MPE บทที่ 12 คุณมีสังกัดแล้วรึยัง?
วิหคปีกสีเงินกลายเป็นลำแสงสีเงินพุ่งผ่านป่า พุ่งใส่เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวมันคือ เจ้าตะขาบนั่น
ขณะที่ตะขาบตัวโตเปิดปากคำรามศัตรูที่อยู่ด้านบนด้วยความดุร้าย อย่างไรก็ตามวิหคปีกสีเงินดูเหมือนจะค่อยกลัวมันสักเท่าไหร่
ลำแสงสีเงินที่แหลมราวใบมีดกับที่กรีดเฉือนร่างกายของตะขาบหน้ามนุษย์และส่งเลือดของมันให้ทะลักไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายตะขาบหน้ามนุษย์ ทนไม่ไหว จึงต้องล่าถอยกลับเข้าไปด้านหลังหินก้อนใหญ่
เมื่อเห็นอย่างนั้น วิหคปีกสีเงินจึง เร่งความเร็วมากขึ้นไปอีก
เมื่อเข้าไปอยู่ในระยะของตะขาบหน้ามนุษย์ ดวงตาของตะขาบหน้าส่องประกายก่อนจะยกร่างขึ้นในลักษณะของคันธนูและเหวี่ยง
หางออกไปฟาดวิหคปีกสีเงิน
*ปัง*
วิหคปีกสีเงินถูกหางของตะขาบหน้ามนุษย์ตีราวกับลูกเบสบอล
ขณะเดียวกันที่หางของตะขาบหน้ามนุษย์ที่ฟาดวิหคปีกสีเงินนั้น เต็มไปด้วยพิษสีดำและของเหลวสีเหลือง ทำให้ร่างของวิหคปีกสีเงินเต็มไปด้วยของเหลวเหล่านั้น
วิหคปีกสีเงินกระเด็นไปไกล ก่อนที่จะล่วงสู่พื้นอย่างรุนแรง
ด้วยพิษที่กัดกร่อนและยังมีของเหลวสีเหลืองของตะขาบหน้ามนุษย์อีก ทำให้พิษมันรุนแรงมาก จนทำให้วิหคปีกสีเงินขยับตัวไม่ได้เลย
ตะขาบหน้ามนุษย์มี เลเวล 12 เท่ากับวิหคปีกสีเงิน แต่ทั้งสองมี [ระดับ] ที่แตกต่างกัน โดย [ระดับ] ของวิหคปีกสีเงินนั้นสูงกว่า หากดูจาก [ระดับ] ก็ต้องคิดว่าวิหคปีกสีเงินต้องเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะแน่ๆ
แต่อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ครั้งนี้ ตะขาบหน้ามนุษย์กลับเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะโดยไม่คาดคิด
การต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรไม่ได้ตัดสินด้วยเพียงระดับของพวกมันเท่านั้น แต่มันต้องใช้ประสบการณ์ในการต่อสู้และสภาพแวดล้อมอีกด้วย
การต่อสู้นี้ทำให้เกาเผิงได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น
ตะขาบหน้ามนุษย์สามารถตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด ในเริ่มแรก
มันพยายามต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ แต่เมื่อว่าเห็นว่าเริ่มเสียเปรียบ มันจึงเลือกที่จะหนี
อย่างไรก็ตามในเวลาที่ศัตรูประมาท มันจึงใช้ช่องว่างนั้น สวนกลับไปทันทีด้วยการโจมตีที่รุนแรงที่สุด
ต้าซื่อเฝ้าดูการต่อสู้ของตะขาบหน้ามนุษย์ด้วยความระแวดระวังตลอดเวลา พร้อมกับส่งเสียงข่มขู่ออกมา
ตะขาบหน้าคนหยุดเคลื่อนไหวและมองต้าซื่อที่อยู่ในอ้อมกอดของเกาเผิงก่อนจะละความสนใจไปจากมันและคืบคลานตรงไปทางวิหคปีกสีเงิน
อาจารย์มู่หลาง ชิงอี้เอามือปิดปากของตน พร้อมกับน้าตาที่ไหลออกมา
เธอเลี้ยงดูวิหคปีกสีเงินมาตลอด 2ปี เธอยังจดจำวันแรกที่ เธอนำลูกนกตัวเล็กที่อยู่ในอุ้มมือกลับบ้านอย่างระมัดระวังได้เป็นอย่างดี
ในช่วง 2ปี ที่ผ่านมา เธอฝึกซ้อมและเข้าสู่สนามประลองพร้อมกับมันเสมอ เธอมองดูมันเติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อยราวกับมันเป็นลูกของเธอเอง
ดังนั้นเธอจึงรู้สึกเศร้า เสียใจ ที่ได้เห็นวิหคปีกสีเงินของเธอนอนอยู่บนพื้น หายใจรวยรินด้วยความเจ็บปวด
“เอาละ พอได้แล้ว ฉันยังไม่อยากดูละครน้ำเน่าตอนนี้” หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่ายศีรษะ
ราวกับได้รับคำสั่ง กิ่งไม้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างฉับพลันก่อนที่เงาของสิ่งมีชีวิตบางอย่างจะพุ่งลงไปด้านล่าง พร้อมกับเสียงกรีดเฉือนอากาศที่คมชัด
*ฟิ้ววว…*
ร่างกายของตะขาบหน้ามนุษย์ถูกตัดออกในพริบตา ศีรษะของมันกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะร่วงลงสู่พื้นดินพร้อมกับเลือดและของเหลวจํานวนมากที่ระเบิดไปรอบๆ
ราวกับเวลาถูกแช่แข็งเมื่อได้เห็นร่างที่ผอมเพรียวพร้อมกับแขนที่เหมือนเคียวสีม่วงปรากฏตัวมาให้เห็น
[ชื่อสัตว์อสูร] ตั๊กแตนตำข้าวปีศาจ
[เลเวล] 20 (ชนชั้นขุนนาง)
[ระดับ] สมบูรณ์
…..
เลเวล 20 ชนชั้นขุนนาง ระดับ สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นสัตว์อสูรระดับแนวหน้าและอีกเพียงแค่ 1เลเวล ตั๊กแตนตำข้าวปีศาจตัวนี้ก็จะวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์อสูรชนชั้นนักรบได้
มันแข็งแกร่งมาก เหล่านักเรียนมองมันด้วยความอิจฉา อยากได้มัน เดิมทีในสายตาของพวกเขา วิหคปีกสีเงินนั้นเป็นสัตว์อสูรชั้นนำอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่สามารถเทียบกับตั๊กแตนตำข้าวปีศาจได้เลย
ขนาดตะขาบหน้ามนุษย์ที่น่าสะพรึงกลัวยังถูกตั๊กแตนตำข้าวปีศาจฆ่าตายในพริบตาเดียว
“นี่… หรือว่านี่คือสัตว์อสูรชนชั้นนักรบงั้นหรือ?” นักเรียนบางคนได้เปิดปากถาม
“ไม่หรอก แต่ก็ใกล้แล้ว” เฉินฮั่วเฉียวพูดขณะที่มองไปยังตั๊กแตนตำข้าวปีศาจตัวนั้น
สักพักเฉินฮั่วเฉียว เหลือบไปมองไห่หลานหยูและเขาตบบ่าปลอบใจเขา “อย่าเศร้าไปเลย ฉันจะขอให้พ่อหาสัตว์อสูรตัวใหม่ให้นายเอง”
“ขอบคุณ” ไห่หลานหยูกัดริมฝีปากของตน พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“ไม่เป็นไร เราก็เหมือนพี่น้องกันนี่” เฉินฮั่วเฉียวหัวเราะเบาๆ
“อืม พวกเราเป็นพี่น้องกันนี่”
….
เกาเผิงเดินออกมาอย่างเงียบๆ เขากอดอก ครุ่นคิดอยู่ในใจ
พี่น้อง? พี่น้องคืออะไร?
เขารู้สึกสับสน
หลังจากพ่อแม่ของเขาได้จากไปก็ไม่มีญาติคนไหนมาเยี่ยมเขาเลย คุณตาของเขาก็หายตัวไป ในระหว่าที่เกิดมหาภัยพิบัติ เขาอยู่ระหว่างการท่องเที่ยว มีความเป็นไปได้สูงมากที่ปู่ของเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว
‘ฉันไม่จําเป็นต้องมีพี่น้องก็ได้ เพราะฉันมีต้าซื่ออยู่แล้ว’
เกาเผิงมองต้าซื่อที่อยู่ในอ้อมกอดและเผยรอยยิ้มขบขัน เมื่อเห็นต้าซื่อส่ายหนวดบนศีรษะของมันไปมาอย่างง่วงๆ ก่อนจะทิ้งตัวหลับไปท่ามกลางอ้อมแขนของเกาเผิง
“อย่านอนตรงนี้สิ แกหนักจนฉันจะอุ้มแกไม่ไหวแล้วนะ”
เกาเผิงรีบวางต้าซื่อลง น้ำหนักของมันไม่ใช่น้อยๆ ด้วยขนาดร่างกายยาวถึง 2เมตร และน้ำหนักถึง 45กิโลกรัม
……
หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น นักเรียนทุกคนจึงต้องระวัง
สัตว์อสูรของตนเองมากขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามเกาเผิงยังฝึกซ้อมหรืออาจเรียกว่าเล่นสนุกกับต้าซื่ออย่างสนุกสนานด้วยการหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง เกาเผิงเหวี่ยงมันออกไปไกล ให้ต้าซื่อวิ่งออกไปคาบก้อนหินกลับมา
มันกระโดดขึ้นจากพื้นจะอ้าปากคาบก้อนหินไว้ในปาก ก่อนจะวิ่งกลับมาหาเกาเผิงและคายหินลงบนพื้นด้านหน้าเด็กหนุ่ม
เกาเผิงจึงเผยรอยยิ้ม ก่อนจะลูบศีรษะชมเชยมันอย่างรักใคร่
“นี่เจ้าหนู นายมีสังกัดหรือแล้วรึยัง?” เสียงดังมาจากด้านบนของต้นไม้ เกาเผิงเงยไปมองทางขึ้นเสียง
เขาคือหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบลูชิลด์ที่กำลังมองเขาด้วยความสนใจ
“อา…ผมไม่ได้อยู่สังกัดไหนหรอกครับ ผมฝึกต้าซื่อด้วยตัวเอง นี่เป็นการฝึกความเร็วและความแม่นยำ” เกาเผิงกล่าว
“อุบ…”
เกาเผิงขมวดคิ้ว อย่างไม่พอใจเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนโดนดูถูก
“โทษทีนะ มันก็แค่ วิธีการฝึกของนายดูเหมือนเด็กที่เล่นของเล่นในบ้านน่ะ มันดูตลกไปหน่อย” หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาทำให้เกาเผิงรู้สึกราวกับถูกตบหน้า
“พูดตรงๆเลยนะ วิธีฝึกของนายมันทั้งน่าเบื่อและเสียเวลา” หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองลึกเข้าไปในดวงตาของ
เกาเผิง “นายไม่ควรฝึกสัตว์อสูรในแบบนี้โดยเฉพาะ สัตว์อสูรของนายเป็นถึงตะขาบกรงเล็บเหลืองหลังม่วง มันเป็นการใช้ฝึกที่เวลาและเปล่าประโยชน์”
“แล้วผมต้องทำยังไง?” ดวงตาของเกาเผิงมองไปที่เขาด้วยสายตาที่เปล่าประกาย