บทที่ 50 ไปยังเขาซีชาน
สำหรับการประลองรอบสุดท้ายของวันนี้ คนจากตระกูลหม่าเตรียมตัวที่จะขึ้นเวทีประแต่ก็ถูกรั้งตัวไว้ ส่วนคนที่เหลือของตระกูลก็ได้รับคำสั่งเร่งด่วนเช่นกัน : สมาชิกตระกูลหม่าไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเวทีประลอง
แผนการของหม่าขุยนั้นคือการเอาชนะเจียงอี้และกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่เนื่องจากมีตัวแปรที่ไม่คาดฝัน หม่าเฮยฉีถูกยั่วยุให้ขึ้นเวทีเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ซึ่งทำให้แผนการทั้งหมดล้มไม่เป็นท่า
หากว่าหม่าเฮยฉีเป็นฝ่ายชนะมันก็จะไม่เป็นอะไร แต่เนื่องจากเขาพ่ายแพ้ไปแล้ว มันคงดูไม่เหมาะสมนักที่ตระกูลหม่าจะส่งตัวแทนขึ้นไปบนเวที ทั่วทั้งเมืองเป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลหม่าเป็นกลุ่มคนที่หากมีแค้นก็จะเอาคืนเป็นสิบเท่า
แต่ที่พวกเขาไม่ต้องการที่จะส่งคนขึ้นไปบนเวทีประลองเพิ่ม ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะกลัวว่าอาจจะทำให้ตัวแทนทั้งสามจากสำนักจิตอสูรและเหล่านายทหารจากกองทัพทหารตะวันตกไม่พอใจ จากนั้นความพยายามทั้งหมดของพวกเขาก็จะสูญเปล่า
หากแม้แต่ลูกหลานตระกูลหม่ายังไม่ขึ้นเวทีประลอง เหล่าลูกหลานของตระกูลอื่นที่มีอำนาจรองลงมาก็ไม่คงไม่เสี่ยงเช่นกัน ผู้แข่งแกร่งที่แท้จริงไม่ต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากสภาพในปัจจุบันของเจียงอี้ ในขณะที่ผู้อ่อนแอก็หวาดกลัวต่อความดุร้ายของเขา
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ชวนให้อึดอัดนัก ยิ่งเวลาผ่านไป สภาพของเจียงอี้ก็ยิ่งแย่ลง สถานการณ์ของเขากำลังอยู่ในขั้นวิกฤต
ปัง!
อีกด้าน จีทิงยวี่ได้ส่งคู่ต่อสู้ของนางออกจากเวทีอย่างง่ายดาย นางหันไปมองเจียงอี้ด้วยสีหน้ามืดมน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนพยุงตัวเองให้ยืนอย่างมั่นคงพร้อมกับร่างที่ยังเปียกโชกไปด้วยเลือด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรจึงทำให้ภายในใจของหญิงสาวผู้นี้บังเกิดความรู้สึกไม่ยินยอมขึ้นมา
จีทิงยวี่ถอนหายใจออกมา ในที่สุดนางก็กัดริมฝีปากและหันไปส่งสายตาให้กับรุ่นเยาว์จากตระกูลจีผู้หนึ่ง คนผู้นั้นเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่านางต้องการสิ่งใดและกระโดดขึ้นไปบนเวทีประลองของเจียงอี้ทันที
“เอ่อ… ขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่ง?!”
สายตาของทุกคนตกอยู่บนร่างของเจียงอี้ ยิ่งเมื่อเห็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามของตระกูลจี มันก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะเหลือบไปมองจีทิงยวี่ พวกเขามองเห็นดวงตาที่เผยให้เห็นถึงความกังวลที่มีต่อเจียงอี้
มีหลายคนที่เริ่มคาดเดาความเป็นไปได้อันน่าเหลือเชื่อขึ้นมา… ไม่ใช่ว่าเทพธิดาแห่งตระกูลจีนางนี้ ผู้ที่สามารถเหยียดมองได้ทั่วทั้งเมืองเทียนอวี่จะมีใจให้กับเจียงอี้หรอกนะ?
จีทิงยวี่เป็นหญิงสาวที่โดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย นางมีความงดงามแบบที่บุรุษทุกคนต่างก็ต้องการที่จะครอบครองและยังเฉลียวฉลาด แม้แต่เจียงเฮิ่นซุ่ย, หม่าเฮยฉีและหลิ่วเหอต่างก็เกี้ยวพานางอยู่หลายปี แต่นางก็ยังคงเย็นชาและรักษาระยะห่างอยู่เสมอ
ถึงอย่างนั้น ในวันนี้นางกลับยอมเสียสละคนในตระกูลเพื่อเจียงอี้ผู้ที่มีสถานะต้อยต่ำ?
ดวงตาของเจียงเฮิ่นซุ่ยถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชัง เขาระบายความโกรธและริษยาโดยการลงมืออย่างโหดร้ายกับคู่ต่อสู้จากตระกูลหยางและทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส นัยน์ตาของเจียงเฮิ่นซุ่ยก็ยังจ้องมองไปยังเจียงอี้ด้วยความโกรธแค้นอย่างไม่สามารถปกปิดได้
เจียงอี้รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ในรอบนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สาม แม้ว่าร่างกายของเขาแทบจะพังทลาย แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงลุกโชนไปด้วยความกล้าหาญ เขาไม่ต้องการที่จะเสียเวลาอีกต่อไปจึงเร่งโคจรแก่นแท้พลังสีดำเส้นสุดท้ายและพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายในทันที
“ห๊ะ?”
ผู้เข้าแข่งขันจากตระกูลจีผู้นี้รู้หน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดีและเตรียมพร้อมที่จะลงจากเวทีอย่างเหมาะสม เขาไม่ได้มีความต้องการที่จะสู้กับเจียงอี้เลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นการลงมืออย่างฉับพลับของอีกฝ่าย ร่างของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจและเผลอก้าวถอยหลังจนตกเวทีไปเอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฝูงชนที่มาดูการต่อสู้ต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาซึ่งช่วยบรรเทาความตึงเครียดของการแข่งขันได้ จุดประสงค์ที่แท้จริงของการแข่งขันในครั้งนี้คือการที่ให้เหล่ารุ่นเยาว์ออกมาแสดงความสามารถ แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันกลับกลายมาเป็นแดนสังหารของเจียงอี้ ในตอนนั้นบรรยากาศช่างชวนให้รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ทุกคนต่างทราบดีว่าการแข่งขันจะยิ่งทวีความรุ่นแรงยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ควรจะมาถึงจุดนี้
ตึง!
หลังจากที่ประลองครบทั้งสิบยก เจียงอี้ก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เข่าข้างหนึ่งของเขาทรุดลงแต่ก็ยังดีที่สามารถใช้มือยันพื้นได้ทันก่อนที่จะล้มลงไปทั้งตัว
ฟึบ!
ทันใดนั้นเองร่างเงาร่างหนึ่งจากระเบียงของโถงวรยุทธได้โฉบลงมาราวกับเหยี่ยวและคว้าร่างของเจียงอี้กลับไป พริบตาเดียวพวกเขาก็หายไปจากครรลองสายตาของผู้คน
“หืม?”
มีเพียงคนส่วนน้อยที่เท่านั้นที่รู้ว่าเจียงอี้ทำงานให้กับโถงวรยุทธในฐานะคู่ซ้อมประลองยุทธ ดังนั้นคนส่วนมากจึงรู้สึกประหลาดใจที่ไม่มีใครจากตระกูลเจียงมาพาเขากลับไปรักษา แต่เป็นโถงวรยุทธที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแทน
หรือมันจะเป็นอย่างที่เจียงอี้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เขาไม่สามารถเทียบได้แม้กระทั่งสุนัขในสายตาของตระกูลเจียง?
หลังจากที่เจียงอี้จากไป เหล่าผู้ชมก็หันมาสนทนาเกี่ยวกับการต่อสู้อันเข้มข้นของชายหนุ่มและแทบจะละเลยการแข่งขัน หากเทียบกับการต่อสู้ที่เหลือแล้ว มันดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงแค่การละเล่นของเด็กๆเสียมากกว่า
……
“นายน้อยเจียงอี้! นายน้อยเจียงอี้! ท่านต้องอดทนไว้นะ! หากท่านเป็นอะไรไปแล้วล่ะก็ ข้ากลัวเหลือเกินว่าเสี่ยวนู๋จะไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”
สิ่งที่เจียงอี้ไม่รู้ก็คือ ณ มุมหนึ่งของจัตุรัสกลางเมือง ชุนหยากำลังยืนอยู่ด้วยร่างกายที่สั่นเทา ในวันนี้นางมาในเมืองเพื่อที่จะซื้อของ แต่กลับมองเห็นเจียงอี้ที่อยู่บนเวทีประลองโดยบังเอิญ
ชุนหยาดีใจมากที่เห็นเจียงอี้สามารถชนะการประลองได้ทุกยก ในขณะเดียวกันนางก็เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขา แต่ในที่สุดนางก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเจียงอี้ถูกพาตัวกลับไปโดยโถงวรยุทธ
“เอาล่ะ ได้เวลากลับแล้ว เสี่ยวนู๋คงต้องเป็นห่วงที่ข้าออกมานานแล้วแน่ๆ!”
ชุนหยาพึมพำกับตัวเองและเหลือบมองไปทางโถงวรยุทธอีกครั้งก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับตระกูลเจียง ระหว่างทางนางก็ยังคงครุ่นคิดว่าควรจะบอกเจียงเสี่ยวนู๋ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเจียงอี้ดีหรือไม่? นางรู้ดีว่าเจียงเสี่ยวนู๋เป็นห่วงเจียงอี้มากแค่ไหน หากไม่ใช่เพราะขาของนางไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ นางคงออกตามหาเจียงอี้ไปแล้ว
“อืม เอาเป็นว่าข้าจะบอกเสี่ยวนู๋ว่าข้าเห็นนายน้อยเจียงอี้ตรงทางเข้าโถงวรยุทธ แต่คงต้องปิดเรื่องที่เขาเข้าร่วมการรับสมัครศิษย์ไว้ก่อน!”
เมื่อชุนหยากลับมาถึงตำหนักตระกูลเจียง นางก็ได้ข้อสรุปว่าหากนางบอกเรื่องที่เจียงอี้เข้าร่วมการแข่งขันกับเจียงเสี่ยวนู๋ หญิงสาวผู้ดื้อรั้นนางนี้จะต้องลากสังขารของตัวเองเพื่อไปดูการแข่งขันของเจียงอี้แน่นอนและหากมันเกิดขึ้น ก็มีความเป็นไปได้มากว่ามันจะส่งผลกระทบต่อสมาธิของเจียงอี้
“เสี่ยวนู๋ ข้ากลับมาแล้ว!”
เมื่อเดินเข้ามาในลานบ้าน ชุนหยาก็เปิดปากตะโกนแต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เมื่อสังเกตรอบๆ ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน บริเวณรอบด้านต่างดูยุ่งเหยิงราวกับมีใครบางคนเข้ามารื้อค้น
“เสี่ยวนู๋!”
ตลอดทั้งวันพ่อแม่ของชุนหยาจะไม่อยู่บ้าน ครอบครัวของนางยากจนและไม่มีสิ่งของมีค่าซึ่งก็หมายความว่ามันไม่ใช่การขโมย คำอธิบายเดียวคือเจียงเสี่ยวนู๋กำลังมีปัญหา!
ปัง!
ในขณะที่ชุนหยากำลังวิ่งไปที่ห้องของนางด้วยความกระวนกระวาย เงาร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากห้องอย่างรวดเร็วและเหวี่ยงด้ามมีดไปที่ท้ายทอยของนางซึ่งทำให้นางสลบไปในทันที
“มัดนางและปิดปากไว้ ทางฝั่งของหัวหน้าหรงกำลังท่วงเวลาพ่อแม่ของนางอยู่ ก่อนที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย ข้าไม่ต้องการให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไป!”
น้ำเสียงอันเย็นชาดังออกมาจากลานด้านนอก ชุนหยาถูกมัดและปิดปากก่อนที่จะถูกนำไปขังไว้ในห้อง จากนั้นคนที่ลงมือก็หันกลับไปและนำร่างของหญิงสาวที่อ่อนแอนางหนึ่งออกมา เห็นได้ชัดว่านางคือเจียงเสี่ยวนู๋
มีคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่ที่ลานบ้าน หัวหน้ากลุ่มเป็นผู้ที่มีร่างกายอ้วนฉุ ดูก็รู้ว่าขาข้างหนึ่งของเขาเคยได้รับบาดเจ็บรุนแรงและยังไม่หายดี แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจียงหยูหู่!
ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังเจียงเสี่ยวนู๋และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “นำนางไปยังเขาซีชาน! เจียงหง ส่งข้อความไปถึงเจียงอี้ที่อยู่ในโถงวรยุทธ บอกให้มันไปยังเขาซีชานให้เร็วที่สุด แล้วก็อย่าลืมบอกคนของโถงวรยุทธด้วยว่าเจ้าคือลูกพี่ลูกน้องของเจียงอี้”
“พี่หู่ช่างชาญฉลาดยิ่งนัก! เจียงอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนนี้ มันจะต้องตายแน่หากกล้ามาที่เขาซีชาน!”
เจียงเป่าผู้ซึ่งมีร่างกายที่เตี้ยและบอบบางเหมือนกับจิ้งจอกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกังวล “ด้วยความแข็งแกร่งของเจียงอี้ในปัจจุบัน พวกเราจะสามารถเอาชนะมันได้จริงๆหรือ? แล้วพี่หลงจะมาด้วยไหม?”
เจียงหยูหู่พยักหน้า “พี่ชายของข้าต้องมาด้วยแน่นอน เขาจะอดกลั้นต่อไปได้อย่างไรหากไม่ได้ลงมือสังหารเจียงอี้ด้วยตัวเอง? ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น เจ้าจะรู้เองเมื่อถึงเวลา เอาล่ะ รีบหยิบอาวุธของพวกเจ้าแล้วไปที่เขาซีชานได้แล้ว!”
……….
“สวัสดี ข้ากำลังตามหาเจียงอี้อยู่ หรือที่พวกท่านเรียกเขาว่าหมาป่าเดียวดาย ข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา หนึ่งในลูกหลานตระกูลเจียงก็มาถึงยังด้านนอกของโถงวรยุทธและพูดคุยกับทหารยาม เจียงหงสามารถสังเกตจากใบหน้าของทหารยามได้ว่าเจียงอี้นั้นมีความสำคัญต่อโถงวรยุทธมาก มันจึงเป็นสาเหตุที่เขาไม่กล้าเข้าไปส่งข้อความอย่างเปิดเผย
ไม่นานนักทหารยามก็กลับออกมาและกล่าวกับเจียงหง “หมาป่าเดียวดายกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นจากการบาดเจ็บ ผู้ดูแลหยางให้มาบอกว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบทั้งนั้น เจ้าควรกลับมาใหม่ในภายหลัง”
“โอ้ เช่นนั้นข้าจะกลับมาใหม่!”
เจียงหงกลับออกมาด้วยสีหน้าที่เสแสร้งว่ากำลังเศร้า เขากลับมาที่นี่อีกครั้งหลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมง แต่ทหารยามก็ยังบอกว่าเจียงอี้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะพบใครได้ จนเขากลับมาเป็นครั้งสุดท้ายในช่วงเย็น แต่เจียงอี้ก็ยังคงไม่ตื่นขึ้นมา เจียงหงไม่มีทางเลือกนอกจากมุ่งตรงไปยังเขาซีชานและรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น
ความจริงแล้วเจียงอี้กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมากนัก เขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่สี่ชั่วโมงที่แล้ว แต่ผู้ดูแลหยางไม่ต้องการให้ใครมารบกวนเขา
ประสิทธิภาพของเม็ดยาระดับพิภพช่างล้ำลึกสมคำร่ำลือ!
ในยามราตรี ใบหน้าของเจียงอี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังจากพักฟื้นอยู่ครึ่งวัน อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นตัวเต็มที่
โถงวรยุทธไม่ได้โกหก ตราบเท่าที่เจียงอี้ยังไม่ตาย พวกเขาก็จะช่วยให้เขากลับมาอยู่ในสภาวะสูงสุดหลังจากการประลอง แน่นอนว่า… โถงวรยุทธเองก็ต้องจ่ายออกไปด้วยราคาที่สูงลิ่ว เม็ดยาระดับพิภพถึงห้าเม็ด!
นอกจากนี้ผู้ดูแลหยางยังใช้แก่นแท้พลังของเขาเพื่อช่วยเจียงอี้รักษาตัวเป็นเวลาถึงสี่ชั่วโมงเต็ม
ชัยชนะติดต่อกันยี่สิบยก!
เจียงอี้ถอนหายใจออกมา เหล่าชาวยุทธจากตระกูลหม่าต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสและเขาก็รู้ว่าอย่างน้อยตระกูลอื่นๆก็ไม่กล้าที่จะเลียนแบบ เขาได้ผ่านพ้นวันที่เลวร้ายที่สุดของการประลองไปแล้วและไม่ควรที่จะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้อีก เจียงอี้คาดเดาว่าเขาจะได้รับชัยชนะต่อเนื่องสิบยกได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ในวันสุดท้ายของการแข่งขัน เขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากที่สุด
เจียงอี้ปิดตาและเริ่มเข้าสู่ห้วงสมาธิ หากว่าสามารถได้รับชัยชนะต่อเนื่องทั้งหนึ่งร้อยยก เขาก็จะสามารถนำเจียงเสี่ยวนู๋ออกจากตระกูลเจียงและเข้าสู่สำนักจิตอสูรซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวว่าจะมีใครมาคุกคามชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะเป็นความคิดที่สมบูรณ์แบบ แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้ายนัก
วันรุ่งขึ้น เจียงอี้ได้มาถึงเวทีประลองก่อนที่จะกรรมการอาวุโสจะประกาศเริ่มการแข่งขัน แต่ในเวลานั้นเองได้มีชายผู้หนึ่งขึ้นมาบนเวทีและเป็นเพียงผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สอง อีกทั้งยังเป็นคนที่คุ้นเคยกับเจียงอี้
เจียงหง!
จากมุมมองของผู้ที่มาชมการต่อสู้ ชายหนุ่มจากตระกูลเจียงผู้นี้ถูกส่งมาเพื่อให้เจียงอี้สามารถบรรลุชัยชนะได้อย่างง่ายดาย แต่เจียงอี้รู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาจ้องมองไปยังเจียงหงด้วยสายตาอันดุร้ายและปลดปล่อยกลิ่นอายที่รุนแรงออกมา
“อึก!”
ถึงอย่างนั้นเจียงหงก็ยังคงก้าวตรงไปหาเจียงอี้ก่อนที่จะหยุดอยู่ห่างจากเขาสามเมตรและกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อสู้กับเจ้าแต่มาเพื่อส่งข้อความจากพี่หู่เท่านั้น เขาบอกว่า หากเจ้าไม่ต้องการให้เจียงเสี่ยวนู๋ตาย ให้รีบไปยังเขาซีชานในทันที หากเจ้าไม่ปรากฏตัวขึ้นในหนึ่งชั่วโมง เจียงเสี่ยวนู๋จะถูกข่มขื่นและฆ่าทิ้ง!”