วในการล่าของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ในฐานะที่ฉันกำจัดเหล่ามนุษย์ปลาที่เป็นตัวที่น่ารำคาญมากที่สุดสำหรับพวกเขา มันก็ได้กลายเป็นเรื่องธรรมไป นอกจากนี้ทุกๆครั้งที่ฉันกรีดร้องบนเรือมอนสเตอร์ก็จะจับกลุ่มกันมาทางพวกเราทำให้พวกเราสามารถจัดการพวกมันได้ในทีเดียว
"น่าทึ่งมก เสียงของนายยั่วยุมอนสเตอร์ได้ยังไงกัน?"
"ฉันไม่รู้สิ บางทีอาจจะเพราะพวกมันรู้ว่าฉันแข็งแกร่ง ดังนั้นพวกมันก็เลยมาต่อสู้พร้อมๆกันก็ได้"
ฉันได้ตอบแบบไม่ชัดเจนและต่อยมนุษย์ปลาที่อยู่ใกล้ๆ ฮวาหยาน่าจะเดาเหตุผลได้ได้ส่งยิ้มและยิงบอลไฟออกไปจากมือโดยไม่พูดอะไร
เหมือนกับเมื่อสี่วันที่ผ่านมาก เมื่อถึงเวลาฉันจะเก็บทูน่าละลายลงไปในช่องเก็บของๆฉัน ทะเลสาบก็ได้เริ่มเปลื่ยนไป มอนสเตอร์ได้แข็งแกร่งขึ้น จำนวนของมนุษย์ปลาได้ลดลงและจำนวนของปลาทูน่าและฉลาดก็ได้เพิ่มขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับฉัน แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นการเปลื่ยนแปลงที่ผิดปกติ
จากนั้นในวันที่ 7 หลังจากที่ฉันมาถึงที่วินเดอร์แมร์ ในขณะที่พวกเรากำลังต่อสู้กับทูน่าละลายและฉลามอย่างรุนแรง เรือของเราก็ได้พบกับเรือของบริทแมน แม้ว่าจะบนเรือจะมีคนเพียงห้าคนในนั้น แต่จริงๆแล้วพวกเขามีทั้งหมด 7 คน นอกจากทอมที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ก็ยังมีผู้ใช้พลังรักษษอีกคน ดังนั้นตอนนี้มีคนระดับ S อีก 4 คนที่อยู่กับบริทแมน
"คุณมัสติฟอร์ด เมื่อเร็วๆนี้คุณทำได้เยี่ยมยอดมากเลย"
"พวกมันมีแต่พวกระดับสูงเท่านั้น นายและก็ฉันยังไม่สนิทกันมากพอที่จะคุยกันแบบนี้ ดังนั้นทำไมนายไม่หันเรือไปทางอื่นและจากไปล่ะ?"
"ฟู่ เย็นชาอะไรแบบนี้ แต่ไม่ว่ายังไงผมจะติดถึงคุณเสมอ"
"นายคิดเกี่ยวกับฉันเสมอ นายพูด...อะไร? นี้มันน่าขยะแขยงจริงๆ"
บริทแมนได้สะดุ้งขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างจากเสียงของฮวาหยา จากนั้นเขาก็พูดต่อ
"ยังไงก็ตามคุณมัสติฟอร์ด ผมได้ลืมที่จะใส่ปลอกคอสุนัขของฉันและมันก็ได้หนีออกไป ฉันกำลังหาเขาอยู่ แต่ว่าหายังไงก็ไม่เจอ คุณพอจะเห็นเขาไหม?"
"ฉันไม่รู้นะว่าทำไมนายถึงถามฉันเกี่ยวกับสุนัขที่หายไปของนายบริทแมน แต่ว่าฉันเห็นแต่แมลงสาบสีดำในบ้านของฉัน...ฉันได้เผามันไปแล้วด้วย"
"...อ่า เข้าใจแล้ว ผมผิดเอง"
จากนั้นบริทแมนก็มองมาที่ฉันด้วยเหตุผลบางอย่าง อะไร ทำไมนายถึงมองฉันหรอ? ฮวาหยาก็ดูเหมือนจะสังเกตุเห็นเช่นกัน จากนั้นเธอก็ลดน้ำเสียงของเธอและขู่บริทแมน
"ฉันแมน ฉันขอเตือนไว้นะ ถ้าหากนายก้าวข้ามขอบเขตของนาย ฉันก็เตรียมพร้อมที่จะทำมันเหมือนกัน ฉันกับนายต่างก็เป็นคนอังกฤษ แต่ว่าฉันไม่ได้แยแสอะไรที่จะตอบโต้นายกลับไป แม้ว่านายจะเป็นหนึ่งในสุดยอดมนุษย์ที่เป็นตัวแทนของประเทศเราก็ตาม นายก็ควรจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันจะสื่อนะ เข้าใจ?"
"ฮ่าๆ ๆ เธอนี่ตลกจังคุณมัสติฟอร์ด แน่นอนผมเข้าใจว่านั่นหมายถึงอะไร คุณมัสติฟอร์ดก็ยังเป็นยอดมนุษย์ตัวแทนของประเทศเช่นกัน คุณไม่คิดว่าพวกเราต่างก็สมบูรณ์แบบสำหรับกันและกันหรอ?"
"ฉันบอกให้นายหุบปากลงก่อนที่จำนวนของตัวแทนยอดมนุษย์ในประเทศของเราจะลดลงไปเหลือ 1"
บริทแมนเป็นคนสั่งให้วอร์คเกอร์จับตามองฮวาหยาและแม้แต่ถ่ายภาพเธออย่างลับๆ
เหมือนอย่างที่ฉันคิดเมื่อครั้งแรกที่ฉันได้รับหลักฐานการกระทำผิดของบริทแมน รัฐบาลอังกฤษก็มักจะปฏิเสธที่จะทำทุกอย่างที่เป็นอันตรายต่อบริทแมน มันไม่สำคัญว่าอาชญากรรมอะไรที่เขาทำไว้ แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าในตอนแรกบริทแมน บริทแมนน่าจะมีอิทธิพลที่เหนือรัฐบาลของอังกฤษและกลุ่มผู้พิทักษ์ เพราะเขามีอำนาจทางการเมือง อำนาจทางการเมือง และอำนาจทางการทหาร มันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้
หรือก็คือแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นระดับ SS บริทแมนก็มีสถานะที่สูงในอังกฤษ แน่นอนว่าก็มีหลายคนที่ให้ความสนับสนุนฮวาหยา แต่ว่ามันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาก็ได้เข้าร่วมกับทางบริทแมน
ไม่ว่าฮวาหยาจะรักประเทศของตัวเองมากแค่ไหน แต่ถ้าอังกฤษเพิกเฉยต่อการกระทำของบริทแมนที่มากเกินไป ฮวาหยาก็อาจจะหมดความอดทนของเธอ นั่นก็คือสิ่งที่ฮวาหยากำลังเตือนเขา
"คุณมัสติฟอร์ด...คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง? ในฐานะที่เป็นขุนนางอังกฤษคุณไม่อายบ้างหรอ?"
"อาย? ใครกันแน่ที่ควรจะอายในสิ่งที่กำลังทำอยู่?"
"ชิ...คุณมัสติฟอร์ด คุณไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตามที่ผมคิด คุณไม่ควรที่จะอยู่กับเจ้าคนนอกนั้นนะ"
ฮวาหยาได้สร้างเพลิงขนาดใหญ่และโยนมัน มันได้ปะทะเข้ากับน้ำที่อยู่ระหว่างเรือของพวกเราและเรือของบริทแมน มันได้ระเบิดขึ้นด้วยเสียงอันดังและทำให้เกิดไอน้ำลอยขึ้นเป็นจำนวนมาก
"อย่า ดูถูก เพือน ของฉัน"
แม้ว่าเสียงของเธอจะไม่ดัง แต่ว่าเสียงนั่นก็ได้มาถึงหูฉันอย่างชัดเจน
"อย่างน้อยที่สุดเลย พวกเขาก็ดีกว่าเศษขยะแบบนายบริทแมน ถ้านายเป็นคนอังกฤษจริงๆนายก็ควรจะคิดถึงอังกฤษและอนาคตของประเทศ นายควรจะเลิกทำตัวเลวทรามและไม่สร้างเรื่องยากขึ้นกับตัวเอง แคะหูให้โล่งและจำคำพูดของฉันเอาไว้ซะ! ฉันไม่ชอบคนแบบนาบ! ฉันไม่เคยเลยและจะไม่มีวัน! ดังนั้นหันเรือของนายไปซะแล้วออกไป ไอแก่!"
"เป็นคำพูดที่สวยงามอะไรแบบนี้...เธอสามารถจะใส่จิตวิญญาณและเจตนาลงไปในคำพูดสั้นๆได้เลยนะเนี่ย"
"ไม่ ไมค์ นั่นมันมากเกินกว่านั้นอีก ฮ่าๆ"
"เฮ้ๆ พวกนายไม่ควรจะทำเป็นล้อเล่นกับคำพูดแบบนั้นนะ พวกนายจะถูกจับเอาได้"
ในขณะที่ฉันตบมือเพื่อเตือนไมค์กับพอลที่กำลังพูดไร้สาระกัน เมื่อนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ได้ยกนิ้วให้กับฉัน ฉันได้มีแรงกระตุ้นที่แข็งแกร่งขึ้นมาที่จะจัดการพวกเขา แต่แล้วฉันก็ห้ามตัวเองเอาไว้
วูมมมมมมม ในตอนนี้ได้มีอะไรบางอย่างสร้ามแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นในน้ำ
"โว้ว"
"ไมค์!"
ในขณะที่มีบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากน้ำพอลได้ผลักไมค์ออกไปอย่างรวดเร็วและป้องกันสิ่งนั้นด้วยโล่ของเขส ต้องขอบคุณพลังป้องกันที่เพียงพอของพอล พวกเราจึงสามารถจะเห็นสิ่งที่สร้างแรงสั่นสะเทือนนั้นได้
"มันเป็นภาพลวงตาแน่ๆ"
"นี่มันใหญ่เกินไป"
ในขณะที่คำพูดออกมาจากปาก ฉันได้สร้างลูกศรสายฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นเป็นพิเศษและโยนมันออกไปข้างหน้า เมื่อมันโดนตายักษ์ของฉลามเขี้ยวเลื่อยที่กำลังจะพังโล่ของพอลด้วยเขี้ยวที่แหลมคมของมัน มันก็ได้กรีดร้องและล้มลง
"นายสามารถจะใช้พลังสายฟ้านอกเหนือจากมือของนายได้!"
"จัดการมันก่อน! มันน่าจะเป็นบอสประจำพื้นที่!"
มันจะมีขนาดที่ใหญ่มาก เพียงแค่ร่างกายของมันก็ยาวกว่า 20 เมตรแล้ว ด้วยความใหญ่ของมันทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะตัดเรือออกครึ่ง ฮวาหยาได้ก้มหน้ากัดฟันและสร้างเปลวเพลิงขึ้นในมือ
"ดูเหมือนว่าคุณจะต้องการความช่วยเหลือจากผม!"
"เพียงแค่ไม่กวนพวกเราบริทแมน!"
แม้ว่าฮวาหยาจะล้มเลิกข้อเสนอของบริทแมนในทันที ในฐานะที่มันเป็นบอสของพื้นที่ดันเจี้ยนระดับ A+ มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการโดยที่ไม่ต้องรับข้อเสนอของเขาแม้ว่ามันจะไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุดก็ตาม ฮวาหยาได้เงียบลงไปและรู้เรื่องนี้ บริทแมนได้ขยับเรือเข้ามาทางพวกเรา
[นายท่านระวัง]
"เรื่องอะไร?"
[ฉันได้ยินเสียงร้องเพลง คนอื่นๆก็จะได้ยินเสียงนี้ในเร็วๆนี้เหมือนกัน]
"ร้องเพลง...?"
[ป้องกันจิตใจของท่าน!]
เมื่อฉันได้ยินคำเตือนของไพก้า ฉันได้หมุนวนวงจรเพรูต้า เมื่อนั้นเองความคิดก็ได้ผ่านเข้ามาในใจฉัน
ฉลามยักษ์นั่นได้พุ่งเข้ามาหาพวกเราเพื่อที่จะตัดเรือของเราซึ่งคงจะไม่ใช่คนที่ร้องเพลงนั่น ในกรณีนี้...
"มี...บอสสองตัว?"
ในขณะที่ฉันพึมพัม..."
[ล๊าล่า ~ ล๊าล่าล่า ~]
ฉันเริ่มได้ยินเสียงร้องเพลงของหญิงสาวที่สวยงาม มันเป็นเสียงร้องจากสวรรค์ที่ทำให้ทุกคนได้ยินและทำให้แม้แต่คนที่ไร้น้ำตาก็ต้องร้องไห้
มันเป็นเสียงร้องที่ทำให้พื้นที่ดันเจี้ยนนี้ชื่อ 'สุสานเหนือทะเลสาบ'