MPE บทที่ 13 ลุงหลิว
“โดยธรรมชาติแล้วตะขาบจะมีนิสัยที่ดุร้าย นายต้องปล่อยให้มันออกล่าและฆ่าเหยื่อ นอกจากนั้นนายยังต้องเลี้ยงมันด้วยเนื้อสดทุกมื้อเท่านี้จะสามารถปลดปล่อยความสามารถการต่อสู้ของมันได้อย่างเต็มที่” หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกล่าวเสร็จ เขาลงมาจากต้นไม้ ดูเหมือนเขาขึ้นมาสูงไปหน่อย เขาจึงค่อยๆปืนลงช้าๆ อย่างงกๆเงิ่นๆ
หมดกันความหล่อเท่ที่เขาทำมาทั้งหมด
“คุณรู้วิธีการฝึกตะขาบได้อย่างไร?” เกาเผิงถาม พร้อมหรี่ตามอง ถามเขาด้วยความสงสัย หากพิจารณาจากรูปลักษณ์ ชายหนวดเฟิ้มผู้นี้ดูไม่เหมือนผู้เชียวชาญในการฝึกสัตว์อสูรสักเท่าไหร่
“เฮ้ เจ้าหนู อย่าตัดสินคนจากรูปร่างภายนอกสิ ฉันฝึกตั๊กแตนตำข้าวปีศาจด้วยตัวเองนะ” หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโบกมือออกไปด้านข้าง ก่อนที่ตั๊กแตนตำข้าวปีศาจจะปรากฏตัวขึ้นและคุกเข่าอยู่บนพื้น
“ในแต่ละหน่วยงานย่อมมีความเชี่ยวชาญในฝึกสัตว์อสูรที่แตกต่างกัน ส่วนนั้นฉันเชี่ยวชาญการฝึกสอนพวกตั๊กแตน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เชียวชาญการฝึกตะขาบด้วยนะ ถ้านายต้องการฝึกตะขาบให้เป็นเครื่องจักรสังหาร นายต้องหาผู้เชียวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ ฉันทําได้เพียงแนะนํานายเท่านั้นแหละ” หัวหน้าเจ้าหน้าทีรักษาความปลอดภัยกล่าว
“โอ้ ขอบคุณท่านมาก” เกาเผิงพยักหน้าขอบคุณก่อนถามต่อ
“แล้วท่านรู้จักผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกตะขาบที่อยู่ในเมืองฉางอานบ้างหรือเปล่าครับ?”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะลึงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่มีบางคนเรียกเขาว่า ‘ท่าน’ มันจึงช่วยไม่ได้ที่รู้สึกแปลกๆเล็กน้อย
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ หัวหน้าเจ้าหน้าทีรักษาความปลอดภัยจึงเปิดปากกล่าว “อะแฮ่ม มีหลายค่ายที่ชื่อเสียงในการฝึก สัตว์อสูรประเภทตะขาบเพราะมันเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง แต่ฉันรู้จักคนๆ หนึ่งที่ฝึกสอนได้ที่มาก” หัวหน้าเจ้าหน้าทีรักษาความปลอดภัยกล่าวด้วยความยกย่องชื่นชม “เขาคือหัวหน้าหน่วยพิษที่ 5 จ้าวจินเยียน”
“แต่จ้าวจินเยียนเป็นคนที่อยู่อย่างสันโดษ มันเป็นเรื่องยากทีเขาจะรับศิษย์ เพราะครอบครัวของเขาตายระหว่างเกิดมหาภัยพิบัติเมื่อ 3ปี
ก่อน ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้เขากลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ทางที่ดีอย่าพูดเรื่องครอบครัวต่อหน้าเขานะ“
“อืม.. งั้นก็ลืมๆ เรื่องเมื่อกี้ไปเถอะ ผมจะฝึกฝนต้าซื่อด้วยตัวของผมเอง” เกาเผิงหมดความสนใจทันที เขาไม่อยากตีสนิท ประจบประแจงคนอื่น มันเหมือนกับการใช้แก้มอุ่นๆของตัวเอง สัมผัสกับแก้มก้นที่เย็นๆของคนที่ไม่รู้จัก ทั้งยังต้องเสี่ยงโดยไม่รู้ว่าเขาจะตดใส่หน้าเราตอนไหนด้วย (TN : เป็นการเปรียบเปรยจ้า)
และที่สําคัญที่สุดเขายังรู้สึกแปลกๆ เขารู้สึกว่าหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภันผู้นี้ ดูเหมืแนโม้เกินจริงไปหน่อย
ประสบการณ์ในการต่อสู้นั้น สามารถเก็บเกี่ยวได้ในการต่อสู้จริงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เกาเผิงคิด
หัวหน้าเจ้าหน้าทีรักษาความปลอดภัยอ้าปากค้าง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ เด็กคนนี้ควรจะกระตือรือร้นเรื่องของคุณจ้าวจินเยียนสิ!
จริงๆแล้ว หัวหน้าเจ้าหน้าทีรักษาความปลอดภัยผู้นี้มีจุดประสงค์แอบแฝงซ่อนไว้ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมแพ้ ถึงเขาจะเสนอผลประโยชน์ใดๆ เกาเผิงคงจะปฏิเสธแน่ๆ
เกาเผิงหันหลังกลับโดยไปโดยม่ลังเล เขาไม่ต้องการเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องของผู้อื่น เขามีพลังที่โกงกว่าคนอื่นอยู่แล้ว สิ่งที่เขาต้องทำ
เพียงแค่ดำเนินตามแผนของเขาอย่างช้าๆ
……
3วันของการทัศนศึกษาจบลงอย่างรวดเร็ว
สัตว์อสูรของพวกนักเรียนบางตัวอาศัยอยู่ในแต่เขตเมืองเท่านั้น ไม่เคยออกมานอกเมืองเลย พวกมันเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำ แต่ด้วยการคุ้มครองของกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มันเป็นเรื่องยากทีนักเรียนจะได้รับอันตรายใดๆ
การทัศนศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์ขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และพบเจอสัตว์อสูรตามธรรมชาติทีแท้จริง สัตว์อสูรเหล่านี้ย่อมแตกต่างจากสัตว์อสูรที่ถูกเลี้ยงไว้ตามบ้านอย่างแน่นอน เพื่อให้พวกเด็กๆได้มีประสบการณ์กับสัตว์อสูรป่าโดยตรง สิ่งนี้ย่อมเป็นผลดีต่ออนาคตของพวกเขา
…..
บนรถบัสระหว่างเดินทางกลับ
ต้าซื่อนอนขดตัวอยู่ใต้หว่างขาของต้าซื่อ ส่วนเกาเผิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ในช่วงไม่กี่วันทีผ่านมา ต้าซื่อมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ดวงตาของมันดูดุร้ายมากขึ้นขณะที่กรงเล็บและเขี้ยวของมัน คมกริบมากขึ้น ส่องประกายเย็นเยียบออกมา
นอกเหนือจากการฝึกความคล่องตัวและความแข็งแกร่งของต้าซื่อแล้ว มันยังได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรป่าอย่างต่อเนื่อง
มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเขาคือครั้งที่ต้าซื่อถูกจู่โจมโดยเขาของด้วงกระสุน จนเกือบทำให้สมองของต้าซื่อระเบิดออกมา
แม้สมองของตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วงจะถูกปกคลุมด้วยกระดองที่แข็งแกร่ง แต่สมองยังเป็นอวัยวะที่บอบบางอยู่
ต้าซื่อได้รับบาดเจ็บร้ายแรง จนเกือบเสียชีวิต แต่โชคดีที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยื่นมือเข้าช่วยเหลือและสังหารด้วงกระสุนตัวนี้ในการโจมตีเดียว จากตั๊กแตนตำข้าวปีศาจ
ด้วยเหตุนี้ เกาเผิงจึงติดหนี้บุญคุณหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้นี้ อย่างไรก็ตามชายคนนั้นกลับโบกมือและไม่ต้องการคำขอบคุณใดๆจากเกาเผิง เขาเพียงจ้องมองเกาเผิงด้วยสายตาซับซ้อนก่อนจะจากไปเท่านั้น
เกาเผิงลูบเปลือกบนศีรษะของต้าซื่อ ที่เป็นจุดที่ถูกทำร้าย มันได้ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว
อาการบาดเจ็บของต้าซื่อใช้เวลาพักฟื้นไป 1วันเต็มๆ นี่ทำให้เกาเผิงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก กับความเร็วในการฟื้นฟูที่เร็วขนาดนี้
รถบัสเคลื่อนทีผ่านโรงเรียนและนำนักเรียนเข้าไปในตัวเมืองสุดท้ายจึงให้นักเรียนลงมารวมตัวกันด้านล่าง
อาจารย์มู่หลาง ชิงอี้ เปิดปากกล่าว “หลังจากที่ทุกคนลงจากรถแล้ว ทุกคนต้องตรงกลับบ้านทันทีเลยนะจ๊ะ อย่าหนีทีอื่นล่ะ อีกครึ่งชั่วโมง ฉันจะโทรไปถามพ่อแม่ของพวกเธอทุกคน ถ้าพวกเธอเล่นตุกติกกับครูล่ะก็ ครูจะให้พวกเธอคัดลอกตำราเป็นจำนวน 10เล่ม”
“ครับ/ค่ะ” เด็กๆทุกคนขานรับเสียงเบาๆ
ตันเฉียนจินตบไหล่เกาเผิง “นายอยากไปดูการต่อสู้ที่สนามประลองสัตว์อสูรกับฉันหรือเปล่า?”
“ไม่ล่ะ ฉันต้องกลับบ้านให้ตรงเวลา” เกาเผิงปฏิเสธ
“แต่ไม่ใช่ว่านาย…” ตันเฉียนจินต้องการพูดบางสิง แต่เขานึกขึ้นได้และรีบขอโทษอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร” เกาเผิงส่ายศีรษะ หลังจาก 3ปี ในที่สุดเขาก็สามารถยอมรับความจริง เขาไม่ใช่เด็กวัยรุ่นเลือดร้อน เขาไม่ใช่คนประเภทเกลียดชังโลกทั้งใบหรือรู้สึกอิจฉาผู้อื่นเพียงเพราะเขาสูญเสียพ่อแม่
แต่เพราะเขาประสบกับความสูญเสียและความเจ็บปวด มันจึงทําให้เขาเติบโตขึ้น
“อืม!!” ตันเฉียนจินต้องการจะขอโทษอีกครั้ง แต่เกาเผิงกลับหันหลังและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว นั่นทําให้ตันเฉียนจินไม่สามารถทําสิ่งใดนอกจากกลืนคําพูดของตนกลับลงคอไปเท่านั้น
เกาเผิงเม้มปากเบาๆ ค่อยๆเดินออกจากฝูงชนออกไปกับต้าซื่อ
“เสี่ยวเผิง กลับมาแล้วเหรอ” ลุงหลิวทีกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนเล็กๆทักทายเกาเผิง
“ลุงหลิว” เกาเผิงทักทายพร้อมรอยยิ้ม ลุงหลิวเป็นเพื่อนบ้านที่ย้ายเข้ามาอยู่เมื่อสองปีก่อน เวลานั้นเกาเผิงกำลังประสบปัญหาชีวิตมากมายและอยู่ในความมืดมน มันเป็นเพราะลุงหลิวที่ยื่นมือเข้ามาช่วย ทำให้เกาเผิงสามารถจัดการสิ่งต่างๆและกลับมามีชีวิตปกติได้อีกครั้ง
เขาได้ยินมาว่าลูกชายและลูกสาวของลุงหลิวต่างจากไปด้วยอุบัติเหตุ หลังจากที่เกิดมหาภัยพิบัติ ดังนั้นชายชราและเด็กหนุ่มจึงกลายเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมและสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว หลายสิ่งที่เกาเผิงไม่เคยแบ่งปันกับคนนอก เขาจะแบ่งปันกับลุงหลิวเสมอ
“โอ้ ตะขาบน้อย ดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่ฉันเห็นมันอีกนะ เสี่ยวเผิง นายพามันไปดื่มเลือดมางั้นหรือ?” ลุงหลิวถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วครับ พวกเราพึ่งจะกลับจากทะเลสาบคันฉ่องในเขตชานเมือง พวกเราอยู่ที่นั่นมา เป็นเวลา 3วันแล้ว” เกาเผิงพยักหน้า
“อืม ไม่เลว ตะขาบมันไม่เหมือนพวกสุนัขหรือแมว มันเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ ดังนั้นมันจึงต้องต่อสู้และเห็นเลือดบ้าง” ลุงหลิว
หยุดพูดชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ
“แม้ตะขาบจะเป็นสัตว์อสูรที่ดี แต่มันเป็นเพียงแค่ชนชั้นสามัญ การที่จะเลือกสัตว์อสูรมาทำพันธะสัญญาเลือดนั้น ต้องเลือกอย่างพิถีพิถัน หากเสี่ยวเผิงสนใจ ฉันจะมอบสัตว์อสูรดีๆให้เธอเอามั้ย” ลุงหลิวเผยรอยยิ้มอบอุ่นหลังกล่าวเสร็จ