ตอนที่ 38 มอบถ่านไม้กลางหิมะ
ตอนที่ 38 มอบถ่านไม้กลางหิมะ
ณ เซินเจิ้น อาคารซุนเฟิงกรุ๊ป ออฟฟิศของซีอีโอ
หวังเหว่ยกำลังเอนตัวพิงเก้าอี้สำนักงานไถโทรศัพท์เล่น
มันเป็นพักหลังทานอาหารเที่ยง เขามักจะใช้เวลาพักครึ่งชั่วโมงหลังจากทานมื้อเที่ยงเพื่อดูกระแสบนเว่ยป๋อหรือข่าวของวันนี้ ท้ายที่สุดแล้วงานของเขาก็เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตอย่างใกล้ชิด ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
"นักศึกษาปริญญาตรีจากมหาลัยจินหลิงตีพิมพ์ 9 วิทยานิพนธ์SCI...นักศึกษาปริญญาตรีสมัยนี้ฉลาดขนาดนี้เลย?" หวังเหว่ยถาม จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า
เขาเปิดบทความแล้วเห็นว่าผู้เขียนเป็นนักเขียนแนววิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง จูฟางไฉ
หวังเหว่ยเห็นชื่อนี้แล้วคิ้วกระตุก ความประทับใจแรกที่มีต่อชายคนนี้ไม่ดีนัก
จูฟางไฉคนนี้ถือได้ว่าเป็นคนมีชื่อเสียง เขามีชื่อเสียงในด้านการสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นบนเว่ยป๋อ เขาไม่ได้มีความสามารถ เขาถูกเรียกว่า 'ปากใหญ่' กับตัวตลกที่ชอบปั่นกระแสแบบนี้ หวังเหว่ยเกลียดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากคนๆนี้ชอบวิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษาของจีนแล้วพูดถึงมันทุกวัน เขากระทั่งเคยใช้วุฒิมัธยมปลายของหวังเหว่ยมาเป็นตัวอย่างในการพิสูจน์มุมมองของตน
หวังเหว่ยไม่ได้สนใจเรื่องวุฒิของตน ไม่งั้นเขาแค่บริจาคเงินนิดหน่อยให้มหาลัย เขาก็ได้ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์แล้ว
อย่างไรก็ตามจูฟางไฉเรียกเขาว่า'นักเรียนมอปลาย' ซึ่งมันทำให้หวังเหว่ยรำคาญ เพราะยังไงก็คงไม่มีใครชอบถูกเปิดโปงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หวังเหว่ยเห็นชื่อนี้แล้วเลิกสนใจ เขาไม่อ่านบทความด้วยซ้ำ มันก็แค่การพยายามสร้างความเสียหายด้วยคำพูด
ใช้วิทยานิพนธ์เก้าฉบับของนักศึกษาปริญญาตรีเพื่อพูดถึงการศึกษาของจีน?
แกเป็นตัวอะไร?
ในเวลานั้นเองก็มีเสียงคนเคาะประตูห้องเขา
"เข้ามา"
คนที่เข้ามาคือเหลียงเซิ่งหาว เขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของศูนย์วิจัยและพัฒนาโดรนโลจิสติกส์ของบริษัท เขาจบการศึกษาจากคาลเทค(Caltech) เขามีปริญญาคู่(dual degree)วิทยาการคอมพิวเตอร์และการจัดการด้านโลจิสติกส์ และเขาก็อายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น
เนื่องจากความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยีโดรน คอนเซ็ปโดรนจึงเป็นกระแส ซุนเฟิงเป็นองค์กรโลจิสติกส์เอกชนชั้นนำของประเทศ ย่อมเป็นเรื่องธรรมชาติที่ซุนเฟิงจะไม่ยอมล้าหลังในเรื่องของโดรน ดังนั้นซุนเฟิงจึงได้ก่อตั้งโปรเจ็คอากาศยานไร้คนขับโดยร่วมมือกับDJI พวกเขาลงทุนไป 500 ล้านแล้วสร้างโรงงานวิจัยและพัฒนาในเซินเจิ้น
แน่นอนเนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะบรรลุโดนขนส่งในระยะสั้น
หวังเหว่ยรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นแม้ว่าศูนย์วิจัยและพัฒนาตามเทคนิคแล้วควรเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับ แต่ก็มีนักวิจัยไม่มากนักที่มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับ โปรเจ็คอากาศยานไร้คนขับหลักๆจะมุ่งเน้นไปในทิศทางของโลจิสติกส์อัจฉริยะ
มันหมายถึงการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อคาดการณ์พิกัดของโกดังสินค้าและสถานจำหน่ายสินค้า รวมไปถึงการปรับปรุงเทคโนโลยีการจัดสินค้าอัตโนมัติเป็นต้น
เหลียงเซิ่งหาวเดินมาที่โต๊ะทำงานแล้ววางวารสารวิทยาการคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ เขายิ้มแล้วกล่าว "ท่านซีอีโอหวัง ผมหาอัจฉริยะให้ท่านแล้ว"
"อะไรนะ?" หวังเหว่ยวางโทรศัพท์ลงแล้วอ่านวารสาร เขายิ้มแล้วกล่าว "เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์และการสื่อสารสมัยใหม่? ครั้งก่อนคุณไม่ได้บอกฉันเหรอว่ามันมีผลงานไม่ได้มาตรฐานจำนวนมากในวารสารนี้? ในที่สุดคุณก็ซื้อมาอ่าน?"
"ผมอ่านวารสารวิทยาการคอมพิวเตอร์ทั้งหมด โดยเฉพาะที่มันเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ ผมไม่อ่านวารสารในประเทศเลยจริงๆ" เหลียงเซิ่งหาวกล่าว เขาดันกรอบแว่นแล้วกล่าวต่อ "ขอบคุณพระเจ้าที่ผมเห็นบทความในกระแส ไม่งั้นวิทยานิพนธ์เหล่านี้อาจอยู่ในถังขยะ"
"คุณกำลังพูดถึง?" สีหน้าของหวังเหว่ยดูแปลกไปเล็กน้อย
"ใช่ครับ นักศึกษาปริญญาตรีที่ส่งวิทยานิพนธ์เก้าฉบับ ผมเอามาอ่านแล้วพบว่าการคำนวณที่กล่าวถึงในวิทยานิพนธ์ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว มันก็แค่..."
โอ้?
มีนักศึกษาปริญญาตรีที่ทำให้คุณสนใจด้วย?
หวังเหว่ยรู้สึกสนใจ เขานั่งตัวตรงแล้วกล่าว "แค่อะไร?"
"มันก็แค่ว่างานวิจัยของเขา...ล้ำเล็กน้อย" เหลียงเซิ่งหาวกล่าว เขานึกถึงคำพูดที่ใช้แล้วกล่าวต่อ "การขนส่งแบบโลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับยังเป็นแค่แนวคิด ไม่มีบริษัทไหนในโลกที่บรรลุฮาร์ดแวร์ที่ได้มาตรฐานสำหรับโดรนขนส่ง ดังนั้นบริษัทเดินเรือรอบโลกจึงมุ่งเน้นในด้านฮาร์ดแวร์"
หวังเหว่ยพยักหน้าแล้วถาม "ฉันรู้ แล้วอะไรอีก?"
"แต่เนื้อหาวิทยานิพนธ์ของเขาขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ทางทฤษฎีของโดรนขนส่ง ยกตัวอย่างในวิทยานิพนธ์ของเขา เขาเสนอแนวคิดการสร้างโลจิสติกส์แบบ'รังผึ้ง'ในเมือง เชื่อมต่อกับศูนย์คัดแยก แนะนำโดรนให้เข้าสู่ระบบGPS ค้นหาหนทางดำเนินการแบบอัตโนมัติโดยไม่ใช้แรงงานมนุษย์ มันสามารถระบุที่อยู่ผ่านกล้อง ยืนยันผู้ได้รับสินค้าโดยใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ยืนยันใบเสร็จรับของโดยการใช้ท่าทาง และอัพโหลดข้อมูลการแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติเมื่อโดรนถูกแทรกแซง..."
เหลียงเซิ่งห่าวพูดถึงตรงนี้แล้วหยุด
นิ้วของหวังเหว่ยเคาะบนโต๊ะเบาๆ เขาหยุดสักพักแล้วกล่าว "เอาล่ะ เขาแค่เสนอแนวคิดงั้นเหรอ?"
ถ้าลู่โจวแค่เสนอแนวคิด มันคงไม่มีอะไรพิเศษ ขอแค่ทำพาวเวอร์พ้อยเป็น ใครๆก็พูดเรื่องปัญญาประดิษฐ์ได้สักสองสามหัวข้อ การพูดถึงไอเดียเหล่านี้ได้มันก็แค่หมายความว่าเขามีความเข้าใจในหัวข้ออยู่บ้าง
(ผู้แปล : เข้าใจแค่หัวข้อ แต่ไม่เข้าใจเนื้อหา)
อย่างไรก็ตามถ้าระดับของลู่โจวต่ำขนาดนั้นจริง เขาคงไม่ผ่านแผนกทรัพยากรมนุษย์หรอก
"ไม่ใช่แค่เสนอแนวคิดครับ" เหลียงเซิ่งหาวกล่าว เขาส่ายหน้า "มันพูดถึงวิธีการคำนวณด้วย ส่วนใหญ่เกี่ยวกับระบบจดจำใบหน้าและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ นี่เป็นเหตุผลที่ผมคิดว่าเจ้าหนูนี่มีฝีมือ โดยเฉพาะอัลกอริทึมที่เขาเขียนเพื่อจดจำใบหน้า แม้ว่าผมจะเห็นข้อบกพร่องบ้าง แต่มันยังถือว่าแปลกใหม่ ศูนย์วิจัยของเราสามารถนำงานของเขาไปต่อยอดได้"
มันไม่ใช่แค่ไอเดีย ลู่โจวก็ตระหนักถึงไอเดียของตนเช่นกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
มันเหมือนกับคำพูดที่ว่า 'ฉันอยากสร้างอพาร์ทเม้นท์' จากนั้นก็หาคนสองคนมาวางก้อนอิฐสองก้อน คุณค่าของคนสร้างเหล่านั้นมันแตกต่างจากคุณค่าของไอเดีย
แม้ว่าความคืบหน้าของงานวิจัยเขาจะมีไม่กี่เปอร์เซ็น แต่หวังเหว่ยไม่สนใจ งานวิจัยล้วนจำเป็นต้องมีกระบวนการที่ยาวนาน ยิ่งมูลค่าของโปรเจ็ควิจัยสูงแค่ไหน เงินและเวลาก็จะใช้มากขึ้นเท่านั้น
หวังเหว่ยไม่ได้พูดอะไร กลับกันเขาหยิบวารสารวิทยาการคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วพลิกไปหน้าของลู่โจว
[การวิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับและพูดคุยเกี่ยวกับกรอบแนวคิด]
[วิเคราะห์อัลกอริทึมพิกเซลจากปัญญาประดิษฐ์]
[อัลกอริทึมที่เหมาะสมที่สุดเพื่อการรู้จำรูปภาพแบบไดนามิกจากปัญญาประดิษฐ์]
[วิธีวัดขนาดร่างกายมนุษย์แบบอัตโนมัติจากปัญญาประดิษฐ์]
[...]
แม้ว่าวิทยานิพนธ์แบบเดี่ยวๆอาจจะต่ำกว่ามาตรฐาน แต่มูลค่าโดยรวมของวิทยานิพนธ์ยังคงสูงค่า
เหลียงเซิ่งหาวเห็นว่าซีอีโอเขาไม่พูดอะไร เขาจึงกล่าวต่อ "การตีพิมพ์อัลกอริทึมแบบนี้ลงในวารสารเป็นการสูญเปล่าเหลือเกิน ผมขอแนะนำให้ส่งข้อเสนองานให้เขาแล้วจ้างเขาเข้ามาทำงานในบริษัทเราโดยตรง เขาสามารถช่วยงานวิจัยของเราได้"
"ไม่ต้องรีบขนาดนั้น" หวังเหว่ยกล่าวและโบกมือ
เหลียงเซิ่งหาวขมวดคิ้วแล้วกล่าว "ท่านกำลังสงสัยการศึกษาของเขาหรือ? จากความสามารถของเขา แม้แต่นักศึกษาปริญญาโทในสาขาปัญญาประดิษฐ์ประยุกต์ก็มีค่าไม่เท่าเขา นอกจากนี้แม้ว่าเราจะไม่ใช้โลจิสติกส์อากาศยานไร้คนขับในระยะสั้น แต่สุดท้ายเราต้องเข้ามาสู่สาขานี้แน่! เราควรเริ่มเตรียมพร้อมตั้งแต่ตอนนี้"
วิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นวิชาใหม่ มันแตกต่างจากสาขาอื่น แม้ว่าการศึกษาจะยังสำคัญ แต่มันก็ไม่ได้สำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมากมาย
ท้ายที่สุดแล้วเหล่าคนที่มีความสามารถพิเศษจะไม่ปรากฏในตลาดหางาน พวกเขาจะถูกขึ้นชื่อในรายชื่อการรับสมัครคนของบริษัทที่มีชื่อเสียง
"ฮ่าๆ คุณไม่ต้องสอนฉันเรื่องนี้ คุณก็รู้ว่าฉันมองแค่ความสามารถ" หวังเหว่ยกล่าว เขายิ้มแล้วโยนวารสารไว้บนโต๊ะ "อย่าพึ่งส่งข้อเสนอ ปล่อยให้รอไปก่อน เพราะยังไงเราก็เป็นบริษัทในประเทศแห่งเดียวที่ทำโลจิสติกส์โดรนส่งของ ดังนั้นจะไม่มีใครขโมยเขาไปจากเราแน่"
เหลียงเซิ่งหาวชะงัก เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาตระหนักถึงความหมายแฝงจากซีอีโอ ดวงตาเขาก็เปล่งประกาย
เข้าใจแล้ว...
ซีอีโอของฉันฉลาดมาก!
คนหนุ่มสาวที่กระฉับกระเฉงทรงพลังถูกวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้และถูกกล่าวหาว่างานวิจัยของตนไร้ค่า มันจะต้องทำให้เขาทุกข์ทรมาณ
ปล่อยให้จูฟางไฉคนนั้นโจมตีเขาไปอีกสักนิดแล้วรอจนกว่าลู่โจวจะรับแรงกดดันไม่ไหว จากนั้นซุนเฟิงกรุ๊ปก็จะออกมาแล้วมอบข้อเสนอ 500000 หยวนต่อปีให้เขาเพื่อยืนยันคุณค่าวิจัยของเขา...
จากนั้นเขาก็จะภักดีต่อซุนเฟิงตลอดกาล!
คนที่มีเงินเดือนสูงมักจะได้รับตำแหน่งที่ดีกว่าในบริษัทอื่น ดังนั้นบริษัทมากมายจึงใช้ผลประโยชน์ของพนักงานและหุ้นเพื่อรักษาพนักงานของตน สิ่งสำคัญอย่างแรกคือรักษาให้พนักงานเชื่อมั่นว่าอนาคตของบริษัทจะสดใส อีกอย่างก็คือการทำให้บริษัทไปอยู่ในใจของพนักงาน ทำให้บริษัทเป็นที่พิเศษสำหรับพวกเขา
ในอีกแง่นึง อย่างหลังมีความสำคัญมากกว่าอย่างแรก
หวังเหว่ยเอนตัวพิงเก้าอี้สำนักงาน เขายิ้มแล้วกล่าว "เอาวารสารไว้นี่แหละ ฉันจะจำสิ่งนี้ ไปทำธุระของคุณเถอะ"
"ครับ" เหลียงซุนหาวพยักหน้าก่อนจะออกจากออฟฟิศเขา