ตอนที่ 18: มันไม่สำคัญหรอก
ระบบการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่อยู่ยงคงกระพัน
ตอนที่ 18: มันไม่สำคัญหรอก
“ฉันมีวิธีนี้เพียงวิธีเดียวนะ” หลินเจียอี้ยิ้มอย่างขมขื่น
ในตอนนั้น เธอถอดใจด้วยความสิ้นหวัง ถึงแม้ว่ามันจะถูกเขียนด้วยเงินหยวน ก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอจะถูกลักพาตัวโดยคนในชนบทป่าเขาอย่างนี้ และเธอก็จะแจ้งตำรวจ วันนี้เธอเห็น 1 หรือ 2 คนจากอินเตอร์เนต
คนแรกเขารับผิดชอบในส่วนของงานบ้าน และอีกคนก็อยู่ท่ามกลางหิมะ ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว
จากนั้นเธอเห็นชายที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นเพราะผู้ชายคนนี้ คนที่ต่อสู้ด้วยชีวิตของเขาและช่วยชีวิตเธอ และยิ่งเธอมองเขา เธอยิ่งรู้สึกว่าชายคนนี้มีดวงตาที่น่ามอง คิ้วเป็นระเบียบและมีความเป็นชายอย่างเข้มแข็ง
เขาเป็นหนุ่มรูปหล่อทีเดียวล่ะ!
“เธอมองอะไรของเธอเนี่ย?”
หนิงเทียนหลินรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเมื่อถูกจ้องมองโดยอีกฝ่าย ตั้งแต่เขาโตมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีเด็กสาวมาจ้องเขาอย่างใกล้ชิดเช่นนี้
“ไม่….ไม่มีอะไร”
หลินเจียอี้รีบหันหน้าหนีและใบหน้าแสนสวยนั้นก็แดงระเรื่อขึ้นอย่างอัตโนมัติ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจ้องมองผู้ชายเป็นเวลานานๆ
“ฉันชื่อ หลินเจียอี้ นะ แล้วนายล่ะ ชื่ออะไร?”
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้นะ”
เพื่อที่จะหยุดการโต้ตอบในประเด็นนี้ หลินเจียอี้จึงเปลี่ยนประเด็น
“ปิ๊น!”
“ปิ๊น!”
แต่ทันใดนั้น เสียงแตรรถหลายคันก็ดังขึ้นมาจากทางหลวงนั้น และพวกเขาก็มองเห็นคนทั้ง 2 คน เมื่อมองไป เขาเห็นรถเมอซิเดซเบนซ์สีฟ้าพุ่งตรงเข้ามาจากทางถนนหลวง รถคันหนึ่งเลี้ยวลงมาและวิ่งตรงมาทางด้านนี้
“พ่อ!”
“นั่นพ่อของฉัน! เขามาถึงแล้ว!”
เมื่อเห็นดังนั้น หลินเจียอี้รีบโบกมือให้รถคันนี้ และลืมถามชื่อของหนิงเทียนหลินไป
“เจียอี้!”
ก่อนที่รถจะจอดสนิท หลินซวงได้เปิดประตูและกระโดดออกมาจากรถ พุ่งไปหาหลินเจียอี้ทันที แล้วบอดี้การ์ดทั้ง 5 คนรวมถึงคนขับรถจึงตามมา
“พ่อ!”
หลินเจียอี้พุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของหลินซวง และหลังจากนั้น 10 วินาทีเธอก็เริ่มร้องไห้ เธอเกือบจะถูกข่มขืน และอาจจะถึงตาย ตั้งแต่โตมาจนป่านนี้เธอไม่เคยเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้เลย!
“ไม่เป็นไรนะ! ลูกไม่เป็นไรแล้ว!”
หลินซวงลูบหลังลูกสาวอย่างปลอบโยน เขาสาบานว่าเรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นกับลูกสาวเขาอีกตลอดชีวิตของเขา ใครก็ตามที่ทำไม่ดีกับลูกสาวของเขา เขากล้าที่จะฆ่ามันได้ทั้งครอบครัว เขาสามารถสร้างความแตกต่างในเรื่องอสังหาริมทรัพทย์ได้ และไม่มีเรื่องไหนที่เขาทำไม่ได้!!
ยิ่งไปกว่านี้ เขาเหลือบไปเห็นหนิงเทียนหลินที่ยืนอยู่ตรงนั้น โดยไม่พูดอะไร
“ขึ้นรถแล้วค่อยว่ากัน”
หลินซวงไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่เขาเปิดปากและสั่งบอดี้การ์ดทั้ง 5 คนที่ตามมา เขากลัวว่าถ้าพูดออกไปจะกระทบจิตใจลูกสาวและทำให้เธอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
บอดี้การ์ดทั้ง 5 คนนี้เป็นทหารผ่านศึกพิเศษที่เขาจ้างมาด้วยเงินจำนวนมาก พวกเขาไม่เพียงแต่ต่อสู้ได้ แต่คุณภาพทางการทหารก็ดีมาก เขาควรจะไปสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นข้างบนนั้น
ยิ่งไม่กว่านี้ เขาอยากรู้ว่าเจ้าพวกวายร้ายที่ลูกสาวเขาพูดถึงนั้นถูกฆ่าตายแล้วจริงหรือ?
คุณก็รู้ สังคมทุกวันนี้อยู่ภายใต้กฎหมาย ถ้าหากมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น จะต้องได้รับการสอบสวนอย่างมากมาย เขาอาจจะต้องรบกวนเด็กหนุ่มนี้ในตอนที่เขารอเพื่อจัดการปัญหาหลังจากนี้
คน 5 คนที่ตายไป เป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย
“ครับ”
บอดี้การ์ดทั้งห้าพยักหน้าและปราศจากคำพูด พวกเขาวิ่งขึ้นไปที่ตึกหลังนั้น ซึ่งพวกเขาเองแค่ละคนนั้นก็มีปืนเช่นกัน
“ปืนมีทะเบียน”
“คนพวกนี้ต้องติดอาวุธด้วยปืนมีทะเบียนแน่”
หนิงเทียนหลินเคยเห็นในอินเตอร์เนตว่าพวกที่มีสิทธิพิเศษ อย่างเช่น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และนักธุรกิจใหญ่ๆ จะมีบอดี้การ์ดคอยขนาบข้าง และพกปืนที่มีทะเบียน ตราบใดที่คุณมีใบอนุญาตให้พกปืน คุณก็สามารถยิงได้อย่างถูกกฎหมาย
ถ้ามีการฆ่ากันเกิดขึ้นจริง และด้วยเหตุผลที่ถูกกฎหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องรับโทษจากอาชญากรรมนั้น
“ชาติกำเนิดของหลินเจียอี้คนนี้คงจะรวยมากกว่าที่ฉันคิดสินะ”
เดิมทีหนิงเทียนหลินคิดว่าหลินเจียอี้เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา แต่เมื่อเห็นขบวนรถเบนซ์และบอดี้การ์ดแล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่ามันต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอนที่จะเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ได้
“ฉันมันโง่จริงๆ คนธรรมดาที่ไหนจะถูกโจรตั้ง 5 คนลักพาตัวมาวะ?”
หนิงเทียนหลินหัวเราะกับตัวเอง โจรลักพาตัวที่ไหนจะลักพาตัวคนธรรมดา ถ้าเขาไม่โดนบีบบังคับ เขาก็ไม่ต้องการเงินมากขนาดนั้นหรอก
แต่หนิงเทียนหลินมองคนทั้งห้าวิ่งขึ้นไปที่ชั้นบนและหน้านิ่ว เพราะว่าที่ชั้นบนนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีศพ หรือแม้แต่เลือดสักหยดให้เห็น แม้แต่ประตูที่ถูกทำลาย มีเพียงฝุ่นในที่นั้น
บอดี้การ์ดพวกนี้มองไม่เห็นอะไรเลย
ไม่เจออะไรเลย
ปรากฎการณ์อันแปลกประหลาดนี้เป็นที่สงสัยยิ่งนัก
“ทำไงดีเนี่ย?”
หนิงเทียนหลินพึมพำ และคิดเกี่ยวกับคำอธิบาย
“กลับบ้านไปพร้อมกับพ่อเถอะ กลับไปแล้วค่อยคุยกันก็ได้”
เพียงครู่เดียวอารมณ์ของเด็กสาวก็สงบลง หลินซวงประคองหลังของเธอและเธอกำลังจะก้าวตรงไปที่รถเมอซิเดซเบนซ์นั้น เขาหันกลับมาและพูดกับหนิงเทียนหลินว่า “เธอก็ตามฉันมาด้วยสิ”
“ฉันมีบางอย่างจะพูดกับเธอ ไปคุยกันที่บ้านฉันเถอะ”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ให้ความสนใจแก่หนิงเทียนหลินและเขาไม่ได้เยินยอหนิงเทียนหลินเลย ดูราวกับว่าอีกฝ่ายเชื่อฟังเขาอย่างสนิทใจและกลับบ้านไปพร้อมกับเขา
“พ่อคะ เดี๋ยวหนูจะแนะนำให้รู้จักนะคะ”
เมื่อได้ยินที่พ่อพูดกับหนิงเทียนหลิน หลินเจียอี้ก็รีบผละออกจากวงแขนของผู้เป็นพ่อ เธอสงบลงและเริ่มแนะนำ “เขาคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตหนูค่ะ ชื่อ….”
ในตอนนี้เอง หลินเจียอี้ก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเธอยังไม่รู้จักชื่อของอีกฝ่ายเลย
“มันไม่สำคัญหรอกว่าเธอจะเรียกฉันว่าอะไร ตอนนี้พ่อของเธอก็อยู่ตรงนี้แล้ว และฉันก็ควรไปได้แล้ว”
หนิงเทียนหลินต้องการเพียงจะไปจากที่นี่ตอนนี้ ถ้าอีกฝ่ายขึ้นไปสำรวจด้านบนเสร็จ เขาก็ไม่รู้จริงๆว่าจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร เขาไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้ว่าเขาเคยตายมาก่อน ยิ่งไปกว่านี้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับทัศนคติของพ่อของหลินเจียอี้
ยังไงก็ตาม เขาเป็นคนช่วยชีวิตลูกสาวของเขา แต่ไม่มีคำขอบคุณเลยสักคำ หนิงเทียนหลินไม่สบายใจกับจิตใจที่เย่อหยิ่งและทัศนคติที่ก้าวร้าวเช่นนี้
ส่วนเรื่องเงินนั้น เขาจะหาทางหามาให้ได้ในภายหลัง หลังจากที่พูดออกไปแล้วโดยไม่รีรอคำตอบของอีกฝ่าย เขาก็ได้เดินจากไป