บทที่ 59 ใครเป็นคนสร้างผนึก
เมื่อเห็นเจียงอี้ในสภาพเช่นนี้ความกังวลและความโศกเศร้าก็ปรากฏบนใบหน้าของเจียงหยุนไฮ่ เขาไม่ได้ให้คำปลอบใจใดๆกับเจียงอี้เพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เมื่อคิดว่าใครๆก็คงเสียใจที่ได้รู้ว่าพ่อของเขาคือใครก็ไม่รู้และแม่ของเขาก็ตายไปแล้ว ปฏิกิริยาของเจียงอี้ก็ยังค่อนข้างสงบ
เจียงอี้ต้องบังคับตัวเองไม่ให้คิดมากและยังมีคำถามมากมายเหลืออยู่ในใจของเขา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาถามอย่างใจเย็น “ท่านปู่ นางเป็นคนที่ผนึกตราประทับไว้ในตันเทียนของข้าใช่หรือไม่?”
“บางที..มันก็เป็นไปได้ว่านายหญิงเป็นคนปิดผนึกตันเทียนของท่านเพราะนางต้องการให้ท่านมีชีวิตปกติ ข้าเป็นคนที่ดื้อดึงเกินไปเรื่องที่ท่านถูกผนึกตันเทียน และทุกสิ่งคงไม่เกิดขึ้นหากข้าไม่ได้ออกจากที่นี่ไปตั้งแต่แรก ...”
เจียงหยุนไฮ่ถอนหายใจอย่างเศร้าโศก ความคิดถัดไปของเขาทำให้แววตาที่มืดมนของเขาส่องแสง เขาจ้องมองที่ตันเทียนของเจียงอี้และถามว่า “ใต้เท้าน้อย ท่านปลดผนึกตราประทับของท่านได้อย่างไร? มันเป็นเพราะมังกรเพลิงที่ออกมาปกป้องท่านเมื่อเจียงหยุนเหอกำลังจะฆ่าท่านจริงๆหรือ?”
“มันก็ไม่เชิง!”
เจียงอี้ส่ายหัว เขาเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความเงียบงันก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้วจนถึงการเปิดเผยการบ่มเพาะที่ลึกลับและนิรนามให้เจียงหยุนไฮ่ฟัง รวมถึงแก่นแท้พลังสีดำ
สำหรับเขา เจียงหยุนไฮ่เป็นคนที่เขาไว้ใจได้อย่างไม่มีข้อสงสัย นอกจากนี้เขายังต้องการให้เจียงหยุนไฮ่เห็นพลังของแก่นแท้สีดำและช่วยเขาไขข้อสงสัยของเขาว่าทำไมพลังของแก่นแท้สีดำนี้ถึงได้มีพลังเช่นนี้
“นี่...”
เจียงหยุนไฮ่ดูหวั่นใจกับสิ่งที่เจียงอี้กล่าวมา เขาวางมือของเขาไว้ที่หลังของเจียงอี้และส่งแก่นแท้พลังเข้ามาในตัวเจียงอี้เพื่อตรวจสอบ และถอนพลังออกมาในเวลาต่อมาพร้อมการแสดงออกที่งุนงง “ใต้เท้าน้อย มันไม่มีแก่นแท้พลังสีดำใดๆใน ตันเทียนของท่านเลย”
“อ๋อ ข้าใช้มันไปหมดแล้ว เดี๋ยวข้าบ่มเพาะมันเส้นหนึ่งเดี๋ยวนี้แหละขอรับ!”
เจียงอี้ลุกขึ้นอย่างเร่งรีบเพื่อเริ่มบ่มเพาะพลัง เขาตกตะลึงทันทีที่เขาเริ่มบ่มเพาะ...เมื่อก่อนมันต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเพื่อบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำ แต่ตอนนี้เขาใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำหนึ่งเส้น...ความเร็วในการบ่มเพาะพลังนี้ มันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า!
ถูกต้อง...ตราประทับนั่น! ตราประทับของข้าถูกปลดผนึกอย่างสมบูรณ์ดังนั้นมันจึงเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังของข้าแน่ๆ! เอาล่ะ...มาดูกันว่าข้าจะบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีน้ำเงินได้เร็วแค่ไหน!
ด้วยหัวใจของเขาที่เต้นรัวอยู่ที่หน้าอก เจียงอี้ก็สลัดความคิดทั้งหมดออกไปจากจิตใจของเขาและไม่ต้องเสียเวลาในการฝึกฝนแก่นแท้พลังของวรยุทธตระกูลเจียงแล้ว ร่างกายของเขาสั่นอย่างไม่ได้ตั้งใจและดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ
“เป็นเช่นไรบ้าง ใต้เท้าน้อย?” เจียงหยุนไฮ่ถามด้วยความกังวล
“ความเร็วในการฝึกฝนของข้า ...” เจียงอี้ใช้เวลาหลายนาทีในการร้องไห้ออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ: “ตอนนี้มันเร็วกว่าเดิมอย่างต่ำก็ร้อยเท่าจากก่อนหน้านี้!”
“อะไรนะ?”
คำพูดดังกล่าวส่งแรงสั่นสะเทือนไปตามร่างกายของเจียงหยุนไฮ่ เขาถามด้วยเสียงต่ำว่า “ท่านแน่ใจหรือ?”
ในขณะที่เจียงอี้พยักหน้ารับ ใจของเจียงหยุนไฮ่ก็มีแต่ความตื่นเต้น ความเร็วการบ่มเพาะดั้งเดิมของเจียงอี้นั้นช้ามากและมันช้ากว่าเจียงเฮิ่นซุ่ยประมาณสามสิบถึงสี่สิบเท่า ด้วยความเร็วการบ่มเพาะของเขาเร็วขึ้นกว่าร้อยเท่านั่นก็หมายความว่า ... ความเร็วการบ่มเพาะของเขาเร็วขึ้นเป็นสองเท่าหรือสามเท่าของเจียงเฮิ่นซุ่ยในตอนนี้?
เจียงหยุนไฮ่ตระหนักได้ถึงความสามารถของเจียงเฮิ่นซุ่ย ซึ่งถ้าเจียงอี้สามารถฝึกฝนได้เร็วกว่าเจียงเฮิ่นซุ่ยมากกว่าสองถึงสามเท่านั่นก็หมายความว่าพรสวรรค์ของเขานั้นเปรียบได้กับผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักรเสินหวู่ ท้ายที่สุดแม้แต่อัจฉริยะห้าอันดับของอาณาจักรเสินหวู่ก็ไม่สามารถมีความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้ได้!
ผู้ถูกจัดอันดับในอาณาจักรเสินหวู่นั้นมีไว้สำหรับเด็กอัจฉริยะอายุต่ำกว่ายี่สิบปีและจัดอันดับตามความสามารถและความแข็งแกร่งของพวกเขา จอมยุทธที่อยู่หนึ่งในสิบอันดับนั้นถือว่าไร้ที่เปรียบ หากว่าพวกเขาไม่ได้ตายไปแล้ว ศักยภาพในอนาคตของพวกเขาคงจะไม่สามารถประเมินได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
“โอ้...ข้าเป็นเพียงลิ่วล้อเก่าๆที่โง่เง่าเมื่อนายหญิงกับ”บุคคลนั้น“มีพลังอำนาจมาก แล้วใต้เท้าน้อยจะเป็นเช่นไรล่ะ? แน่นอน นายหญิงคงรู้เกี่ยวกับศักยภาพที่ทรงพลังอย่างไม่ธรรมดาของใต้เท้าน้อยได้ นางจึงผนึกตันเทียนเพื่อป้องกันไม่ให้ท่านเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้หรือเปล่านะ?”
เจียงหยุนไฮ่พึมพำเมื่อความคิดของเขาเริ่มขึ้น เขาหันไปหาเจียงอี้ “ท่านบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำหรือยัง? ผสานมันร่วมกับแก่นแท้พลังสีน้ำเงินและแสดงให้ข้าดู ไม่ต้องกังวล ... ข้าจะใช้วิสัยทัศน์ของข้าดูมันในครั้งนี้เพื่อที่แก่นแท้พลังจะได้ไม่พันกันยุ่งเหยิง”
เจียงอี้พยักหน้าและรวมแก่นแท้พลังสีดำก่อนที่จะนำไปไว้ที่ดวงตาของเขา เมื่อวิสัยทัศน์ของเขาถูกเพิ่มพลังอย่างมาก เขาจึงหันไปหาเจียงหยุนไฮ่และถามว่า “ท่านปู่ ท่านจับจุดอะไรได้บ้างหรือไม่?”
นัยน์ตาของเจียงหยุนไฮ่ปิดลง แต่ความตกใจที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาเพิ่มขึ้นในทุกช่วงเวลา ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นมาและมีสีหน้าที่เศร้าโศก “การดำรงอยู่ของแก่นแท้พลังสีดำในโลกนี้ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก และมันมีพลังมากมายขนาดไหนที่จะผสานกับแก่นแท้พลังอื่นๆได้กัน? ไม่ต้องพูดถึงพลังที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหลังจากรวมกัน แม้แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้ายังสามารถปรับปรุงได้ นี่ไม่ใช่แก่นแท้พลังอย่างแน่นอน แต่ว่าสิ่งนี้มันคืออะไรกันนะ?”
“เฮ่อ...”
แม้แต่เจียงหยุนไฮ่ยังไม่รู้ว่าแก่นแท้พลังสีดำคืออะไร
เจียงหยุนไฮ่พึมพำกับตัวเองอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะขอให้เจียงอี้รวมแก่นแท้พลังสีดำอีกครั้ง หลังจากสังเกตอยู่พักหนึ่ง เจียงหยุนไฮ่พูดด้วยความมั่นใจว่า
“ใต้เท้าน้อย นี่มันไม่มีแก่นแท้พลัง! เท่าที่ท่านทราบ การฝึกฝนในโลกของเราต้องดูดดึงกลิ่นอายทางวิญญาณขององค์ประกอบพื้นฐานทั้งห้าในสวรรค์และ โลกและเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นแก่นแท้พลังต่างๆ”
“ซึ่งแยกเป็นลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนั้นจอมยุทธส่วนใหญ่ในทวีปเทียนชิงจึงสามารถควบคุมองค์ประกอบพื้นฐานทั้งห้า: โลหะ ไม้ น้ำ ไฟและดิน แน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คน ผู้ที่ถูกเลือกในโลกนี้ที่จะมีพลังแบบพิเศษ..อย่างเช่นของท่าน!”
“สิ่งที่ข้าสามารถบ่มเพาะได้คือแก่นแท้พลังของสายฟ้าซึ่งมาจากแก่นแท้พลังสีม่วง มีแก่นแท้พลังพิเศษสิบสามชนิดที่รู้จักกันดี แต่ข้าไม่เคยได้ยินถึงแก่นแท้พลังเช่นของท่าน สิ่งที่สามารถผสานกับแก่นแท้พลังอื่นๆและเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งได้อย่างน่าขัน ความจริงที่ว่าท่านสามารถบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำได้สิบเส้นในเวลานี้ ทำให้ข้ามั่นใจยิ่งขึ้น.. ว่านี่ไม่ใช่แก่นแท้พลัง แต่เป็นพลังลึกลับบางอย่าง พลังงานและการบ่มเพาะนิรนามนี้อาจมาจากผู้ที่ผนึกตันเทียนของท่าน ...”
“ข้าว่า มันมีบางอย่างที่มันไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่!”
คิ้วของเจียงอี้ขมวด “ท่านไม่ได้บอกว่าแม่ของข้าเป็นคนผนึกตันเทียนของข้าหรอกหรือ? แล้วทำไมนางถึงทิ้งการบ่มเพาะที่ทรงพลังไว้ให้ข้าถ้าหากนางไม่ต้องการให้ข้าเรียนศิลปะการต่อสู้และต้องการให้ข้าใช้ชีวิตเหมือนกับชาวบ้านทั่วไปแทนล่ะ...ข้าไม่รู้ต้นกำเนิดของตัวเองเลยจริงๆ”
เจียงหยุนไฮ่พยักหน้าเห็นด้วย “นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่แน่ใจ หากนายหญิงเป็นผู้ผนึกตันเทียนของท่านจริงๆ ! หากนางเป็นคนปิดผนึกจริงๆนางคงไม่สามารถทิ้งการบ่มเพาะพลังที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ แต่หากไม่ใช่นาง แล้วมันจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ?”
"โอ้ ใช่แล้ว!"
หลังจากใคร่ครวญหลายครั้งเจียงหยุนไฮ่ได้กล่าวอย่างจริงจังว่า "ใต้เท้าน้อย ท่านต้องจดจำสิ่งหนึ่งไว้ให้ดี ท่านจะต้องไม่ให้คนอื่น ไม่แม้แต่วิญญาณเดียวล่วงรู้เกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังนิรนามและแก่นแท้พลังสีดำของท่านกับผู้ใดฟัง! ไม่เช่นนั้นอาจมีปัญหาตามมาอย่างไม่สิ้นสุด ... "
เจียงอี้ยอมรับอย่างไม่เต็มใจแต่ก็ไม่ได้มีการประท้วงใดๆ เจียงหยุนไฮ่ก็โบกมือของเขาและออกไปข้างนอก “ใต้เท้าน้อย โปรดพักผ่อนเถิด ข้าจะไปเตรียมการในเรื่องที่จำเป็น เราควรระงับข่าวของท่านจากสาธารณชน มันจะลำบากมากถ้าสิ่งต่างๆถูกแพร่กระจายออกไป...”
...
“ท่านประมุข เราได้รับรายงานจากสำนักงานใหญ่ เราได้รับการยืนยันแล้วว่าเจียงนี่หลิวเป็นบุตรคนเดียวของจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก ท่านเป็นคนที่ล้าสมัยและเห็นกฎหมายและกฎระเบียบเหนือสิ่งอื่นใด นอกจากนี้เขายังมีระเบียบวินัยมากและไม่เคยมีข่าวลือใดๆเกี่ยวกับเขาเรื่องความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นนอกจากภรรยาของเขามันเป็นไปไม่ได้ที่เจียงอี้จะเป็นบุตรนอกสมรสของเขาขอรับ”
ณ โถงวรยุทธ, ผู้เฒ่าเฟ่ยรายงานต่อประมุขโถงวรยุทธด้วยความเคารพ ประมุขโถงวรยุทธพยักหน้าพร้อมลูบไล้ต่างหูเงิน "ข้าได้พบกับเจียงเปี๋ยหลี จอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าเขาค่อนข้างเป็นคนหัวโบราณ ซึ่งบอกได้จากกฎหมายที่เกิดขึ้นในอาณาจักรเสินหวู่ เขาเป็นผู้สนับสนุนกฎหมายและต้องการยกเลิกระบบ 'การปกครองโดยคน' ในอาณาจักรเสินหวู่ในขณะที่ส่งเสริม 'การปกครองโดยอำนาจกฎหมาย!' ด้วยกฎหมายที่ปกครองทุกสิ่ง เขาจะต้องปฏิบัติในสิ่งที่เขาสอนไว้ ด้วยเหตุผลนี้เจียงอี้คงไม่ใช่บุตรนอกสมรสของเขา ... "
ผู้เฒ่าเฟ่ยกล่าวรายงานต่อไปว่า “มีข่าวลือออกมาจากตระกูลจีด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ตันเทียนของเจียงอี้นั้นถูกผนึก เหตุผลที่เขาพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งปีหลังเป็นเพราะเม็ดยาของเราและการเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนอย่างมาก ตอนนี้ เขาลือกันว่าเจียงอี้สามารถเป็นคู่ปรับระดับเจียงเฮิ่นซุ่ยและจีทิงยวี่ได้เลยขอรับ”
“สำหรับวิธีการที่เขามีพลังเพิ่มขึ้น ข่าวลือบอกว่าเขาได้ฝึกฝนทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์ที่ถูกทิ้งไว้ให้เขาโดยแม่ของเขา และเรื่องอื่นๆ…เรามีข่าวเกี่ยวกับมังกรเพลิงที่ฆ่าเจียงหยุนเฉอ มันเป็นสิ่งประดิษฐ์อันทรงพลังจากแม่ของเขาและมีพลังงานที่น่าเกรงขามที่สามารถช่วยชีวิตของเจียงอี้ได้ในยามวิกฤตแม้ว่าจะมีการลือกันว่าสิ่งประดิษฐ์นั้นสามารถใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น”
“ทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์? สิ่งประดิษฐ์?”
ประมุขโถงวรยุทธส่ายหัวและยิ้มอย่างเยือกเย็น “ข่าวที่รั่วไหลออกมามีโอกาสมาจากเจียงหยุนไฮ่หรือไม่? แม่ของเจียงอี้? ช่างไร้สาระ! นางมีพลังมากเพียงใดที่จะกลั่นกรองสิ่งประดิษฐ์เช่นนี้ได้ นางคงต้องอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวเป็นอย่างน้อยที่สุด ซึ่งพลังดังกล่าวนั้นมีอยู่ไม่เกินห้าคนจากทั่วทั้งทวีป ไม่ว่าในกรณีใด...ไม่ต้องสงสัยเลยว่าครอบครัวของเจียงอี้มีพลังมากเพียงใด อย่างน้อยหนึ่งในนั้นก็ต้องถึงจุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวแล้ว และเริ่มเข้าใจรูปแบบเต๋า ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงไม่สามารถทิ้งสิ่งประดิษฐ์ที่น่าเกรงขามเช่นนี้ให้กับเจียงอี้ได้”
“เราจะทำอย่างไรกับสัญญาระหว่างเจียงอี้และโถงวรยุทธดีขอรับ?” ผู้เฒ่าเฟ่ยถาม
“ทำให้เป็นโมฆะซะ!”
ประมุขโถงวรยุทธโบกมือ “แน่นอนว่าเราจะไม่เป็นคนหยิบเรื่องนี้ขึ้นมา รอเจียงหยุนไฮ่มาหาเรา มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่เขาจะเป็นหนี้พวกเรา”
...
คำเล่าลือบนถนนที่ผู้เฒ่าเฟ่ยกล่าวมานั้นได้รับการเผยแพร่อย่างมีจุดมุ่งหมายโดยเจียงหยุนไฮ่ ภาพมังกรเพลิงที่พุ่งขึ้นมาจากตันเทียนของเจียงอี้นั้นน่ากลัวเกินไป ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่ามันสามารถกำจัดจอมยุทธขั้นที่เจ็ดของขอบเขตจื่อฝู่ได้ในพริบตา การโยงสิ่งต่างๆไปที่แม่ที่ทรงพลังของเจียงอี้อาจเป็นวิธีที่ง่ายกว่าในการอธิบายทุกๆอย่าง
แม้ว่าหลายตระกูลยังคงไม่เชื่อคำอธิบายนี้และจบลงด้วยการคาดเดามากมาย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีการแพร่ข่าว ตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดถึงมันอย่างเปิดเผย เจียงหยุนไฮ่ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนโดยกล่าวคำอธิบายว่าเขาไม่ต้องการให้ใครคาดเดาอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่พอใจอย่างรุนแรง
ตำหนักตระกูลเจียงและตระกูลหม่ายังคงถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพทหารตะวันตก ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าหรือออก ซึ่งเจียงหยุนไฮ่จงใจปล่อยให้เป็นความสนใจของผู้อื่นกับสถานการณ์เหล่านั้น ในขณะนี้เขาอยู่ในตำหนักเจ้าเมืองและอยู่กับตัวแทนทั้ังสามจากสำนักจิตอสูร
“ท่านไม่ต้องการให้เจียงอี้เข้าร่วมการแข่งขันต่อไปใช่หรือไม่?”
เมื่อรู้ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการมาเยือนของเจียงหยุนไฮ่ คิ้วของผู้เฒ่าฝูก็นิ่งเงียบ ตัวแทนคนอื่นมีสีหน้าไม่สบายใจคล้ายกันบนใบหน้า ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งสามคนยังคงไม่พอใจกับคำพูดของเจียงหยุนไฮ่ในวันนั้นเมื่อเขาประกาศว่าทุกคนจะถูกฝังเคียงข้างเจียงอี้หากเขาตาย
“ถูกต้อง!”
เจียงหยุนไฮ่พยักหน้าอย่างหนัก “ที่เจียงอี้ต้องยกเลิกการแข่งขันในวันนั้นเพราะมีคนลักพาตัวสาวใช้ของเขาไป ข้าแน่ใจว่าท่านรู้อยู่แล้ว เขาไม่ควรถูกตำหนิในเรื่องนี้ เมื่อท่านทราบเหตุที่เขายอมแพ้แล้ว ข้าคิดว่าเขาจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังถ้าเขาได้เป็นศิษย์ในสำนักของท่าน การมีเขาจะช่วยให้สำนักของท่านเหนือกว่าสำนักใหญ่ๆอีกสองแห่ง!”
หากผนึกของเจียงอี้ยังไม่ถูกปลด บางทีเจียงหยุนไฮ่อาจพาเขาไปที่อื่น..ไปยังหมู่บ้านหรือเมืองที่ห่างไกล..และใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ อย่างไรก็ตามจากการที่ได้เห็นความเร็วในการฝึกฝนอย่างไม่น่าเชื่อของเจียงอี้ แม้ว่าแม่ของเจียงอี้จะต่อต้านเขาเรื่องเรียนศิลปะการต่อสู้ แต่เจียงหยุนไฮ่ก็ไม่สามารถเพิกเฉยและไม่ทำอะไรเลยเมื่อต้องมองดูอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาเช่นเจียงอี้ต้องไร้ประโยชน์ไป
“ไม่!”
เสียงตะโกนเยือกเย็นดังกระทบการรำลึกของเจียงหยุนไฮ่ ชายหนุ่มผู้เป็นตัวแทนคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน “กฎเกณฑ์ก็คือกฎเกณฑ์ 536 ได้ถอนตัวจากการเข้าร่วมการแข่งขันไปแล้วและเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับมาอีกครั้ง เราคงจะไม่สามารถเอาใจผู้เข้าร่วมได้ นอกจากนี้เราจะอธิบายเรื่องนี้ต่ออาจารย์สำนักจิตอสูรได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าฝูพยักหน้าเห็นด้วย “แน่นอน เราคงต้องปฏิเสธ นี่คือกฎของสำนัก! การถอนตัวก็คือการถอนตัวออกจากการแข่งขัน..ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม!”
แม่นางซูที่มีความงามเกินกว่าจีทิงยวี่ นางสั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่ชอบที่จะให้เจียงอี้กลับมาเช่นนี้
“เช่นนั้น ขออภัยด้วยที่พวกท่านต้องสละเวลามาฟังข้า และได้กล่าวสิ่งที่ไม่เหมาะสมด้วยความโกรธออกมาเมื่อวันก่อน ข้าขออภัยพวกท่านจริงๆ!”
เจียงหยุนไฮ่ถอนหายใจเบาๆ เขาป้องมือของเขาและเดินกะเผลกออกไปด้วยไม้ค้ำรูปหัวมังกร เมื่อเขาลับไปแล้ว ตัวแทนหนุ่มยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น “ช่างตลกนัก! อยู่เพียงขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่งตอนอายุสิบหกปี ถึงเขาจะมีทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์เพื่อเพิ่มพลังของเขาแล้วยังไง? เขาจะช่วยให้สำนักของเราชนะสำนักใหญ่อีกสองแห่งได้งั้นหรือ? เหอะ ฝันไปเถอะ!”