บทที่ 39 - เหตุการณ์ดันเจี้ยน (2)
บทที่ 39 - เหตุการณ์ดันเจี้ยน (2)
”
การสอบกลางภาคได้จบลงไปแล้ว ฉันก็ไม่มีการเรียนในวันศุกร์ดังนั้นวันพฤหัสบดีจะเป็นวันสุดท้ายในการเรียนกลางภาค วันนี้ก็เป็ฯวันที่ฉันได้เรียนรู้กันกับซู เยอึนเช่นกัน
ฉันแทบจะคิดว่าเธอจะต้องพาไปกินเฟรนฟรายอีกครั้ง ตั้งแต่ที่ฉันได้เห็นเธอใยคลาส ฉันก็ได้เริ่มที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่มันฝรั่ง
"ไปฉลองจบกลางภาคด้วยเบียร์และเฟรนฟรายกัน"
"ฉันคิดแล้วไม่มีผิด"
"ไปกันเถอะชิน"
"แล้วการสอบเป็นยังไงบ้าง?"
"กรี๊ดดดด"
ซู เยอึนได้ตอบคำถามของฉันด้วยการกรีด ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในมหาลัยได้ยังไงกันนะ?
'บางสิ่งมันเกิดขึ้นเมื่อฉันกินเฟรนฟรายกับเธอ...'
เมื่ช่องทางการสื่อสารมันได้เปิดขึ้นในครั้งนั้น ฉันก็เกือบจะกลัวปัญญาของฉัน มันเกือบจะเกิดขึ้นเพราะฉันไปกินเฟรนฟรายกับเธอ ด้วยโทนเสียงที่ไม่พอใจฉันได้ถามกับซู เยอึน
"เธอไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากฉันหรอ? คนอื่นๆที่เธอเรียนด้วยกันล่ะ?"
"มะ ไม่มีใครพูดกับฉัน"
"ถ้างั้นก็หยุดสวมฮูดของเธอซะ"
ด้วยฮูดที่ปิดหน้าของเธอ ซู เยอึนได้หายตัวไปอย่างสมบูรณ์ ฉันเกือบจะเผลอคิดว่ามันเป็นทักษะติดตัวเลยด้วยซ้ำ ด้วยใบหน้าสวยของเธอ คนอื่นๆก็พร้อมที่จะเข้าหาถ้าเธอแต่งตัวเพียงนิดหน่อย...
"ฉันเกลียดการได้รับความสนใจ"
"เธอนี่มีบุคลิกที่น่ารำคาญจริงๆ"
"มันเป็นไร ฉันยังมีนายอยู่"
"...."
"มาเถอะ ไปกัน"
"ได้ ได้ ฉันกำลังไป"
ฉันได้แต่จะต้องตามเธอไป เมื่อมาถึงฉันก็ได้ถอนหายใจออกมาหลังจากที่สั่งเบียร์กับเฟรนฟราย ทีวีบนผนังก็ได้แสดงภาพสถานที่แปลกๆ
มันน่าสงสัย ฉันเริ่มจะเกลียดร้านนี้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องเฟรนฟราย
[ข่าวด่วน ที่ห้างสรรพสินค้าในเขตยงดึงพัวของกรุงโซลเสาไฟสีดำได้ปรากโขึ้นในทันทีและพุ่งขึ้นไปบนฟ้า นี่มันเป็นปรากฏการที่เห็นครั้งแรกเมื่อสองนาทีก่อนที่และยังเริ่มสังเกตุมันได้จากประเทศอื่น...]
บนทีวีฉันได้เห็นห้างสรรพสินค้าที่ฉันเคยเข้าไปเที่ยวมาก่อนได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีดำ ราวกับว่ามันยังไม่พอแค่นั้นมันยังยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกด้วย เสาแสงนี้มันสามารถจะมองเห็นได้จากไกลๆได้เลย นอกจากนี้ภาพนี้ก็ยังมีจากเมื่องใหญ่ๆในประเทศอื่นๆอีกด้วย โอซาก้าของญี่ปุ่น นิวยอกของอเมริกา ปักกิ่งของจีน และอื่นๆอีกมา พวกเหมือนขนาดใหญ่นี้ที่มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนมาก
[ผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์ว่ามันเป็นปรากฏการณ์ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ดวงจันทร์แฝดและแนะนำให้รัฐบาลส่งหน่อยผู้พิทักษ์ไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ตามมาตรา 7 วรรคที่ 1 แห่งพระราชบัญญัติดวงจันทร์ดวงใหม่ ในตอนนี้ทางรัฐบาลได้เริ่มอพยพประชากรในเขตนั้นแล้วพร้อมทั้งส่งหน่อยผู้พิทักษ์เข้าไป]
พระราชบัญญัติดวงจันทร์ดวงใหม่มันเป็นกฏหมายที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่หลังจากที่ดวงจันทร์ปรากฏขึ้น ว่าด้วยการจัดการกับมอนสเตอร์และงานที่เกี่ยวของกับมอนสเตอร์ มันได้กล่าวถึงการตอบสนองของรัฐบาลเมื่อภัยพิบัติจากมอนสเตอร์ได้เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่นจรรยาบรรณด้านความปลอยภัยของประชากรและการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆที่ควรจะได้รับ
แม้ว่ามันจะมีข้อผิดพลาดที่มากมายและนำไปสู่การประท้วงที่ไม่สิ้นสุด แต่ว่ามันก็ยังสะดวกที่จะใช้ในชช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติเช่นนี้
"กะ กลัว...ใช่มั๊ย?"
"หืม ฉันแค่สงสัยว่ามันคืออะไร"
แสงสีดำและก็เมืองหลวง
เพียงแค่มองดูพวกนี้ผ่านหน้าจอทีวีฉันก็รู้สึกได้ถึงรางไม่ดีจากมัน อย่างไรก็ตามฉันรู้ว่าแสงเหล่านั้นเป็นยังไง มันคือความรู้สึกที่ฉันมีอยู่
"ดันเจี้ยน"
"ชิน นายพูดว่าอะไรนะ?"
"หืม? ฉันพูดอะไรไปงั้นหรอ?"
ซู เยอึนได้มองมาที่ฉันเหมือนกับฉันกำลังทำตัวแปลกๆ
"นายไม่ได้พูดเกี่ยวกับดังโงะหรอ? ฉันก็ชอบดังโงะเหมือนกัน"
"ดังโงะ? ดังโงะอะไร? ฉันไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะกินนะ ในความจริงแล้วฉันคิดว่าฉันจะต้องไปที่...ดันเจี้ยน"
"หืม?"
"ดันเจี้ยน!"
ฉันได้ตะโกนมันออกมา แสงสีกำที่ยิงขึ้นมาจากห้างสรรพสินค้าและเผยให้เห็นลักษณะของอาคาร ไม่สิ มันผิดที่จะพูดว่าอาคาร มันเป็นวังวนควันสีดำที่มีกลิ่นอายยที่ไม่ดี มันเหมือนกับประตูเทเลพอตในเกม
ในเวลาเดียวกันฉันก็ได้ยินข้อความของพี่สาวในหัวของฉัน
[เหตุการณ์ดันเจี้ยนได้ถูกสร้างขึ้นบนโลก! เมื่อเคลียร์มันคุณจะสามารถได้รับรางวัลต่างๆได้ เช่นแต้มสเตตัสหรือแต้มทักษะ]
ผู้ที่ตื่นขึ้นอาจจะคิดว่ามันคือจุดจบ แต่นักสำรวจบนโลกทั้งหมดจะต้องคิดว่านี่คือเหตุการณ์ดันเจี้ยน
ฉันได้รีบเปิดช่องทางการสื่อสารอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าในนั้นมัสติฟอร์ดกำลังพูดอยู่
[เธอได้ใช่มั๊ย? นี่มันคือเหตุการณ์ดันเจี้ยน]
[พี่สาว คุณจะไปหรอ?]
[แน่นอน! เธอควรจะมาหาฉันนะสุมิเระ]
[ตะ แต่...]
[ถ้าเธอตายในเหตุการณ์ในดันเจี้ยน เธอจะไม่เท่ากับตายจริงๆงั้นหรอ?]
นี่เป็นคำพูดของเอ็ดเวิร์ด วอร์คเกอร์ หญิงสาวทั้งสองคนได้เงียบลงไป ฉันก็คิดสิ่งที่เหมือนๆกันนี้แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ฉันไม่ต้องการจะยอมรับก็ตาม
โลกนี้มันแตกต่างไปจากดันเจี้ยน พวกเราไม่มีทางได้รับโอกาสที่สอง
อย่างนี้มันจึงเป็นการผจญภัยที่อันตรายที่การที่จะต้องเสียเวลาอันมีค่าไปแค่หนึ่งสัปดาห์มันเทียบไม่ได้เลย
[เหตุการณ์ดันเจี้ยนนี้มันเป็นสิ่งที่อันตราย ฉันสามารถจะได้กลิ่นของมัน! ความอันตรายของมันมากเกินกว่ารางวัลทีเราอาจจะได้รับ]
[ถ้างั้นนายจะปล่อยไปอย่างนั้นหรอ? รางวัลมันจะหายไปถ้าผู้ตื่นขึ้นได้มาเคลียร์มัน นายเป็นคนที่ขี้ขลาดขนาดนี้เลยหรอ? นายสามารถจะเรียกตัวเองว่าชาวอังกฤษได้ยังไง?]
[หุบปากมัสติฟอร์ด ฉันไม่เห็นว่าฉันคิดผิดตรงไหนเลย ฉันเป็นชาวอังกฤษที่ไม่ได้ทำตัวเหมือนกับคนโง่ที่ไม่รู้จักความตายหรอกนะ]
พูดได้ดีนายวอร์คเกอร์
[ดันเจี้ยนที่เราได้เคยไปจนถึงตอนนี้มันเหมือนกับเกม มันไม่มีความเสี่ยงใดๆเลย ถึงแม้ว่าการถูกมอนสเตอร์โจมตีมันจะเจ็บปวดแต่วว่ามันก็มีการรับประกันชีวิตของเธอ และเมื่อเธอเอาชนะได้ เธอก็จะได้รางวัลตอบแทน แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่มันเป็นการเอาชีวิตไปเดิมพัน ไม่ว่ารางวัลมันจะเป็นยังไงมันก็ไม่คุ้มค่าเลย]
[โฮ นายเป็นคนที่รอบคอบกว่าที่ฉันคิดนะหรือฉันควรจะพูดว่าขี้ขลาดดีนะ ลูกผู้ชายไม่ควรจะกลัวไม่ว่ามันจะอันตรายแค่ไหนและผลมันจะออกมาแบบไหนงั้นหรอ?]
พ่อที่เคยต่อสู้กับเสียด้วยมือเปล่าและเอาชนะมาได้มีสิทธิที่จะพูดแบบนั้น ฉันยังจำได้เลยว่าฉันเคยพูดว่าจะไม่ให้อภัยเขาสำหรับการที่ทำให้ฉันต้องต่อสู้กับมันเมื่อฉันอายุเพียง 13 ปี แม้ว่าฉันจะชนะในตอนท้ายก็ตาม
[ฮึ่ม นายกำลังจะบอกว่านายจะเข้าไปในดันเจี้ยนนั่น?]
[ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับมัน ฉันยังไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นผู้ใช้พลัง ถ้าฉันเข้าไปในดันเจี้ยน ฉันก็จะโฆษณาไปทั่วโลกว่าฉันก็เป็นผู้ใช้พลัง]
[งั้นเราไว้คุยกันหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้]
[...นายต้องการที่จะมาที่เกาหลีหรอ? ฉันจะต้อนรับนายอย่างอบอุ่นเลย ด้วยหอกของฉันน่ะนะ]
พ่อ...ฉันรู้สึกว่าฉันจำเป็นจะต้องเข้าไปแทรกก่อนที่พ่อจะเริ่มต่อสู้กับวอร์คเกอร์ ฉันยังต้องกาารที่จะชี้ให้ทุกคนเห็นบางสิ่งที่พลาดไป
[ขอโทษด้วยนะทุกคย แต่ว่าก่อนที่เราจะพูดกันถึงประโยชน์ที่พวกเราจะได้รับในฐานะนักสำรวจดันเจี้ยน มันยังมีบางสิ่งที่สำคัญที่เราจะต้องพูดถึง]
[อา ยวน ฮวาวู! ยอดเยี่ยม! ทำไมนายถึงเมื่อฉันจนถึงตอนนี้!? ฉันได้เรียกหานายมาซักพักล่ะนะ]
[หืม? ฉันได้ปิดช่องสื่อสารเอาไว้ ทำไมหรอ?]
[อ๊ากกกก! น่าโมโหอะไรแบบนี้]
ฉันได้เมินมัสติฟอร์ดที่กำลังกรีดร้องและพูดต่อไป
[พวกนายรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อนายเคลียร์เหตุการณ์ดันเจี้ยนใช่มั๊ย?]
[ฉันยังไม่เคยเข้ามันมาก่อน แต่ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับมัน]
[อ่า ฉันเคยเคลียร์มันมาก่อน ฮุฮุ จริงๆแล้วมันสองครั้งด้วยและก็สำหรับเหตุการณ์การจู่โจมหนึ่งครั้ง หือ...อ้า!]
มัสติฟอร์ดผู้ที่โอ้อวดออกมาได้ร้องด้วยความตกใจ มันดูเหมือนคนอื่นๆจะรู้แล้วในสิ่งที่ฉันพยายามจะสื่อ
[เหตุการณ์การจู่โจม...นายพูดถูก]
[ถูกแล้ว ฉันจำได้]
เอ๊ะ? พ่อ! พ่ออยู่ที่ฉันที่ 21 แล้วหรอ!? ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขาได้ไล่ตามฉันอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในขณะที่ฉันยุ่งอยู่กับการเพิ่มสเตตัสให้สมบูรณ์ด้วยอิลิกเซอร์ฉันจะไม่ได้ให้ความสนใจกับการขึ้นชั้นก็ตาม
[ถูกแล้ว ถ้าหากพวกเราเคลียร์มัน การจู่โจมบอสก็อาจจะปรากฏขึ้นมาและทำให้สถานการณ์แย่ลง พวกเราจะต้องหาทางแก้ไขก่อนที่จะทำอะไร]
[หืมม แต่แม้ว่าพวกเราจะทำอะไรไม่ได้ก็ตาม ทำไมเราไม่ส่งผู้ตื่นขึ้นไปแทนล่ะ?]
[นั่นก็จริง..มัสติฟอร์ดเธอไม่ได้โม้นักเกี่ยวกับพลังระดับ SS ที่คนทั่วไปให้ความเชื่อใจงั้นหรอ? นี่มันเป็นโอกาสที่เธอจะฉายแสงนะ ส่งคำเตือนไปให้ทั่วโลกซะ]
[อืมม ฉันจะลองดู แต่ว่า...ฉันไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้นจริงๆ นายรู้ใช่มั๊ย? ที่อังกฤษยังมีผู้ใช้พลังระดับ SS คนอื่นอยู่อรกดังนั้นคำพูดของฉันไม่ได้มีน้ำหนักที่มากขนาดนั้น บวกกันมราว่าเกาหลีก็ไม่ได้เป็นประเทศที่ทรงพลังอีกด้วย นี่มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงต้องการที่จะสร้างองค์กรนักสำรวจดันเจี้ยน]
[คุณมัสติฟอร์ด ฉันบอกว่าเธอควรจะใช้อำนาจของเธอในฐานะผู้ใช้พลังระดับ SS ไม่ใช่ให้เธอมาบอกว่าคำพูดของเธอมันมีน้ำหนักแค่ไหนเข้าใจนะ? อย่าได้ไปพูดกับพวกรัฐบาลจงไปพูดกับพวกสื่อแทน! ด้วยฐานะของเธอ เธอสามารถจะจัดการแถลงข่าวได้ถ้าเธอต้องการ เราจำเป็นจะต้องเตรียมทั้งโลกให้พร้อมไม่ว่าพวกเราจะทำการเคลียร์ดันเจี้ยนหรือไม่ก็ตาม]
[มะ แม้ว่านายจะชมเฉยฉันอย่างฉับพลัน ฉันก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้อีก ฮึ่ม]
[พี่สาว...]
ในขณะที่ฉันคุยอยู่ในช่องสื่อสารมือของฉันก็จับไปที่ปาก ซู เยอึนผู้ที่กำลังยัดเฟรนฟรายลงไปในปากก็ได้มองมาที่ฉันเหมือนกันฉันเป็นคนประหลาด ฉันไม่สนใจในการมองของเธอและหันไปทางทีวี ที่นั่นฉันเห็นตัวอักษรที่เขียนอยู่ด้านบนประตูดันเจี้ยน มันไม่ต้องสงสัยมันเป็นตัวอักษร A
[วอร์คเกอร์ถ้านายความยากของดันเจี้ยนที่นายจะเข้า นายจะทำยังไง?]
[ฉันยังคงลังเลอยู่ อย่างที่พูดไปฉันได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับดันเจี้ยน ฉันก็จะสามารถเตรียมตัวสำหรับการท้าทายได้ แต่ว่าเมื่อเทียบกับความอันตรายที่ฉันจะต้องเผชิญหน้าในที่สุด สิ่งนี้มันจะทำให้อันตรายมีขนาดเล็กลงไปนี้มันเป็นข้อดี]
[ดี เหตุการณ์ที่เกาหลีบนประตูมันมีตัวอักษร A เขียนอยู่ด้านบน ฉันคิดว่ามันก็เหมือนกับระดับที่ใช้ในการจัดกลุ่มผู้ใช้พลังแหละ แล้วของประเทศอื่นๆเป็นยังไงบ้าง?]
ด้วยคำพูดของฉันมันได้ทำให้ทุกๆคนเงียบไป สุมิเระเป็นคนแรกที่ตอบสนองกลับมา
[มันเป็นความจริง! ที่ประตูปราสาทโอซาก้าเขียนไว้ว่า B+!]
[ทั้งปราสาทโอซาก้าหายไปหรอ? ฉันอยากจะเห็นด้านในมันจัง!]
[นั่นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญในตอนนี้นะคุณมัสติฟอร์ด]
[เฮ้ นายช่วยหยุดเอาข้อผิดพลาดของฉันมาพูดซักทีสิ ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านแม่ของฉัน ดังนั้นฉันจึงสามารถจะเห็นได้เพียงแต่ประตูของเยียงดงพู! ฉันก็เป็นคนที่พักอยู่ในเยียงดงพูอีกด้วย!]
'ฉันรู้น่า! เปิดทีวีของเธอและดูไปที่ประเทศอื่นๆ! ฉันอยู่ในที่ๆไม่สามารถแม้แต่จะเปลื่ยนช่องทีวีได้'
ฉันได้แต่เก็บความคิดนี้เอาไว้ในหัว
[ฉันได้ยืนยันมันแล้ว เหตุการณ์ดันเจี้ยนในอังกฤษมันเขียนว่า A+ และมันดูเหมือนว่าเหตุการณ์ดันเจี้ยนในอเมริกาจะเป็น S]
[หืม ฝรั่งเศส B จีน C แม้ว่าจีนจะมีระดับที่ต้ำ แต่ว่ามีเหตุการณ์ดันเจี้ยน 5 แห่งได้ปรากฏที่นั่นระดับ C 3 ที่และ C+ 2 ที่]
ถ้าตัวอักษรบนประตูมันใช้การจัดอันดับเหมือนกับผู้ใช้พลังเหมือนที่ฉันคิด มันก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้พลังระดับ S เพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการดันเจี้ยนระดับ S งั้นหรอ? ไม่ใช่ว่ามันเป็นการลุยเดี่ยวสำหรับทุกๆดันเจี้ยนงั้นหรอ?
[ฟู่ นี่มันยากนะ ถ้านายจัดทีม 10 คนในปาตี้เป็นมาตราฐาน... ไม่สิ ตั้งแต่ที่นายไม่สามารถจะออกและกลับมาใหม่ได้เหมือนในดันเจี้ยนที่เคยไป พวกเราจะต้องจัดทีมอย่างน้อย 20 คนสำหรับการโจมตี ตั้งแต่ที่พวกเขาก็ไม่ได้มีช่องเก็บของเหมือนพวกเรา เราก็จำเป็นจะต้องเพิ่มคนไปอีก 5 คนเพื่อที่จะได้นำของประจำวันติดตัวไปด้วย นั่นคือจำนวนทั้งหมด 25 คน แม้ว่าในผู้ใช้พลังระดับต่ำเราจะหาคนจำนวนเท่านี้ได้ แต่ว่าดันเจี้ยนในอเมริกาจะต้องใช้ผู้ใช้พลังระดับ S 20 ไม่ใช่หรอ? นี่มันทำได้ยากมาก]
[มันมีความเป็นไปได้ว่าจะมีเพียงแค่ 10 คนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่ดันเจี้ยนได้ ในกรณีนี้เราจะต้องมีผู้ใช้พลังที่ระดับสูงกว่าของดันเจี้ยน]
ฉันได้ตัดสินใจที่จะอยู่เงียบๆ แม้ว่าฉันจะเป็นนักสำรวจเหมือนกับพวกเขา แต่ว่าความรู้ที่ฉันรู้นั้นน้อยกว่าพวกเขามาก
[นอกจากนี้ถ้าบอสการจู่โจมระดับ S ปรากฏออกมา พวกเราก็จะต้องใช้คนอย่างน้อย 100 ถึง 300 ในการเข้าไปจัดการเอาชนะ นี่มันเป็นภัยพิบัติในหมู่พวกเขา]
[ตอนนี้เราจะต้องปล่อยมันเอาไว้ก่อน บอสของเยียงดงพูก็ระดับ A เช่นกัน...]
มัาติฟอร์ดดูเหมือนจะถูกแช่แข็งไปอยู่ในความคิดของเธอ ทันใดนั้นเองเธอก็พูดออกมา
[ทุกๆคน ฉันต้องการความช่วยเหลือจากพวกนาย แม่ของฉันรู้สึกไม่สบายใจ ฉันต้องการที่จะกำจัดดันเจี้ยนให้ได้อย่างรวดเร็วและทำให้แม่สงบลง ช่วยฉันเอาชนะดันเจี้ยนนี้ที ในฐานะจอมเวทย์แม้ว่าพลังไฟของฉันจะแข็งแกร่ง แต่ฉันไม่สามารถจะทำอะไรได้ถ้าอยู่เพียงลำพัง]
...อย่างที่ฉันได้คิดเอาไว้ เธอเป็นคนที่ซื่อตรง คนปกติจะพบว่าพวกเขาจะยากที่จะยอมรับในจุดอ่อนของตัวเอง แต่สำหรับมัสดิฟอร์ดที่ดูเหมือนจะเชื่อมั่นในตนเอง ฉันไม่คิดว่าเธอจะยอมรับในจุดอ่อนของตัวเองได้อย่างง่ายๆ ตอนนี้ไม่เพียงแค่เธอจะเปิดเผยมันเท่านั้น เธอยังร้องขอความช่วยเหลืออีกด้วย มันหมายความว่าเธอรู้จุดอ่อนเท่ากับจุดแข็งของตัวเอง ฉันได้เริ่มที่จะมองเธอในทางที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ฉันก็รู้ว่าเธอเป็นห่วงแม่ของเธอจริงๆ
[ฉันขอปฏิเสธ ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ตัวเองตกไปอยู่ในอันตราย]
เอ็ดเวิร์ด วอร์คเกอร์ได้เป็นคนแรกที่ตอบกลับไปนี้มันเป็นคำตอบตามปกติของพวกคนทั่วไป แต่ว่าในทางตรงกันข้ามมินามิได้ตอบในสิ่งที่ส่วนทางกับวอร์คเกอร์
[หนูจะช่วย พี่สาวหนูจะบินไปที่เกาหลีเลยตอนนี้! หนูมั่นใจในการป้องกันของหนู ดังนั้นหนูจึงสามารถจะทนต่อการโจมตีได้มากที่สุด]
[สุมิเระ! ขอบคุณมากฉันรักเธอจริงๆ]
เด็กหญิงคนนั้นใจดีเกินไป เธอควรที่จะคิดถึงสิ่งต่างๆให้มากกว่านี้
[มินามี ฉันไม่ได้พยายามจะขัดขวางเธอหรอกนะ แต่ว่าฉันไม่คิดว่านักสำรวจบนชั้นที่ 18 จะสามารถรับมือกับมอนสเตอร์ระดับ A ได้]
[คะ คุณพูดถูกแล้ว แต่ว่าฉันมีความมั่นใจในการป้องกันของฉัน! ฉันยังสามารถจะเผชิญหน้ากับการโจมตีของบอสตรงๆได้อีกด้วย]
[จริงดิ?]
สาวน้อยคนนี้ดูจะไม่ธรรมดา การปีนขึ้นไปที่ชั้นที่ 18 ภายในเวลา 2 ปี พร้อมด้วย...เอ๊ะ? 2ปี? สำหรับตอนนี้มีนักสำรวจอยู่ และมันก็ยังมี 5 คนเมื่อฉันได้กลายเป็นหนึ่งในนั้นเมื่อ 5 ปีก่อน....คำถามนี้มันได้เกิดขึ้นในใจของฉัน แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่จะถามออกมา ฉันได้รีบสลัดเรื่องนี้ออกไปจากจิตใจ
[มัสติฟอร์ดแผนของเธอคืออะไรถ้าหากว่ายอสมันปรากฏตัวเมื่อพวกเราเคลียร์ดันเจี้ยน]
[ไม่ต้องกังวล ฉันทีพลังไฟระดับ SS ถ้าฉันได้รับการป้องกันอย่าถูกต้อง ฉันก็สามารถจะจัดการกับบอสระดับ A ได้ด้วยตัวเอง]
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงได้ตัดสินใจ
[ฉันก็จะมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน แม้ว่าฉันอาจจะบกพร่อง แต่อย่างน้อยฉันก็สามารถจะคุ้มกันมัสติฟอร์ดได้]
[มะ มีอะไรเกิดขึ้นกับนายอย่างกระทันหันกัน? นายวางแผนอะไร? มันเป็นค่าสเตตัสหรอ? นี่คือสิ่งที่นายต้องการใช่มั๊ย?]
[นั่นก็สิ่งหนึ่ง ที่สำคัญกว่านั้น ฉันมั่นใจว่าฉันจะไม่ตายในดันเจี้ยนระดับ A นอกจากนี้ถ้ามีใครสามารถจะจัดการกับบอสได้โดยที่ไม่ต้องสูญเสียอะไร มันก็เหมาะสมแล้วที่จะยืมมือคนๆนั้นในการทำมัน]
ฉันได้ประเมินพลังของตัวเองอย่างไม่ลำเอียงแล้วว่ามันน่าจะประมาณ B+ แน่นอนนั่นเป็นเพียงแค่ความสามารถของไพก้าเท่านั้น เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งและเทคนิคทางกายภาพของฉันบวกกับความสามารถของฉันในฐานะนักสำรวจ....ฉันก็อาจจะเป็นระดับ A
[ฮึ่ม แม้ว่านายจะเปลื่ยนความคิดในตอนนี้ ฉันก็จะไม่เอานายเข้ามาในองค์กร]
[ฉันไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปในองค์กรของเธออยู่แล้ว คุณแม่มด]
[มะ แม่มด!?]
[ฉันก็จะให้ความร่วมมือด้วย เนื่องจากลู... ฉันหมายถึงเนื่องจากยวน ฮวาวูให้ความร่วมมือ มันก็เหมาะสมแล้วที่เพื่อนชาวเกาหลีจะเข้าร่วมด้วย]
'พ่อเกือบจะพูดคำว่าลูกชายออกมา พ่อ!'
ฉันได้บ่นอยู่ในหัวของฉัน อย่างที่พูดพ่อรู้สึกกังวลที่ลูกของเขากำลังจะเข้าไปในที่อันตรายเพียงลำพังดังนั้นเขาจึงเข้าร่วมด้วย
แต่ทำไมจะต้องเอาแต่นักสำรวจดันเจี้ยนไปล่ะ?
[มัสติฟอร์ด เธอเป็นผู้ใช้พลังระดับ SS ทำไมเธอถึงไม่สามารถจะนำผู้ใช้พลังคนอื่นๆไปด้วยล่ะ?]
[ผู้ใช้พลังคนอื่นๆหรอ? นายคิดว่าคนอื่นๆจะเลือกเข้าไปในสถานที่ๆน่าสงสัยและอันตรายนั่นโดยที่ไม่ได้รางวัลทำไมล่ะ?]
[ชื่อผู้ใช้พลังระดับ SS ไม่มีน้ำหนักจะทำเช่นนั้นงั้นหรอ?]
หลังจากที่ได้ยินในสิ่งที่ฉันพูด มัสติฟอร์ดก็ได้ถอนหายใจลึกๆ
[นายก็รู้ ผู้พิทักษ์ชาวอังกฤษกำลังยุ่งอยู่กับประตูที่ปรากฏในลอนดอน ผู้พิทักษ์เกาหลีทั้งหมดอยู่ภายใต้ฉัน แต่ว่าฉันก็กลัวผลที่จะตามมา]
[ผลที่จะตามมา? อา]
ฉากที่มัสติฟอร์ดเข้าไปในประตูของเกาหลีพร้อมกับผู้ใช้พลังชาวเกาหลีคนอื่นๆ น่าจะเป็นโฆษณาที่สมบูรณ์แบบบสำหรับช่างภาพชาวเกาหลีที่พยายามจะซื้อตัวเธอ เมื่อฉันเข้าใข ฉันก็ได้เผลอหยักหน้ารับตามสัญชาติญาณ
[แม้ว่าพวกเราจะทำสิ่งที่ดี แต่พวกเราจะต้องแอบย่องเข้าไปในประตู นายเข้าใจนะยวน ฮวาวู?]
[โอเค ฉันเข้าใจแล้ว เธอเป็นโจรสินะมัสติฟอร์ด]
[ขอบใจมากสำหรับ... เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมนายพูดเหมือนกับเป็นเพื่อนสนิทกับฉัน!?]
ทันใดนั้นมัสติฟอร์ดก็ได้ตะโกนหลังจากที่พูดดีๆได้พักหนึ่ง ฉันได้ยืนยันแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ปกติ ฉันได้ส่วยหัวของตัวเอง ในเวลาเดียวกันมัสติฟอร์ดก็ได้พูดต่ออกมา
[ถ้างั้นพวกเราจะรวมกันที่หน้าห้างสรพพสินค้าในสองชั่วโมง]
[นั่นมันเร็วเกินไป! มินามีจะต้องบินมาจากญี่ปุ่นนะ! ฉันรู้ว่าเธอต้องการที่จะจัดการดันเจี้ยนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ว่าใจเย็นๆหน่อย]
[อา นายพูดถูกแล้ว...ถ้างั้นบ่ายสองโมงของวันพรุ่งนี้นะ]
[ไม่มีปัญหา]
[เข้าใจแล้วพี่สาว]
[นั่นมันก็โอเคสำหรับฉัน]
[โฮ่? พวกนายสี่คนกำลังรวมตัวกันอยู่? ยวน ฮวาวู ฉันคิดว่านายจะแตกต่างออกไปซะอีก...เอาล่ะ โชคดีละกัน]
ด้วนสิ่งนี้ วอร์คเกอร์ได้เงียบไป มันเหมือนกับว่าเขาได้ปิดช่องสนทนาไปแล้ว
[ฉันก็จะออกไปเช่นกัน ฉันจะไปที่นั้นให้ทันเวลาเพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วง]
[คะ ใครจะไปกังวลสำหรับนายกัน? อา เดี๋ยวก่อนนะ นายกำลังจะปิดช่องสื่อสารใช่มั๊ย? อย่า-!]
ฉันได้ปิดมันไป ฉันได้ละบายความตึงเครียดทั้งหมดออกไปด้วยการถอนหายใจ ฉันได้เอื้อมมือไปหยิบเบียร์อุ่นที่อยู่ด้านหน้าฉัน ในเวลาเดียวกันฉันก็เห็นซู เยอึนจ้องมองมาที่ฉันแปลกๆ
"เป็นอะไรไปหรอชิน? นายดูเหมือนจะสั่นนะ"
"ฉันก็แค่กังวลน่ะ มันดูเหมือนว่าฉันกำลังจะไปทำอะไรบางอย่างที่อันตราย"
ฉันได้มองไปที่ประตูในทีวี คลื่นหมอกน้ำวนสีเทานั่น แม้ว่ามัสติฟอร์ดจะไม่ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับมันมากนัก ฉันก็ยังมีความคิดมากมายอยู่ในใจ
มันแตกต่างไปจากข้างในดันเจี้ยน
ถ้าฉันตายมันก็จบ
พวกเขาจะไม่เป็นอะไรใช่มั๊ยแม้ว่าจะไม่มีฉัน?
"ชิ ฉันไม่สามารถที่จะหันหน้าหนีปัญหาข้างหน้าได้แม้ว่ามันจะอันตรายมากแค่ไหน"
มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ฉันคิดเกี่ยวกันมัน แต่แล้วฉันก็จำได้ถึงบางอย่าง
ซูเปอร์ฮีโร่ที่ฉันฝันถึงเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็กก็ไม่ใช่คนที่ขี้ขลาด จากดันเจี้ยนฉันได้เรียนรู้มาว่าคนที่ขี้ขลาดก็ไม่สามารถที่จะแข็งแกร่งได้ ถ้าทุกอย่างมันจะสิ้นสุดลงเมื่อฉันตาย ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องไม่ตาย
เหตุผลอะไรล่ะที่ฉันเพิ่มความแข็งแกร่งของฉันในดันเจี้ยน? ก่อนที่มอนสเตอร์จะปรากฏตัวขึ้นมาบนโลก มันเป็นการพิสูจน์ว่าฉันจะสามารถไปได้ไกลแค่ไหน ฉันยังต้องการที่จะรู้ด้วยว่าในจุดสิ้นสุดของดันเจี้ยนคืออะไร มันก็ยังคงเหมือนเดิมในตอนนี้เมื่อมอนสเตอร์ได้ปรากฏตัวขึ้นบนโลก
จนถึงตอนนี้ ฉันได้ละเลยมอนสเตอร์บนโลกเพราะว่าฉันไม่สามารถจะได้รับทักษะหรือเลเวลอัพได้จากการล่าพวกมัน
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป หากความยากลำบากของมันเท่ากับผู้ใช้พลังระดับ A ถ้างั้นมันก็คู่ควรกับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉัน ถ้าหากว่ามีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นด้วยดันเจี้ยนนี้ มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่พวกคนธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้ใช้พลังจะต้องตาย เช่นเดียวกันในตอนที่ดวงจันทร์ดวงที่สองโผล่ขึ้นมา
"แม้ว่า ฉันจะพูดออกไปเพราะว่าฉันมั่นใจว่าฉันจะไม่ตาย"
"ตะ ตาย? มันอันตรายขนาดนั้นเลยหรอ?"
"เหมือนที่ฉันพูดไปนั่นแหละ ฉันจะไม่ตาย"
ฉันไม่ใช่นักบุญ ฉันไม่มีแผนที่จะทิ้งชีวิตของฉันไปให้กับคนที่ไม่รู้จัก แต่เยียงดงพูไม่ได้ไกลไปจากที่นี่ ถ้าบอสปรากฏตัวออกมาการโตทตีก็อาตตะมาถึงที่นี่และมันก็เป็นไปได้ที่คนที่ฉันรักจะได้รับบาดเจ็บ ฉันจะต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น
....สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือมันมีรางวัลในดันเจี้ยนนั่น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ชั่วคราว แต่ก็มีผู้ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นผู้ใช้พลังระดับ SS ในปาตี้ของฉัน! มันยากที่จะหาโอกาสแบบนี้ได้อีกแล้วในการเป็นปลิงเกาะเอาของตอบแทน! อ๊ะ ความตั้งใจจริงๆของฉันไหลออกมาหมดแล้ว
"ฮึๆ ฮุๆๆๆ"
"ยะ อย่าหัวเราะแบบนั้นสิ มันน่ากลัว..."
อา โลกที่กว้างใหญ่และความจริงหลายๆอย่างที่ซ่อนอยู่"
ฉันจะแข็งแกร่งขึ้น! การเอาชนะอันตราบและได้รับความแข็งแกร่งจากมันก็คือสิ่งที่จะกระตุ้นฉัน เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันก็กำหมัดแน่น แม้ว่าฉันจะหัวเราะเยาะกับบุคลิกที่เรียบง่ายของพ่อ แต่ฉันก็ยังไม่ได้รู้ว่าจริงๆแล้วฉันนั้นก็มีส่วนที่เหมือนกับพ่ออย่างมาก
"ฉันควรจะพานายไปหาหมอนะ...อูวว ฉันเป็นห่วงนายจัง"
"สนใจในเรื่องของตัวเธอก่อนเองเถอะ!"