MPE บทที่ 21 ดั่งอยู่ในความฝัน
“ผมได้ยินมาว่านอกจากที่พวกเขาจะมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งแล้ว พวกเขายังมีทักษะบางอย่าง ที่พวกเขาฝึกมันอย่างลับๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอดอีกด้วย” เกาเผิงขมวดคิ้วคิดก่อนกล่าว
“ถูกต้อง ในความเป็นจริง มันไม่สำคัญว่าผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรจะอยู่ในระดับใด แต่เพื่อความอยู่รอด พวกเขาต้องมีทักษะบางอย่างเพื่อเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตมากขึ้น” ลุงหลิวกล่าว
ลุงหลิวยืนนิ่งราวกับต้องการบอกว่า ‘เร็วเข้า ถามฉันสิ’
“อืม ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับผมนะครับ” เกาเผิงพยักหน้า ก่อนจะหันหลังกลับ
“…..” ลุงหลิวถึงกับพูดไม่ออก “เดี๋ยวสิ! จริงๆแล้วฉันมีทักษะบางอย่างที่จะมาสอนเสี่ยวเผิงน่ะ”
เกาเผิงมองลุงหลิวอย่างระมัดระวัง เขาตระหนักได้ว่าลุงหลิวมีบางอย่างซ่อนเขาอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลที่เขาต้องเปิดใจทั้งหมดเช่นกัน
ทุกคนล้วนมีความลับของตนเอง หากพวกเขาพยายามที่จะขุดคุ้ยบางอย่าง มันอาจทำให้มิตรภาพระหว่างพวกเขานั้นแตกสลาย
ลุงหลิวกล่าวต่ออย่างจริงจัง “มันเป็นทักษะลับที่ลุงจะสอนหลานน่ะแต่หลานต้องห้ามบอกเรื่องนี้กับใครนะ มิฉะนั้นจะมันมีปัญหามากมายตามมา”
“ผมเข้าใจครับ” เกาเผิงพยักหน้า
เกาเผิงจินตนาการว่าลุงหลิวจะเอานิ้วจิ้มที่หน้าผากแล้วความรู้จะไหลเข้าสมองของเขาทันที แต่ในความจริงก็คือลุงหลิวหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาและเขียนบางอย่างลงไป
ลุงหลิวส่งกระดาษให้เกาเผิง “จำสิ่งที่อยู่ในนี้ให้ดีและเผามันทันทีที่อ่านเสร็จ”
เกาเผิงหยิบแผ่นกระดาษไปอ่านอย่างระมัดระวังและจดจำเอาไว้
หลังจากอ่านเสร็จ เขาหยิบไม้ขีดไฟจากบ้านลุงหลิวมา จุดไฟเผากระดาษทิ้งไปต่อหน้าพวกเขา
ลุงหลิวไม่ได้ถามว่าเขาจำได้หรือไม่ แต่เตือนอีกครั้งว่าอย่าบอกใครเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในกระดาษ เนื้อหาข้างในเป็นสิ่งที่สามารถช่วยปกป้องเกาเผิงในอนาคต
เมื่อเกาเผิงกลับห้องไป ลุงหลิวรีบติดต่อชายชราที่เขาเรียกว่า เฒ่าเจียงในทันที ชายชราคิดถึงหลายชายของตนแต่ก็ไม่สามารถกลับมาเยี่ยมได้ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกยินดีมากที่เกาเผิงกลายเป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรขั้นกลาง
หลังจากนั้น ลุงก็ได้ลงไปนอนพิงสิ่งมีชีวิตที่ล่องหนอยู่ สักพักกิ้งก่าขนาดยาว 6เมตร ที่พรางตัวอยู่ ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นมา ลุงหลิวนอนพิงที่ตัวมัน เขานั่งคิดเรื่องต่างๆอย่างเงียบๆ
…..
ทักษะลับที่เกาเผิงได้รับ มันมีชื่อว่า เคลื่อนดารา เกาเผิงคิดทบทวนเกี่ยวกับเนื้อหาในกระดาษ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่เป็นทักษะที่ถ่ายทอดความเสียหาย ที่สามารถส่งอาการบาดเจ็บทั้งหมดตรงสู่สัตว์อสูรของตนได้
แต่มันก็มีข้อเสียอยู่ที่ระยะทาง หากผู้ฝีกสอนสัตว์อสูรอยู่ห่างจากสัตว์อสูรมากเกินไป ทักษะนี้จะไม่แสดงผล นอกจากนี้ มนุษย์และสัตว์อสูรจำเป็นต้องมีความเป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย
อาจฟังดูเหมือนโหดร้าย ที่เหมือนใช้สัตว์อสูรเหมือนกับโล่ แต่ในความเป็นจริง ร่างกายของสัตว์อสูรแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก พวกมันมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งและพลังป้องกันที่แข็งแรง สามารถรองรับความเสียหายได้อย่างไม่มีปัญหา
เกาเผิงหลับตาและท่องทักษะนี้อยู่อย่างเงียบๆ เขาได้เชื่อมต่อพันธะสัญญาเลือดในจิตใต้สำนึกของเขา ในเวิ้งทะเลว่างเปล่า วงแหวนสีดำและสีทองปรากฏขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆหายไป
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงสายใยเส้นใหม่ที่เชื่อมต่อเขากับต้าซื่อ
‘ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดีสินะ’ จากนั้นเกาเผิงได้ลืมตา
ทันทีที่ลืมตา เกาเผิงได้เห็นต้าซื่อที่ค่อยๆคลานมาที่เท้าของเขา มันตัวใหญ่ขึ้นมาก เกาเผิงเลยแซวมันในทันที “ดูตัวแกในตอนนี้สิ อ้วนมาก นี่หมูหรือตะขาบเนี่ย”
“ซู่…” ต้าซื่อส่งเสียงไม่พอใจออกมาทันที
“โอ้ ไม่จริงงั้นหรือ? งั้นฉันคงต้องหากระจกมาส่องแกงั้นสิ จะได้ส่องดูว่าตอนนี้นายแกอ้วนมากแค่ไหน”
“ซู่ววว…” ต้าซื่อดูโกรธมากขึ้น
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ ดีมาก ดัมมี่ ลากต้าซื่อไปที่กระจกสิ”
ดัมมี่เขาไปอุ้มเจ้าตะขาบตัวอ้วน
ต้าซื่อได้พยายามดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต แต่เมื่อดัมมี่พามันมาที่หน้ากระจก มันตัวแข็งทื่อ เมื่อพบว่าตัวเองดูเหมือนก้อนไขมันขนาดใหญ่สีม่วง มันหยุดดิ้นรนและทิ้งตัวอยู่ในอ้อมแขนของดัมมี่ ราวกับว่ามันยอมแพ้ต่อชีวิต มันจ้องมองกระจกด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“เฮ้” เกาเผิงเรียกพร้องตบศีรษะต้าซื่อ
แต่ต้าซื่อยังนอนนิ่งอยู่ท่าเดิม
“หยุดแกล้งตายและลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ไปออกกําลังกายเพื่อลดน้ำหนักซะ เมื่อน้ำหนักลดลงแล้ว ฉันจะยกระดับให้แก” เกาเผิงกล่าว หากเขายกระดับมันตอนนี้ บางทีมันอาจกลายเป็นตะขาบอ้วนเหินเวหาก็ได้
แค่คิดเกาเผิงก็ละเหี่ยใจแล้ว
…..
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ถึงเกาเผิงจะสอบเป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรเสร็จตั้งนานแล้ว แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรีบกลับไปโรงเรียน ดังนั้นเขาจึงลองการหางานพิเศษทำ
งานพิเศษที่เขาคิดจะทำมี 2แบบ แบบที่หนึ่ง ในฐานะที่เป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรแล้ว เขาสามารถเปิดสำนักงานของตนเองได้ เมื่อเขามีชื่อเสียง
กระจายออกไป ลูกค้าก็จะไหลมาเทมา แต่น่าเสียดายที่วิธีนี้ต้องใช้เวลานาน นอกจากนี้ เกาเผิงก็ไม่มีแผนการที่จะเป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอนาคต มันเป็นเพียงแค่การหารายได้ มาใช้จ่ายค่าครองชีพของเขาเท่านั้น
แบบที่สองคือเข้าร่วมกับองค์กรใหญ่ ด้วยความสามารถของเขา มันไม่ควรมีปัญหาแต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เกาเผิงไม่ต้องการเช่นกัน
เขาไม่ชอบที่จะปฏิสัมพันธ์กับใครและไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับปัญหาทางแบ่งพรรคแบ่งพวกในบริษัท ดังนั้นเขาจึงเลือกแบบที่สามคือการรวมสองอย่างเข้าด้วยกัน นั่นคือทำงานกับสำนักงานเล็กๆ
โดยเฉพาะสำนักงานขนาดเล็กจะรับพนักงานอย่างง่ายๆ พวกเขาต้องการแค่หนังสือรับรองผู้ประกอบวิชาชีพผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรเท่านั้น
เกาเผิงเตรียมตัวที่จะออกไปสมัครงาน เขากำลังจะเดินออกไปแต่เขากลับรู้สึกลังเลเมื่อมองไปที่ประตูห้องถัดไป
‘บางทีลุงหลิวเขาที่มีความรู้กว้างขวาง บางทีเขาอาจจะมีเส้นสายที่จะช่วยเขาในเรื่องนี้ก็ได้’
เกาเผิงกำลังจะเคาะประตู แต่เขารู้สึกลังเลเล็กน้อย มาคิดๆดูแล้ว เขารู้จักลุงหลิวน้อยกว่าที่คิด เพราะส่วนใหญ่เกาเผิงไปเรียนแล้วก็กลับมาบ้านเท่านั้น จึงไม่รู้ว่าว่าลุงหลิวจะพอรู้เรื่องที่เกี่ยวกับผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรรึเปล่า
‘อย่างน้อยก็ได้ลองถามลุงแกก่อนล่ะกัน’ เกาเผิงตัดสินใจที่จะเคาะประตูห้อง
ประตูเปิดแทบจะในทันที ลุงหลิวออกพร้อมกับรอยยิ้มของ “โอ้ เสี่ยวเผิงนี่เอง ลุงมีเรื่องที่ต้องรบกวนหลานอยู่พอดี”
เกาเผิงตอบรับอย่างสุภาพ “ลุงหลิวมีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”
ลุงหลิวถอนหายใจก่อนกล่าว “ก่อนหน้านี้ ฉันได้เป็นหุ้นส่วนกับเพื่อนของฉัน เปิดสำนักงานเพาะพันธุ์สัตว์อสูรเล็กๆแห่งหนึ่ง ฉันลงทุนกับมันไปเยอะมากแต่เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนของฉันมันดันขอถอนตัวออกไปพร้อมกับผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูร แล้วทีนี้ลุงก็เห็นว่าหลานกลายเป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรขั้นกลางแล้ว ดังนั้นลุงอยากให้เสี่ยวเผิงช่วยลุงหน่อย หลานไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าจ้างนะ ลุงจะให้ค่าตอบแทนที่ดีที่สุดรวมถึงหุ้น 20%ของบริษัทด้วย มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียนของหลานนะ หลานทำงานเพียงแค่ วันเสาร์ อาทิตย์ก็พอ”
ยิ่งได้ฟังมากเท่าใด เกาเผิงก็ยิ่งรู้สึกสนใจมากเท่านั้น แต่เขายังรู้สึกแปลกๆ ราวกับมีใครมาวางของขวัญใต้หมอนในตอนที่เขาหลับเลย
‘นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย?’