บทที่ 44 เจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นเด็กอมมือหรือยังไง?!
มีผู้คนจำนวนมากที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์สำหรับผู้ชมและหนึ่งในนั้นคือผู้ที่มีสถานะสูงส่งที่สุดอย่างสามตัวแทนจากสำนักจิตอสูร ถัดจากนั้นคือบรรดาเหล่าตัวแทนจากกองทัพทหารตะวันตกและจีเทียน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเหล่าผู้อาวุโสแห่งสี่ตระกูลใหญ่เพราะแม้แต่ผู้นำตระกูลของพวกมันก็ยังไม่กล้าที่จะเอ่ยวาจาออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า
รองแม่ทัพแห่งกองทัพทหารตะวันตกเองก็ใช้แซ่เจียง เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวตัวแทนสำนักจิตอสูร เขาก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที
“แม่นางซูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่แท้จริง แผนการและกลอุบายทั้งหมดก็จะเป็นเพียงแค่หมอกควัน ทั้งสี่คนที่เหลือต่างก็กำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่งของตนเอง”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรสาวของเจ้าเมืองจีและหมายเลข008 พลังของพวกเขาสามารถสะกดข่มอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน จากมุมมองของข้า ข้าเชื่อว่าพวกเขาสามารถมีชัยชนะครบทั้งหนึ่งร้อยยกได้แน่นอน ดูท่ารุ่นเยาว์ของเมืองเทียนอวี่รุ่นนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
“ท่านรองแม่ทัพกล่าวเยินยอกันเกินไปแล้ว!” จีเทียนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูอ่อนน้อม แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของเขาไม่อาจที่จะปกปิดไว้ได้
ในอีกด้านหนึ่ง เจียงหยุนซานเองก็โค้งคำนับและยิ้มด้วยความพึงพอใจ “ขอขอบคุณสำหรับคำชมจากท่านรองแม่ทัพ หากเทียบกับลูกหลานจากเมืองเจียงอี บุตรชายของข้ายังด้อยกว่ามากนัก พวกเขาคืออัจฉริยะที่แท้จริง”
เมืองเจียงอีเป็นเมืองชั้นหนึ่งของอาณาจักรเสินหวู่และยังเป็นที่ตั้งของกองทัพทหารตะวันตก ตระกูลมหาอำนาจที่อาศัยอยู่ในเมืองเจียงอีต่างก็เป็นขุนนางชั้นสูงของอาณาจักร นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเจียงหยุนซานจึงกล่าวว่าเจียงเฮิ่นซุ่ยไม่อาจเทียบกับลูกหลานของตระกูลพวกนั้นได้
“โอ้? หมายเลข008 คือบุตรชายของท่านงั้นรึ?” รองแม่ทัพเผยความประหลาดใจเล็กน้อยและยังคงกล่าวด้วยความชื่นชม “พ่อเป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้นสินะ ไม่เลวๆ”
เจียงหยุนซานและเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลฉีกยิ้มกว้างด้วยความเบิกบานใจ สามตระกูลใหญ่ที่เหลือเองก็ยิ้มออกมาเช่นกันแต่ภายในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง รองแม่ทัพผู้นี้ได้พักอยู่ในตำหนักตระกูลเจียงเมื่อวาน แต่เขาทำราวกับว่าไม่รู้จังเจียงเฮิ่นซุ่ยมาก่อน เห็นได้ชัดว่าการกระทำของเขาคือต้องการเพิ่มคุณค่าทายาทของตระกูลเจียงในสายตาของตัวแทนทั้งสามจากสำนักจิตอสูร
รองแม่ทัพหยุดชะงักไปชั่วครู่คล้ายกับนึกบางอย่างขึ้นได้และเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“หยุนซาน จะว่าไปใต้เท้าไฮ่อยู่ไหนหรือ? เหตุผลที่ข้านำคนของข้ามาก็เป็นเพราะอยากพบกับใต้เท้าไฮ่!”
“ใต้เท้าไฮ่? อ่อ หรือท่านจะหมายถึงลุงไฮ่ใช่ไหมขอรับ?”
เจียงหยุนซาน, เจียงหยุนสือและคนอื่นๆต่างรู้สึกประหลาดใจ ภายใจในเต็มไปด้วยความสงสัย เนื่องจากรองแม่ทัพได้รับของกำนัลจากตระกูลเจียง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะพูดถึงตระกูลเจียงในด้านดี แต่ทำไมเวลากล่าวถึงเจียงหยุนไฮ่ เขาถึงกับใช้คำเรียกใต้เท้า? มันจะไม่สุภาพเกินไปหน่อยหรือ?
รองแม่ทัพถอยหายใจและกล่าว “ถูกต้อง ใต้เท้าเจียงหยุนไฮ่นั่นแหละ พวกท่านไม่ทราบหรือว่าใต้เท้าไฮ่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านจอมพลและยังได้รับความโปรดปรานอย่างมาก? แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ทำให้ท่านต้องออกจากตำหนักของท่านจอมพลและมายังเมืองเทียนอวี่”
หลังจากที่รองแม่ทัพกล่าวจบ การแสดงออกทางสีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด แม้แต่แม่นางซูก็ยังต้องหันมามองเจียงหยุนซาน
ได้รับความโปรดปรานจากจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก? หากเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นตัวตนของเจียงหยุนไฮ่แห่งตระกูลเจียงคงจะเป็นบุคคลที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป
เจียงหยุนซานหันไปมองเจียงหยุนสือและเจียงหยุนเฉอ ดวงตาของพวกเขาเผยให้เห็นร่องรอยของความตกใจ พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเจียงหยุนไฮ่เคยอาศัยอยู่ในตำหนักของจอมพลผู้นั้น
ความจริงเจียงหยุนไฮ่ไม่เคยเอ่ยถึงความสัมพันธ์ใดๆที่เขามีกับกองทัพทหารตะวันตกให้กับคนอื่นได้รู้มาก่อน
จอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกคือตัวตนระดับใดกัน?! ท่านคือผู้เยี่ยมยุทธอันดับหนึ่งของอาณาจักรเสินหวู่เชียวน้า!
ไม่ว่าสิ่งที่รองแม่ทัพผู้นี้กล่าวออกมาจะเป็นความจริงหรือไม่ แต่เขาก็ได้มอบโชคลาภให้กับจิ้งจอกเฒ่าทั้งสามตัวของตระกูลเจียงไปแล้ว ได้เห็นถึงความเคารพในตัวของเจียงหยุนไฮ่ที่เขากล่าวออกมาก่อนหน้านี้ รวมถึงการที่จีเทียนอยู่ที่นี่ด้วย เจียงหยุนซานรู้สึกโชคดีอย่างมาก
หลังจากที่เรียกสติกลับมาได้ เขาก็รีบลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยรอยยิ้มเชิงขออภัย “ลุงไฮ่ได้กล่าวเสมอว่าท่านจอมพลดูแลท่านเป็นอย่างดี… แต่น่าเสียดายนักที่ท่านออกไปท่องยุทธภพตั้งแต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนและคงจะกลับมาอีกภายในสองปีนี้”
“เป็นเช่นนั้นรึ? ช่าง… น่าเสียดายยิ่งนัก”
สีหน้าของรองแม่ทัพเผยให้เห็นถึงความเสียดายและเศร้าใจ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปยังเวทีและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
“เยี่ยม!!”
เมื่อได้ยินเสียงเชียร์ดังขึ้น มันก็ดึงดูดความสนใจจากทุกคนที่ยังตกอยู่ในภวังค์ พวกเขามองเห็นจีทิงยวี่และเจียงเฮิ่นซุ่ยที่ได้รับชัยชนะอีกครั้ง เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนเองก็ได้รับชัยชนะติดต่อกันสามยกแล้วเช่นกัน ในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันปริศนาผู้ซึ่งสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินดูดุร้ายยิ่งกว่า เขาได้รับชัยชนะติดต่อกันถึงสี่ยก
ปัง!
แต่ผู้ที่โดดเด่นที่สุดกลับกลายเป็นเจียงอี้ เขาได้ส่งร่างของผู้ท้าชิงลอยออกมาจากเวทีด้วยลูกเตะของเขา ในไม่ช้าเสียงของชายชราก็ดังขึ้น
“หมายเลข536 ชนะติดต่อกันเป็นยกที่แปด!”
“คนต่อไป!”
เจียงอี้ยืนอยู่บนเวทีอย่างภาคภูมิใจและตะโกนด้วยความเย่อหยิ่ง เหล่าผู้ฝึกยุทธที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ไม่ได้รับอนุญาตจากสังกัดของตนให้ขึ้นไปต่อสู้กับเขาและทำให้ตัวเองต้องอับอาย แม้ว่าจะไม่มีคำสั่งมา แต่เมื่อเห็นถึงกลอุบายอันแพรวพราวของเจียงอี้แล้ว ก็ไม่มีใครที่โง่พอจะทำให้ตัวเองขายขี้หน้าของผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายที่มารับชมการแข่งขัน
“หม่ากู่ จงไปเล่นกับเจ้าหมาป่าเดียวดายนั่นซะ!”
มุมหนึ่งของจัตุรัสฝั่งตะวันตก หม่าเฮยฉีจ้องมองไปยังร่างของเจียงอี้และรำลึกถึงตอนที่ถูกปฏิเสธคำขอท้าประลองซึ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด หม่าเฮยฉีรู้ดีว่าเจียงอี้จะต้องประลองถึงหนึ่งร้อยยกเพื่อที่จะชนะการแข่งขัน ดังนั้นเขาจึงยังไม่รีบร้อนและเลือกที่จะส่งคนอื่นไปแทน
ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังหม่าเฮยฉีมีรูปร่างผอมแห้งคล้ายกับลิง เขาแสยะยิ้มออกมาด้วยความเย็นชาและกระโดดขึ้นไปบนเวทีของเจียงอี้โดยการเหยียบหัวของคนที่อยู่ด้านหน้า
“โอ๊ย!”
“ใครวะ?!”
“อยากตายรึไง?!”
เหล่าคนที่ถูกเหยียบหัวต่างก็ตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความโกรธ แต่พวกเขาก็ต้องรีบหุบปากลงทันทีเมื่อเห็นหน้าหม่ากู่ ชายคนนี้เป็นที่รู้จักดีในเมืองเทียนอวี่ ไม่เพียงแต่เขาจะมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีภูมิหลังที่ทรงพลัง ใครก็ตามที่ทำให้เขาขุ่นเคืองจะต้องจบลงด้วยที่ขาและแขนถูกหัก
ทางด้านของเจียงอี้เองก็ดูเคร่งเครียดไม่แพ้กัน ครั้งหนึ่งเขาเคยประมือกับหม่ากู่มาก่อนและรู้ดีถึงการลงมืออันโหดเหี้ยมของชายผู้นี้ ตัวเขาเองก็เกือบได้รับบาดเจ็บถึงสองครั้ง
หม่ากู่มีระดับการบ่มเพาะพลังอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดและยังเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เจียงอี้ต้องเผชิญหน้าในวันนี้
หม่ากู่ขึ้นไปบนเวทีและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขาเพียงแค่จ้องมองเจียงอี้ด้วยสายตาอันเย็นชาและชั่วร้าย เจียงอี้รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกจ้องมองโดยอสรพิษซึ่งทำให้เขาก้าวถอยหลังไปแบบไม่รู้ตัวและเกือบจะสะดุดล้ม
แต่ไม่มีผู้ชมแม้แต่คนเดียวที่หัวเราะเยาะท่าทีของเจียงอี้ พวกเขาเลือกที่จะปิดปากและสังเกตอย่างเงียบเชียบ เจียงอี้นั้นดูคล้ายกับนักแสดงมากเกินไป แม้แต่คนปัญญาอ่อนก็รับรู้ได้ว่าเขาแสดงท่าทีอ่อนแอออกมาเพื่อทำให้อีกฝ่ายตายใจ
ถึงอย่างนั้นก็มีหลายคนที่คิดว่าโชคของเจียงอี้ได้หมดลงแล้ว เนื่องจากผู้ท้าชิงที่ผ่านมาไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะเทียบกับหม่ากู่ผู้นี้ได้ พวกเขากำลังเฝ้าดูว่าคราวนี้เจียงอี้จะทำอย่างไรต่อไป
“ย่า!!”
หม่ากู่คำรามและลงมือโจมตีทันที เขาดีดตัวไปข้างหน้าและพุ่งเข้าหาเจียงอี้ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า พริบตาเดียวกริชสีขาวที่อยู่ในมือของเขาก็อยู่ห่างจากคอของเจียงอี้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เพียงแค่การโจมตีแรก หม่ากู่ก็เริ่มลงมืออย่างไร้ปรานีเสียแล้ว!
ไม่มีกฎที่ว่าห้ามใช้อาวุธ เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนเองก็ถือครองดาบยักษ์ แต่นางก็ลงมืออย่างเหมาะสมเสมอ แต่หม่ากู่ผู้ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเจียงอี้ถึงสามระดับกลับลงมืออย่างโหดเหี้ยม!
“ฮึ่ม!”
เจียงอี้เค้นเสียงด้วยความโกรธ เขาใช้ท่าก้าวเทวะเพื่อหลบไปด้านข้างและโคจรแก่นแท้พลังไปที่ฝ่ามือพร้อมกับซัดเงาหมัดทั้งหกออกไป นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงอี้ใช้ทักษะต่อสู้ของตระกูลเจียงต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก หากเขายังคงซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงต่อไป จะเป็นเขาเองที่กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ยิ่งไปกว่านั้นหม่ากู่ยังทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและตัดสินใจที่จะลงมือสั่งสอนอีกฝ่าย
“หมัดมายา?”
การโจมตีของเจียงอี้ทำให้ผู้คนตกอยู่ในความโกลาหล แม้แต่เจียงหยุนซานก็ไม่เว้น หมัดมายาถูกสร้างโดยบรรพบุรุษของตระกูลเจียงและมีเพียงสมาชิกตระกูลเจียงเท่านั้นที่ได้รับการถ่ายทอด เป็นไปได้ไหมว่าหมาป่าเดียวดายผู้นี้เป็นคนของตระกูลเจียงเช่นกัน?
“ท่านประมุข ชายผู้นี้ดูคล้ายกับ… เจียงอี้ยิ่งนัก!”
ม่านตาของเจียงหยุนเฉอหดแคบลงขณะที่กำลังกระซิบอยู่ข้างหูของเจียงหยุนซาน เขาคิดไว้แต่แรกแล้วว่าป่าหมาเดียวดายนั้นช่างดูคุ้นตายิ่งนัก แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าทั้งหมาป่าเดียวดายและเจียงอี้จะต้องเป็นคนๆเดียวกัน
เจียงอี้เองก็มีระดับการบ่มเพาะพลังอยู่ในขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่งและได้หายตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ แล้วตอนนี้ยังมีชายปริศนาที่สวมหน้ากากหมาป่าและยังสามารถใช้ทักษะหมัดมายาได้ หากไม่ใช่เจียงอี้แล้วจะเป็นใครกัน?
“เจียงอี้?”
เจียงอี้พึมพำด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา เขาเองก็คิดเช่นกันว่ารูปร่างของชายหนุ่มผู้นี้ดูคุ้นตา ทันใดนั้นเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาก็รีบออกคำสั่งโดยเร็ว
“ส่งคนไปตรวจสอบว่าเจียงอี้คือคู่ซ้อมประลองยุทธป้ายทอง—หมาป่าเดียวดายหรือไม่?!”
เจียงหยุนเฉอลุกขึ้นยืนในทันทีและรีบออกไป จากนั้นไม่นานเขาก็กลับมาและรายงาน
“มันกับหมาป่าเดียวดายเป็นคนๆเดียวกันจริงๆ เห็นได้ชัดว่ามันมีเจตนาซ่อนเร้นและสมควรถูกลงโทษ!”
“เหอะ!”
เจียงหยุนซานเค้นเสียงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก “มันช่างเป็นเด็กที่เนรคุณเสียจริง ส่งคำสั่งออกไป รอจนกว่าพิธีรับสมัครศิษย์จะจบ อย่าปล่อยให้ใครได้รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเจียงอี้กับโถงวรยุทธโดยเด็ดขาด!”
ในมุมมองของเจียงหยุนซานและเจียงหยุนเฉอ เจียงอี้มีความสามารถพิเศษอันลึกลับที่ช่วยให้ผู้อื่นสำเร็จขั้นบรรลุของทักษะที่ฝึกฝนอยู่ได้ แต่เขาไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้ตระกูลได้รับทราบและใช้เมื่อเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ดูแล้วเขาคงมีแรงจูงใจบางอย่างซ่อนอยู่จริงๆ!
“โห! จริงรึเนี่ย?!”
“เขาทำได้ยังไงกัน?!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนาอยู่นั้น เสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและตกตะลึงก็ดังออกมาจากรอบๆเวทีประลอง เมื่อพวกเขาทั้งสองมองออกไปข้างนอก การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะว่าฉากตรงหน้า เป็นภาพของหม่ากู่ที่ถูกส่งลอยออกมาจากเวทีขณะที่กระอักเลือดออกมา แม้แต่เกราะที่อยู่บนหน้าอกของเขาก็ยังแตกเป็นเสี่ยงๆพร้อมกับโลหิตที่ไหลทะลัก เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส!
“มันเป็นไปได้ยังไง?!”
เจียงหยุนซานและเจียงหยุนเฉอต่างก็อ้าปากค้างในเวลาเดียวกัน บรรดาคนที่อยู่รอบๆเองก็มีสีหน้าที่ไม่ต่างกันมากนัก แม้แต่แม่นางซูแห่งสำนักจิตอสูรก็แสดงสีหน้าประหลาดใจอันหาได้ยากออกมา
ผู้คนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ อ่อนแอที่สุดก็มีระดับการบ่มเพาะพลังอยู่ในขั้นที่สี่หรือห้าของขอบเขตจื่อฝู่ พวกเขามีดวงตาที่เฉียบคมและมั่นใจว่าเจียงอี้มีระดับการบ่มเพาะพลังเพียงแค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่เท่านั้น คนส่วนใหญ่ต่างคุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้ของเขาจากการประลองครั้งก่อนๆอย่างชัดเจน แต่ในครั้งนี้เจียงอี้ไม่ได้ใช้กลอุบายใดๆ เขาเพียงแค่ระเบิดพลังออกมาและส่งร่างของหม่ากู่ลอยออกจากเวทีเท่านั้น
คำถามก็คือ… เจียงอี้ทำได้ยังไง? ด้วยพลังของขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ทำไมเขาถึงได้เล่นงานหม่ากู่จนมีสภาพน่าอเนจอนาถขนาดนั้นได้?
ก่อนหน้านี้ในตอนนี้เจียงอี้มอบความพ่ายแพ้ให้กับเจียงหยูหลง เจียงหยุนซานและคนอื่นๆก็ยังไม่เชื่อว่าเจียงอี้ใช้ความแข็งแกร่งของตัวเอง เมื่อพวกเขาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็พบว่าเขาใช้เจียงหยูหู่เป็นอาวุธซึ่งเป็นเหตุให้เจียงหยูหลงไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงออกมาได้ นอกจากนี้เขายังโจมตีอีกฝ่ายทีเผลอ
เจียงหยุนเฉอพึมพำกับตัวเองและทันใดนั้นเขาก็หันไปสอบถามผู้อาวุโสจากตระกูลหลิ่วผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่ด้านข้างในทันที “เจ้าเด็กนี่เอาชนะอีกฝ่ายได้ยังไง?”
“มันเอาชนะได้ยังไง? หึ พวกข้าควรจะเป็นฝ่ายถามเจ้าเสียมากกว่าตาเฒ่าหยุนเฉอ!”
โดยไม่คาดคิด ผู้อาวุโสจากตระกูลหลิ่วคนนั้นกลับตอบคำถามโดยแฝงความหมายไว้ในคำพูดของเขา
“เด็กคนนั้นใช้ทักษะต่อสู้สี่แบบที่แตกต่างกัน ท่าก้าวเทวะ, หมัดมายา, ฝ่ามือม้วนอาภรณ์และหมัดดาวตก ตาเฒ่าหยุนเฉอ สามในสี่ของทักษะต่อสู้ของเด็กนั่นเป็นของตระกูลเจียงใช่หรือไม่?”
“เหอะๆ ตระกูลเจียงของเจ้าช่างเก็บซ่อนได้มิดชิดจริงๆ เจ้าเด็กนี่คงจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขั้นที่เจ็ดของขอบเขตฉูติ่งเป็นอย่างน้อยใช่หรือไม่? แต่พวกเจ้าใช้วิธีการอะไรถึงสามารถปกปิดพลังที่แท้จริงและแสดงออกมาเพียงแค่พลังของขั้นที่สี่ จนถึงตอนนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้…”
ม่านตาของเจียงหยุนเฉอหดแคบลงและส่ายหัวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ด? เป็นไปไม่ได้! เจ้าเด็กนั่นเพิ่งจะบรรลุขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่งเมื่อครึ่งปีก่อนเท่านั้น!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
คำกล่าวของเจียงหยุนเฉอทำให้คนที่อยู่รอบๆระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทุกคนต่างเห็นด้วยตาของตัวเองว่าหม่ากู่ถูกกระแทกจากหมัดเดียวจนลอยไปออกจากเวทีและได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ความแข็งแกร่งของหมัดนั้นต้องไม่ต่ำกว่าผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดอย่างแน่นอน!
มีคนที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดจากขั้นที่หนึ่งโดยใช้เวลาเพียงครึ่งปี? นี่เจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นเด็กอมมือหรือยังไง?!