GE349 เสี่ยวฉือ [ฟรี]
นานแล้วที่หนิงฝานไม่ได้พักอย่างผ่อนคลายขนาดนี้ ในระหว่างที่พัก เขาหลับฝันว่าตนคือผีเสื้อน้อยสีขาวกระจ่างราวกับหิมะ บินหลงเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่ง พบเจอบุบผาสีม่วงงดงามและส่งกลิ่นหอม แต่ไม่นานเขาก็ตื่น
ยามนี้หนิงฝานนอนอยู่บนดาดฟ้าเรือ พยายามยันตัวลุกนั่ง แต่มือกลับสัมผัสเข้ากับบางสิ่ง
ข้างกายของเขามีสู่ฉุ่ยหลิงนอนแนบชิด นางตื่นก่อนและเฝ้าจับจ้องหนิงฝานยามหลับไม่วางตา
เมื่อเห็นว่าหนิงฝานตื่น นางเบนสายตาหนีราวกับไม่อยากให้เขารู้ว่าตนเองจ้องมอง
“หลิงเอ๋อร์... เจ้าตื่นเช้าจังเลยนะ เมื่อคืนเจ้าน่าจะเหนื่อย ไม่พักต่อสักหน่อยเหรอ?”
หนิงฝานจ้องมองใบหน้าที่งดงามของนาง พลางหวนนึงถึงความฝันเมื่อคืน
หนิงฝานรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาเคยพบนางมาก่อนที่ไหนสักแห่งเมื่อนานแสนนานมาแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาคุ้นเคยไม่ใช้รูปร่างหน้าตาของนาง แต่เป็นกลิ่นหอม
ช่างน่าเศร้าที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบนางที่ไหน เพราะเมื่อยามที่กลับชาติมาเกิด ความทรงจำของเขาถูกพลังแห่งชีวิตลบหายไป
“ข้าไม่ได้ตื่นเช้าหรอก… ข้าแค่มาคอยคุ้มกันท่าน หากไม่มีข้าคอมคุ้มกัน นายน้อยหนิงจะหลับพักสบายขนาดนี้ได้ยังไง?”
นางไม่ง่วง ไม่เหนื่อย นางแค่อยากให้เขาพักให้สบาย
“มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่ได้บอกข้าหรือเปล่า?”
“ไม่มี...” นางเขินอายเกินกว่าจะบอก
“ที่เจ้าเรียกข้าว่านายน้อย คงไม่อยากให้คนอื่นรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเรา...”
“ถ้างั้น… หลิงเอ๋อร์จะเรียกท่านว่า ‘ท่านพี่’ เพราะสตรีที่เมืองกู่ซูจะเรียกขานสามีเช่นนั้น...”
นางเขินอายจนน่าแดงก่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ใกล้ชิดบุรุษ ได้เป็นสตรีของบุรุษ จึงมีอีกหลายสิ่งที่นางต้องปรับตัว
หนิงฝานไม่อยากบังคับนาง ยามมองนาง เขารู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ที่สำคัญ ยังมีอีกความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน และไม่มีสตรีคนใดของเขาที่ให้ความรู้สึกเช่นนี้
โหยหา...
เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยพบ ยิ่งเขากลับจากวังดารา ความรู้สึกโหยหาก็ยิ่งทวีความรุนแรง
“อืม… งั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ เจ้าอยากจะเรียกข้ายังไงก็ได้… ว่าแต่ เจ้าเจ็บตรงนั้นหรือเปล่า?”
“ไม่เจ็บ...” ใบหน้านางแดงระเรื่อ เบนสายตาไม่กล้าสบ ราวกับนางกำลังโกหกอยู่
“จริงเหรอ?” หนิงฝานดึงผ้าห่มขึ้น เผยให้เห็นเรือนร่างที่ขาวนวลราวกับหิมะ
นางมองหนิงฝานเป็นเชิงตำหนิ สองมือปิดหน้าอกไว้อย่างเขินอาย
หนิงฝานกางขานางออกเบาๆ เห็นคราบโลหิตที่เปรอะขาของนาง นางอายมากจนไม่กล้ามอง ดวงตาปิดแน่น ขบฟัน แต่ไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากทำให้หนิงฝานผิดหวัง
“ท...ท่านพี่ เบาๆหน่อยนะ… อย่าเอาเข้าไปลึกมาก...”
หนิงฝานพูดไม่ออก ในสายตาของสตรี สงสัยหนิงฝานจะเป็นพวกตัณหากลับ
“เด็กโง่ ข้าจะช่วยเจ้าล้างโลหิตและรักษาบาดแผล...”
หนิงฝานใช้นิ้วสัมผัสจุดสงวนของนาง จากนั้นโคจรปราณ ทำให้นางรู้สึกความเย็นสายหนึ่งที่แผ่ซ่านทั่วร่าง ความเจ็บปวดค่อยๆหายไป เหลือไว้เพียงความสบายอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านพี่… ท่านกำลังช่วยข้าสำเร็จความใคร่เหรอ? อื้ม~”
แม้นางจะอาย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
นางเฝ้ารอที่จะได้พบเขา เฝ้ารอมานานแสนนาน
“อื้ม~ อา~” เสียงครางกระเส่าเคล้าบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์
การจะรักษานางให้หายนั้นต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่เท่าที่หนิงฝานคาดเดา อย่างมากคงใช้เวลาไม่เกิน 5 เดือน… การนำเศษกระบี่ออกจากร่างนางนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือการรักษาปราณธาตุโลหะที่หายไป
หากเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 คนอื่น ย่อมไม่มีผู้ใดทำได้ แต่หนิงฝานมั่นใจว่ารักษานางได้
หนิงฝานบอกนางว่าต้องใช้เวลารักษา 5 เดือน ในระหว่างนั้น เขาจะหาที่ปลอดภัย แต่นางกล่าวว่า นางอยากอาศัยอยู่ร่วมกับเขาที่นี่ ที่ที่มีสะพาน ลำธารใส สายลมพัดโชย
หนิงฝานไม่ปฏิเสธที่นางขอ เขาจึงส่งข้อความผ่านกระบี่บินไปยังสู่ลู่ฉานและตงสู่ เพื่อไม่ให้ทั้งสองเป็นกังวล
แต่การที่เขาส่งข้อความผ่านกระบี่บินนั้นย่อมใช้ปราณ จึงถือเป็นการผิดกฏของเกาะ
ทันทีที่กระบี่บินทะยานออกไป เส้นแสง 5 สายได้มุ่งตรงมายังจุดที่เกิดการผันผวนของปราณ เพื่อหวังทำโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฏของเกาะ
ผู้ที่มาไม่รู้ว่าผู้ที่ใช้ปราณคือหนิงฝาน แต่ถึงพวกมันรู้ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร เพราะหนิงฝานคือผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ
เกาะกู่ซูเป็นเกาะที่แยกตัวจากโลกภายนอกมาเนิ่นนาน ไม่มีใครคิดว่าซัวหมิงผู้น่าสะพรึงกลัวจะอยู่ที่นี่
ชายชรา 5 คนเข้าล้อมเรือลำน้อย พวกมันประหลาดใจกับความสามารถในการปกปิดตัวตนของเรือลำนี้ หากไม่เพราะเรือตั้งใจเผยตัว พวกมันก็ตรวจไม่พบ
“สหายเต๋าเพิ่งใช้ปราณไปเมื่อครู่ ถือเป็นการผิดกฏของเกาะกู่ซู หากสหายเต๋าไม่อาจหาอธิบายที่เหมาะสมได้ พวกข้าก็จำเป็นต้องสังหารเจ้า!!”
ทันทีที่ชายชรากล่าวจบ หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินออกมาจากเรือ
สตรีนางนั้นสวมอาภรณ์สีดำ ไม่ได้ปิดบังใบหน้า นางคิดว่าสีที่เหมาะสมกับนางที่สุดคือสีดำ เพราะมันช่วยขับส่งให้นางงดงาม
บุรุษที่ออกมาจากเรือสวมอาภรณ์ขาว ปกติแล้วบุรุษผู้นี้จะห่มคลุมอาภรณ์ขาวด้วยผ้าคลุมดำ แต่เพื่อสตรีนางนั้นแล้ว บุรุษผู้นี้ยอมปลดชุดคลุม ยอมเปลี่ยนจากปีศาจเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป
ทั้งสองปรากฏตัว ไร้ซึ่งความผันผวนของปราณ จนทำให้ชายชราทั้ง 5 ประหลาดใจ
แววตาหนิงฝานสงบนิ่งราวกับลำธารใส แต่สิ่งที่ชายชราทั้ง 5 สัมผัสได้นั้น คือความน่าสะพรึงกลัว
“คนผู้นี้มีพลังระดับใดกัน! ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม… สมควรเป็นผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ!”
ชายชราทั้ง 5 หวาดกลัว พวกมันไม่อาจรับมือกับผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณได้ แต่เหตุใดผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ถึงได้มาเยือนเกาะแห่งนี้
โดยทั่วไปผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มจะมาเยือนเกาะกู่ซูเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณ แต่ทำไมผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณถึงมาเยือนที่นี่?
ชายชราทั้ง 5 สงสัย บางที...เหตุการณ์ที่ทำให้ข่ายอาคมเกือบจะพังทะลายเมื่อคืน อาจเป็นเพราะผู้เยาว์เบื้องหน้าคนนี้
สิ่งที่ทำให้ชายชราทั้ง 5 หวาดกลัว ไม่ใช่แรงกดดันของหนิงฝาน แต่เป็นแววตา
แววตาที่สงบนิ่งแต่เย็นชาราวกับน้ำแข็งที่กัดกร่อนไปถึงจิตใจ หากผู้เยาว์เบื้องหน้าลงมือ ชายชราทั้ง 5 สมควรถูกสังหารตายในพริบตา
“แบบนี้ไม่ดีแน่ พวกเราเพิ่งตำหนิผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณไป ถึงจะทำไปเพราะหน้าที่ แต่อีกฝ่ายก็เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ หากมันคิดจะลงมือ เกาะแห่งนี้คงไม่เหลือ!”
ชายชราทั้ง 5 เร่งป้องมือพลางกล่าว “พวกข้าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสคือผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ จึงได้พูดจาหยาบคายไป ขอผู้อาวุโสอภัยให้ด้วย!”
“ฮึ่ม! ทำไมข้าต้องอภัยให้พวกเจ้า!”
สายตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา เขาก้าวหาชายชราทั้ง 5 อย่างไม่พอใจ เพราะพวกมันข่มขู่เขาและฉุ่ยหลิง
แต่ก่อนที่หนิงฝานจะลงมือ ฉุ่ยหลิงกลับรั้งเขาไว้ “ท่านลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับข้าแล้วเหรอ! ตอนนี้พวกเราเป็นมนุษย์ ห้ามสังหารใครเด็ดขาด!”
นางกล่าวพลางกุมมือหนิงฝานไม่วาง ความอบอุ่นจากมือของนาง ช่วยทำให้น้ำแข็งที่เกาะกุมจิตใจของเขาละลายลงช้า
“ก็ได้… เข้าใจแล้ว...”
แววตาหนิงฝานกลับคืนสู่ความสงบเช่นเดิม แต่ชายชราทั้ง 5 กลับเหงื่อไหลโทรมกายด้วยความตื่นตระหนก
น่ากลัว...น่ากลัวมาก… ทั้งหมดไม่เคยเห็นผู้ที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน
“ส่งเหรียญเงินมาแสนเหรียญแล้วไสหัวไปซะ...”
ชายชราทั้ง 5 หวาดกลัว จึงเร่งนำกระเป๋าใส่เหรียญเงินของตนออกมา โยนให้หนิงฝานแล้วเร่งจากไป
การที่มีเหรียญเงินแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่ง ดังนั้นยามนี้ หนิงฝานจึงกลายเป็นผุ้มั่งคั่งไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากชายชราทั้ง 5 จากไป ทั้งหมดเร่งส่งข้อความหาผู้เชี่ยวชาญทุกคนบนเกาะพร้อมกับรูปใบหน้าของหนิงฝาน ว่าห้ามยั่วยุคนผู้นี้เด็ดขาด
เมื่อเรื่องราววุ่นวายผ่านเลย ฉุ่ยหลิงก็อดขำไม่ได้
“ท่านพี่นี่เก่งจริงๆ… ท่านรักษาสัญญาข้าได้ ว่าแต่ทำไมท่านต้องเอาเหรียญเงินของพวกนั้นด้วย”
“ข้าอยากจะได้บ้านหลังใหญ่เพื่อให้เจ้าได้พักอย่างผ่อนคลาย คงไม่ดีถ้าเราจะล่องเรือแล้วก็...ทำแบบนั้นทุกคืน”
หนิงฝานหันมองไปยังตัวเกาะ เขาต้องอยู่กับนางที่นี่ 5 เดือน
หากถอนเศษกระบี่ออกมาได้ นางต้องพักรักษาตัว ส่วนหนิงฝานเองก็ใช้เวลานั้นเพื่อดูดซับปราณกระบี่จากเศษกระบี่เซียนได้เช่นกัน บางที เจตจำนงค์กระบี่ของเขาอาจจะยกระดับไปอีกขั้น
แม้ทุกคนที่มายังเกาะแห่งนี้จะต้องใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ แต่หนิงฝานยังคงต้องฝึกฝนวิชา
ฉุ่ยหลิงมองออกว่าหนิงฝานยังคงกังวลไม่หาย นางจึงทำได้เพียงถอนหายใจ
“คงไม่มีทางที่จะทำให้ท่านหยุดฝึกวิชา… แต่ก็ช่างเถอะ แค่ให้ท่านได้มีชีวิตอย่างสงบสัก 5 เดือนก็พอแล้ว”
เรือลำน้อยที่ล่องไปตามลำธารย้อนกลับมายังเกาะ เหล่าทหารยามที่เฝ้าคุ้มกันต่างหวาดกลัวเมื่อเห็นหนิงฝาน
เมื่อขึ้นไปยังชายฝั่ง เขาซื้อรถม้าคันหนึ่ง และเดินทางเข้าสู่เกาะพร้อมกับนาง โดยที่เขาเป็นผู้บังคับรถด้วยตนเอง
ระหว่างทางมีผู้คนมากมายสัญจรผ่าน เมื่อคนเหล่านั้นเห็นหนิงฝาน ต่างเร่งหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว
ภายในเมืองกู่ซูมีบ้านหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง มีข่าวลือว่าชายชราผู้หนึ่งเคยเป็นเจ้าของที่นี่ แต่แล้ววันนหนึ่งหายนะก็บังเกิด อัสนีฟาดผ่าใส่บ้านหลังนั้นจนทำให้ชายชราที่อยู่ภายในหายสาบสูญ จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าอยู่บ้านหลังนั้นอีก
ผู้เชี่ยวชาญที่มาล้วนอยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จึงกลายเป็นว่าไม่ค่อยมีใครซื้อบ้านกัน
ดังนั้น บ้านที่เหมือนต้องสาบหลังนั้นจึงกลายเป็นของหนิงฝานและฉุ่ยหลิง เหตุผลที่เขาซื้อบ้านหลังนี้เพราะ เป็นตำแหน่งที่มีปราณโลหะมากที่สุดบนเกาะ เหมาะให้นางพักรักษาตัวที่นี่
ไม่ว่าจะมีข่าวลือร้ายใดๆ หนิงฝานไม่สนใจ… มนุษย์หวาดกลัวภูติผี แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญแล้ว ภูติผีคือพลังงานสายหนึ่ง
บางทีการที่มีอัสนีฟาดผ่าบ้าน และชายชราคนก่อนก็หายไป อาจเป็นเพราะชายชราได้บรรลุบางสิ่งมากกว่า
เมื่อมาถึงบ้าน หนิงฝานพานางเข้าบ้าน ร่วมรัก และฉวยโอกาสนั้นเพื่อเศษกระบี่ออกจากตัวนาง
นางไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่าหนิงฝานเอาเศษกระบี่ออกจากร่างนางตอนไหน
เมื่อตกดึก หนิงฝานเตรียมสมุนไพรหมื่นปีหลายชนิด นำมาต้มเป็นน้ำให้นางอาบ
สมุนไพรทั้งหมดเหล่านี้อุดมไปด้วยธาตุโลหะ ระหว่างที่ให้นางชำระกาย เขาช่วยนางนวดในจุดต่างๆ เพื่อเปิดชีพจรและรูขุมขนให้ปราณโลหะแทรกเข้าสู่ร่างได้ง่ายขึ้น
วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษานาง ด้วยที่ร่างกายของนางไม่แข็งแรง สมควรทนฤทธิ์โอสถผันแปรที่ 5 ไม่ได้
การชำระกายและการนวด ดำเนินไปเกือบทั้งคืน หากไม่ทุ่มเททำเช่นนี้ อาการของนางจะหายช้า
ฉุ่ยหลิงจ้องมองสมุนไพรหลายชนิดที่อยู่ในอ่างอาบด้วยท่าทีเสียดาย แม้บิดาของนางจะมั่งคั่ง แต่ก็ไม่เคยนำสมุนไพรหมื่นปีเหล่านี้มาต้มให้นางอาบ
“ท่านพี่… สำหรับท่านแล้ว ตัวข้ามีค่ามากกว่าสมุนไพรหมื่นปีหรือเปล่า?” นางกล่าวถามด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ตัวเจ้าย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว… ทำไมเจ้าถึงถามแบบนั้น?”
หนิงฝานโคจรวิชาดาราทมิฬ นวดสัมผัสในจุดที่ไวต่อความรู้สึกของนาง ส่วนมืออีกข้างก็เคาะหน้าผากของนางเบาๆ
เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกสบายขนาดนี้ ปราณโลหะภายในร่างค่อยๆฟื้นฟู ระดับพลังของนางเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วจนเกือบจะบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม
ราตรีผันผ่าน ฉุ่ยหลิงเข้าสู่นิทราในอ่างสมุนไพร หนิงฝานใช้เวลานี้เดินออกมายังสวนหน้าบ้าน นำเศษกระบี่เซียนออกมา
แม้จะเป็นเพียงเศษกระบี่ แต่ปราณกระบี่ที่อัดแน่นอยู่ภายในนั้นทรงพลังมาก ขนาดหนิงฝานที่บรรลุขอบเขตกระดูกหยกที่ 3 เขายังรู้สึกราวกับร่างจะระเบิดเมื่อได้สัมผัสมัน
“นี่คือ… หนึ่งในสี่กระบี่สยบสวรรค์ ‘กระบี่เซียนร่วงโรย’”
“หากข้าดูดซับปราณกระบี่เล่มนี้เข้าไป ทะเลสติของข้าสมควรทรงพลังขึ้น สัมผัสกระบี่สมควรทรงพลังขึ้น กระทั่งสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มได้ในพริบตา”
“ในช่วงที่นางกำลังฟื้นฟูร่างกายอยู่ ข้าก็ควรยกระดับสัมผัสกระบี่”
แววตาหนิงฝานเป็นประกาย ตัวเขานับเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางด้านกระบี่เช่นกัน เขาบรรลุเต๋าแห่งกระบี่กระทั่งเปลี่ยนปราณกระบี่ให้กลายเป็นเส้นใยได้
“นี่คือโอกาสที่ข้าจะได้ยกระดับเต๋าแห่งกระบี่… เกาะแห่งนี้คือโลก กระบี่คือชีวิต ผสานรวมเป็นเต๋าแห่งกระบี่อันยิ่งใหญ่”
“แต่ข้าต้องเริ่มจากที่ใด...”
หนิงฝานหลับตา หวนนึกถึงการต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมด นึกถึงศัตรูที่ใช่กระบี่เป็นอาวุธ และค่อยๆทำความเข้าใจกับเพลงกระบี่เหล่านั้น
หนิงฝานเก็บเศษกระบี่เซียน นำกระบี่เล่มหนึ่งออกมา มันเป็นเพียงกระบี่ระดับต่ำ เปล่งแสงสีคราม
แต่เมื่อกระบี่เล่มนี้ปรากฏในเกาะกู่ซู โลกที่ทุกคนใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ มันย่อมกลายเป็นสมบัติล้ำค่า
“เจตจำนงค์กระบี่… ความเข้าใจในกระบี่จะแปรเปลี่ยนเป็นเจตจำนงค์กระบี่ หากกระบี่ทรงพลัง เจตจำนงค์กระบี่จะอ่อนด้อยลง เช่นนั้น… การบรรลุเจตจำนงค์กระบี่ สมควรฝึกฝนกับกระบี่ระดับต่ำ”
หนิงฝานจ้องมองกระบี่ในมือ ทั่วร่างค่อยๆแผ่กลิ่นอายที่ทรงพลัง
ความเข้าใจในกระบี่ของหนิงฝานเพิ่มพูน!
ผู้ที่เดินผ่านบ้านของหนิงฝานไปมา สัมผัสถึงแรงกดดันที่เปลี่ยนไปของหนิงฝานได้ ล้วนตกตะลึง
แต่ผู้ที่อยู่บ้านใกล้ๆกลับเห็นอีกอย่าง คนเหล่านั้นเห็นเพียงหนิงฝานถือกระบี่นิ่งๆ
“คนผู้นั้นคือท่านลุงซัวหรือเปล่า ข้าได้ยินข่าวว่าเขาเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ แต่ทำไมเขาถึงนั่งจ้องกระบี่อยู่อย่างนั้น”
“ข้าไม่รู้… ข้ารู้แค่ว่าท่านลุงซัวพาสาวงามมาด้วย บางที ท่านอาจย้ายมาอยู่กับคนรักที่นี่!”
“ย้าย?” เด็กหลายคนเกาะขอบรั้วมองหนิงฝานพลางพูดคุย
ในระหว่างนั้น หนิงฝานได้ยินสิ่งที่เด็กพูดคุยจนเขาหมดความอดทน ลืมตาแล้วหันมองเด็กเหล่านั้นด้วยความขุ่นเคือง
“ไม่ได้! เด็กพวกนั้นเป็นมนุษย์ ผู้เชี่ยวชาญจะสังหารมนุษย์ไม่ได้ ข้าเองก็รับปากหลิงเอ๋อร์ไว้แล้ว”
หนิงฝานขบฟัน ถอนเจตนาสังหาร ขบกัดปลายลิ้นแล้วพ่นโลหิตออกมา จิตใจของเขาจึงค่อยๆสงบลง
“เด็กพวกนั้นไม่สมควรย่างเข้าสู่โลกของผู้เชี่ยวชาญ”
เมื่อสงบใจได้แล้ว หนิงฝานก็เริ่มทำความเข้าใจกับกระบี่ต่อ
สายตาที่แฝงด้วยเจตนาสังหารเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้เด็กเหล่านี้หวาดกลัว แต่เมื่อเห็นหนิงฝานพ่นโลหิตออกมา เด็กๆกลับหวาดกลัวและรีบหนีไป
เด็กเหล่านั้นไม่มีทางรู้ว่าที่หนิงฝานพ่นโลหิตออกมานั้น เป็นเพราะไม่อยากสังหารพวกตน
“จิตใจของข้าเต็มไปด้วยการเข่นฆ่ามากเกินไป” หนิงฝานกล่าวกับตนเอง เขาเริ่มเข้าใจในเจตนาของฉุ่ยหลิงที่พาเขามาที่นี่
การสังหารไม่ใช่สิ่งผิด เพราะในโลกของผู้เชี่ยวชาญ หากไม่สังหารกก็ถูกสังหาร แต่หากผู้ใดปล่อยให้จิตใจถูกกลืนกิน คนผู้นั้นจะกลายเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว
“เป็นกระบี่ที่งดงามมาก! บิดาของข้าเป็นช่างที่ขึ้นชื่อของเมือง ท่านพยายามจะตีกระบี่แบบนั้นทั้งชีวิต แต่ก็ยังไม่อาจทำได้!”
แม้เด็กคนอื่นๆจะจากไป แต่ยังเหลือเด็กอีกคนที่เฝ้ามองหนิงฝานด้วยความอิจฉา
เด็กคนนี้อายุราว 9 ปี ร่างกายล่ำสันดูแข็งแรง
กระบี่ที่หนิงฝานถืออยู่นั้นต้องตาเด็กคนนี้มาก จนเผลอกล่าวถามออกไป
“ท่านลุงเป็นมือกระบี่เหรอ? ที่ท่านกระอักโลหิตเมื่อครู่เพราะปราณกระบี่ใช่หรือเปล่า? ท่านพ่อของข้าเคยเล่าให้ฟังว่า แม้มือกระบี่จะเก่งกาจขนาดไหน หากไม่ระวัง ปราณกระบี่จะย้อนทำร้ายเอา… ท่านลุงเก่งหรือเปล่า? ท่านคนเดียวเอาชนะคน 10 คนได้หรือเปล่า?”
“ข้าไม่ใช่มือกระบี่หรอก...” หนิงฝานส่ายหน้า ตัวเขาไม่ใช่มือกระบี่ แต่เป็นผู้ฝึกตน!
แววตาของเด็กคนนี้ทำให้หนิงฝานหวนนึกถึงอดีต
เมื่อยามเด็ก ตัวเขาและหนิงกู่ก็อยากฝึกฝนวิชา ตัวเขาและหนิงกู่จ้องมองทุกคนที่ได้ฝึกฝนด้วยแววตาเช่นเดียวกันกับเด็กหนุ่มที่จ้องมองกระบี่
“ไม่ใช่มือกระบี่หรอกเหรอ...” เด็กน้อยผิดหวัง หากหนิงฝานเป็นมือกระบี่ มันจะฝากตัวเป็นศิษย์
ความฝันของเด็กคนนี้คือได้เรียนรู้และฝึกฝนเพลงกระบี่ ฝึกฝนร่างกายให้ทรงพลัง จะได้หยัดยืนบนเกาะแห่งนี้อย่างภูมิ แต่น่าเสียดายที่หาอาจารย์ดีๆสักคนไม่ได้
“ข้าชื่อเสี่ยวฉือ ท่านลุง… ข้าขอยืมกระบี่กลับไปดูที่บ้านได้หรือเปล่า?” เด็กน้อยกล่าว
สำหรับหนิงฝาน กระบี่เล่มนี้ไร้ค่า แต่สำหรับเสี่ยวฉือแล้ว มันคือทั้งชีวิต
เสี่ยวฉือดูคล้ายหนิงกู่ในยามเด็กมาก... อดีตที่หวนกลับ ความเข้าใจที่เพิ่มพูน ทำให้ระดับจิตใจของเขายกระดับอย่างช้าๆ
หนิงฝานยื่นส่งกระบี่ให้เสี่ยวฉือ เมื่อมันรับปากแล้ว ก็กอดกระบี่กลับบ้านอย่างรวดเร็ว ทั้งยังจะนอนกอดกระบี่เล่มนี้ทั้งคืน
กระบี่ในมือทำให้เด็กน้อยรู้สึกกล้าหาญ ราวกับตนเองเป็นมือกระบี่ผู้เก่งกาจ แต่ถึงอย่างนั้น กระบี่กลับไม่ได้เบาอย่างที่เด็กน้อยคิด มันหนักสำหรับมนุษย์ทั่วไปมาก
หนิงฝานจ้องมองเสี่ยวฉือที่จากไป ราวกับเข้าใจบางสิ่ง และไม่เข้าใจบางสิ่ง
เสี่ยวฉือมีบางสิ่งที่หนิงฝานยังขาดอยู่ และสิ่งนั้นคือกุญแจสำคัญที่ทำให้หนิงฝานยังไม่อาจสร้างเจตจำนงรกระบี่ได้
“ข้าขาดอะไรไป...” หนิงฝานขบคิด