ตอนที่ 34 เฝ้าศพ
ตอนที่ 34 เฝ้าศพ
ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้สนใจ เมื่อเห็นอาจารย์และนักพรตตู๋เดินเข้ามา ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ด้วยสีหน้าสบายๆ
จากนั้นพวกเราก็กำลังจะขอตัวไปพัก พิธีในตอนกลางวัน ก็มอบให้ชายชราทั้งสองคน
แต่ใครจะไปคิด จู่ๆนักพรตตู๋ก็พูดประโยคนั้นออกมา
นอกจากผมและเฟิงเฉ่วหาน แม้แต่อาจารย์ก็ยังหันไปมองทางเขา “นักพรตตู๋ นายพูดอะไรนะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็วิ่งเข้าไปทันที
ผมและเฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่ต่างกัน รีบวิ่งเข้าไปเช่นกัน อยากรู้ว่านักพรตตู๋เห็นอะไรเข้า
คนทำงั้นเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และถ้าเป็นอย่างที่พูด มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
เมื่อไปถึงข้างโลง นักพรตตู๋ก็ชี้ไปที่หัวของคุณหนูเหวิน “ก่อนหน้ามันยังไม่มี เมื่อกี้ฉันลองตรวจหัวของศพ กลับพบว่าในหัวของศพมีตะปูอยู่หนึ่งดอก!”
“ตะปู จะมีเจ้านี้อยู่ได้ยังไง” ผมถามด้วยความประหลาดใจ
แต่นักพรตตู๋กลับพยักหน้าที่เคร่งขรึม “ไม่ใช่แค่นั้น ตะปูดอกนี้ยังไม่ธรรมดา มันมีชื่อว่าตะปูวิญญาณทุกข์ระทม!”
เมื่อผมและเฟิงเฉ่วหานได้ยินสามคำนี้ ก็แสดงสีหน้ามึนงงออกมาเพราะมีความรู้ไม่มากนัก
แต่หลังจากที่อาจารย์ได้ยิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “ตะปูทุกข์ระทม ถ้าพูดแบบนี้ งั้นการตายของคุณหนูเหวิน ก็อาจถูกคนชั่วทำร้ายซินะ!”
นักพรตตู๋พยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่แค่นั้น คนๆนี้ยังชั่วกว่านั้น ไม่ใช่แค่ฆ่าคุณหนูเหวิน เขายังต้องการทำร้ายคนในตระกูลเหวินด้วย”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด แมวป่าที่ปรากฎตัวเมื่อคืน ต้องเป็นฝีมือของคนที่อยู่เบื้องหลังปล่อยมันออกมาแน่! แต่โชคดีที่พวกเธอสองคนแก้ไขสถานการณ์ได้ ไม่อย่างนั้นคุณเหวินและภรรยา คงตายไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินนักพรตตู๋พูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกใจสั่น
แต่นักพรตตู๋ ก็อธิบายให้ฟังนิดหน่อย ว่าอะไรที่เรียกว่าตะปูวิญญาณทุกข์ระทม
นักพรตตู๋พูดว่า นี่เป็นของที่ใช้ทำคุณไสย
ใช้ตะปูพิเศษ ตอกลงบนหัวของคนที่พึ่งตาย
โดยวิธีนี้ จะทำให้คนตายไม่สงบ รวมรวบพลังชั่วร้ายไว้ที่ส่วนบน ทำให้ศพอาละวาด และมีโอกาสมากที่ศพจะกลายเป็นผีดิบ
การทำแบบนี้จะต้องควบคุมผีดิบและวิญญาณอย่างอ้อมๆ แต่เดิมไม่เคยมีคนทำบอกความลับเรื่องนี้กับใครมาก่อน ราวกับสวรรค์ไม่รู้วิญญาณไม่เห็น
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย มีคนใช้วิชาชั่วร้ายฆ่าคน ควบคุมศพ กักขังวิญญาณ ไอ้ชั่วนี้น่ารังเกียจจริงๆ
และยังยากที่จะคาดเดา การตายของคุณหนูเหวิน ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันต้องมีคนทำร้ายเธออย่างแน่นอน
และตะปูดอกนั้น ยังเกิดขึ้นหลังจากนำตัวคุณหนูเหวินกลับมา มันถึงได้ถูกตอกลงไปในหัวของเธอ
เพราะก่อนหน้านี้ ศพของคุณหนูเหวินเคยถูกตรวจสอบจากทางโรงพยาบาล
ถ้าตอนนั้นมีตะปูอยู่จริง พวกเขาก็จะรู้ทันที
แต่ถ้าพูดอีกแบบก็คือ หลังจากคุณหนูเหวินเสียชีวิตไอ้ชั่วนั้น ก็มาที่งานศพ และยังได้สัมผัสกับศพของคุณหนูเหวิน
ไม่เพียงแค่นั้น อีกฝ่ายยังพยายามทำร้ายคนต่อ และเป้าหมายของเขา ก็อาจเป็นคุณเหวินและภรรยาอีกด้วย
หลังจากนักพรตตู่และอาจารย์เดามาถึงจุดนี้ ก็หันมาคุยกับผมและเฟิงเฉ่วหาน “พวกเราเข้ามามีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นต้องจัดการให้ถึงที่สุด”
“ตอนกลางวันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้นพวกเธอสองคนไปพักก่อน พอถึงตอนกลางคืน พวกเราจะมาสู้กับไอ้ชั่วนั้น เอาวิญญาณของคุณหนูเหวิน กลับมาให้ได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็พูด “ครับ” ทันที
แม้จะไม่รู้ว่าเกมนี้จะดำเนินไปยังไง แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมสามารถทำได้ ก็คือพักฟื้นร่างกายให้ดี
ถ้าร่างกายไม่ดี จะคอยช่วยอะไรได้ละ
หลังจากที่พวกเรากลับมาถึงห้องที่คุณเหวินเตรียมให้ ก็ยังพบว่ามีพ่อบ้านนำอาหารมาให้พวกเราอีกด้วย หรือพูดได้ว่าสะดวกสะบายไปซะหมดทุกอย่าง
หลังจากเติมท้องให้เต็ม พวกเราก็ไม่อาบน้ำ จากนั้นก็นอนหลับ
พอผมตื่นมาอีกที ก็เป็นเวลา 4 โมงกว่าๆแล้ว
ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็ออกไปหาเฟิงเฉ่วหาน และพวกเราก็เดินไปที่งานศพพร้อมกัน
อาจารย์และนักพรตตู๋ต่างอยู่ที่นี่ คุณเหวินและภรรยาเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน คุณเหวินและภรรยายังไม่รู้
พวกเขาเพียงโศกเศร้าเสียใจเผากระดาษเงินกระดาษทองที่หน้าโลง และพูดคุยเรื่องในอดีตกับคุณ
หนูเหวินที่อยู่ในโลง
เมื่ออาจารย์และนักพรตตู๋เห็นผมสองคนเดินเข้ามา ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงบอกให้พวกเราไปช่วยงานเท่านั้น
พิธียังคงดำเนินต่อไป จนถึงเวลา 4 ทุ่มกว่าๆ จากนั้นคุณเหวินและภรรยาก็ออกไป
ในเวลานี้ ในห้องจัดงานศพเหลือพวกเราสี่คนเท่านั้น
เมื่อผมเห็นว่าไม่มีคนนอก จึงเริ่มพูดกับอาจารย์และนักพรตตู๋ “ท่านนักพรตตู๋ อาจารย์ ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว คืนนี้พวกเราจะทำยังไงเหรอครับ”
อาจารย์กรอกตาใส่ผม “ไอ้เด็กนี้ใจร้อนจริงนะ!”
นักพรตตู๋กลับหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็พูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “เมื่อคืนพวกเธอสองคนสู้กับศพที่เปลี่ยนเป็นผีดิบมาแล้ว และศพเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นผีดิบได้อีกครั้ง ถ้าอีกฝ่ายยังอยากทำอะไรบางอย่าง คืนนี้เขาจะต้องลงมืออีกแน่ และอาจปล่อยวิญญาณของคุณหนูเหวินให้กลับมา……”
นักพรตตู๋พูดอย่างละเอียด เขาเริ่มเล่าเรื่องภารกิจในคืนนี้ให้พวกเราฟัง
เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้มันก็ไม่ยากแล้ว เมื่อถูกตอกตะปูทุกข์ระทม วิญญาณจะไม่ได้รับอิสระ เพราะถูกผู้ใช้วิชาควบคุมเอาไว้ เมื่อดวงวิญญาณหลงทางศพจึงถูกควบคุมจนกลายเป็นผีร้าย
ถ้าคนนั้นอยากควบคุมคุณหนูเหวินให้ออกไปทำร้ายผู้คน แบบนั้นเขาจะต้องให้วิญญาณกลับมาที่ห้องนี้ก่อน เหมือนกับคำพูดที่ว่า เมื่อวิญญาณกลับคืน ประตูแห่งความตายก็จะเปิดออก
จากนั้น นักพรตตู๋และอาจารย์ก็จะลงมือ แค่ทำร้ายคุณหนูเหวิน วิญญาณก็จะออกมา
หลังจากนั้นพวกเราก็ตามไป ก็จะสามารถหาเบาะแส และเจอคนที่อยู่เบื้องหลัง
การจัดการคนที่อยู่เบื้องหลังได้โดยตรงถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ถ้าไม่สามารถจัดการได้ ก็รอให้ฝังศพคุณหนูเหวินก่อน จากนั้นพวกเราค่อยมาวางแผนกันอีกที
หลังจากที่นักพรตตู๋และอาจารย์สรุปแผนให้ฟัง พวกเขาก็วิ่งไปนั่งสูบบุหรี่อีกทางด้านหนึ่ง ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหานก็ทำหน้าที่เฝ้าศพต่อไป
คืนนี้ในห้องโถงเย็นเป็นพิเศษ แต่ผมไม่กลัวเลยสักนิด เพราะอาจารย์และนักพรตตู๋นั่งอยู่ที่นี่ จะมีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถจัดการได้อีกละ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ประมาณเที่ยงคืนครึ่ง ผมก็รู้สึกว่าอุณหภูมิภายในห้องลดลงเยอะมาก
สายลมที่เย็นยะเยือก ไม่รู้ว่าพัดเข้ามาในห้องโถงได้จากทางไหน ผมอดไม่ได้ที่จะหวานจนตัวสั่น จับเสื้อผ้าไว้แน่น
แต่วินาทีที่ผมจับเสื้อผ้าไว้แน่นนั้น จู่ๆผมก็พบว่า ภายใต้แสงสว่างสลัวๆ ตรงหน้าต่างที่ห่างออกไป กำลังมีใครคนหนึ่งยืนอยู่
เป็นผู้หญิงใส่ชุดขาว ผมยาวปะบ่า กำลังพริ้วไหวตามสายลม หน้าขาวซีดผิดปกติ ดวงตาไร้ชีวิต ปากแดงเหมือนเลือด
และหน้าตา ยังคล้ายกับคุณหนูเหวินที่อยู่ในโลง แบบเหมือนกันเป๊ะๆ
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นผมกำลังมองอยู่ วินาทีนั้นเธอก็เผยรอมยิ้มที่แปลกประหลาดออกมา
เมื่อจู่ๆเห็นภาพแบบนี้ “พรึบ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที
ดึกดื่นป่านนี้ จะมีคนมายืนที่หน้าต่างได้ไง และยังเหมือนคุณหนูเหวินเป๊ะ เธอต้องเป็นวิญญาณของคุณหนูเหวินแน่
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็ตะโกนออกมาทันที “มาแล้ว คุณหนูเหวินกลับมาแล้ว!”
น้ำเสียงที่ตื่นตกใจของผม ทำให้นักพรตตู๋ อาจารย์และคนอื่นๆตกใจทันที
“อยู่ไหน อยู่ไหน” นักพรตตู๋รีบถาม
ผมชี้ไปที่หน้าต่างทันที “นั้นครับ เธอยืนอยู่ที่หน้าต่างบานนั่น!”
ขณะที่พูด ผมก็หันกลับไปมองอีกครั้ง แต่กลับไม่มีใครอยู่ แม้แต่เงาก็ไม่มี
แม้นักพรตตู๋และอาจารย์จะไม่เห็นคุณหนูเหวิน แต่พวกเขาก็ยังทำหน้าขมวดคิ้ว
ในเวลาเดียวกันผมยังได้ยินเสียงอาจารย์ “ในเมื่อวิญญาณกลับมาแล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องไปเอาชีวิต!”
“ใช่แล้วเหล่าติง พวกฉันสองคนจะไปบ้านตระกูลเวิน พวกเธอสองคนเฝ้าศพในห้องนี้ ถ้าวิญญาณกลับมาอีก ก็รีบโทรหาพวกฉันทันที ต้องเปิดโทรศัพท์เอาไว้ตลอดเวลานะ!” นักพรตตู๋รีบพูด
เสียงพึ่งจางหาย เขารีบหยิบดาบไม้ขึ้นและเดินออกไปจากห้องพร้อมอาจารย์ทันที
เป็นธรรมดาที่ผมและเฟิงเฉ่วหานจะไม่กล้าละเลย พวกเราตึงเครียดขึ้นมาทันที
ยืนอยู่ด้านซ้ายและขวาของโลง มองไปรอบๆห้องโถงด้วยความกังวล
แต่สิ่งที่นักพรตตู่และอาจารย์คิดไม่ถึงคือ วิญญาณของเธอไม่ได้ตั้งใจไปหาคุณเหวินและภรรยาตั้งแต่แรก แต่มาในห้องโถงที่ผมและเฟิงเฉ่วหานยืนอยู่……