GE348 แต่งงาน [ฟรี]
หวางซื่อ ชายวัยกลางคนในขอบดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ผู้ที่สู่ฉุ่ยหลิงเรียกขานว่าลุงหวาง
หวางซื่อหันกล่าวกับคนอื่นๆ แนะนำหนิงฝานและฉุ่ยหลิง ไม่นาน เรือลำหนึ่งก็ออกมารับทั้งสอง ผ่านม่านหมอกเข้าสู่เกาะไป
เรือลำน้อยแล่นอย่างเชื่อช้า ทำให้หนิงฝานหวนนึกถึงอดีต ยามที่เขาล่องเรือในแคว้นหวู่ ฉุ่ยหลิงอยู่ข้างกายหนิงฝานไม่ห่าง จ้องมองน้ำทะเลใส สูดกลิ่นอายทะเลที่สดชื่น นางในยามนี้มีความสุขมาก
หวางซื่อร่วมโดยสารเรือกลับเข้าเกาะไปกับหนิงฝานและฉุ่ยหลิง หวางซื่อเป็นผู้พายบังคับ พลางขับร้องบทเพลงตามประสาชาวประมง
จิตใจที่ว้าวุ่นของหนิงฝานสงบลงอย่างช้าๆ ตั้งแต่ระดับจิตใจของเขาเพิ่มพูนครั้งล่าสุด นี่เป็นครั้งแรกที่มันเริ่มยกระดับอีกครั้ง
“นายน้อยซัว ท่านจะใช้ปราณที่นี่ไม่ได้ เพราะที่นี่ พวกเราทุกคนคือมนุษย์ปุถุชนทั่วไป...” ฉุ่ยหลิงกล่าวเตือนหนิงฝาน
“เจ้าบอกข้าหลายครั้งแล้ว”
“รับปากข้า ว่าจะไม่ทำร้ายผู้ใดบนเกาะ!”
ฉุ่ยหลิงจ้องมองหนิงฝานด้วยแววตาหนักแน่นมั่นคง จนทำให้หนิงฝานไม่กล้าปฏิเสธ
หนิงฝานพยักหน้า หากนางคิดว่าที่นี่ไม่เป็นอันตราย เขาก็จะไม่ระแวงผู้ใด
กาลเวลาผันผ่าน ตะวันเคลื่อนคล้อยจากรุ่งเช้าสู่ยามเย็น ดวงตะวันสะท้อนน้ำทะเลระยิบระยับ ดูงดงามน่าสดใส
เรือประมงจำนวนมากเริ่มกลับจากหาปลา เรือบางลำเป็นเรือของผู้เชี่ยวชาญที่มาใหม่ คนเหล่านี้แสวงหาชีวิตที่สงบ
เกาะแห่งนี้เป็นเหมือนสถานที่ที่ทำให้ระดับจิตใจของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มยกระดับ เป็นผลให้มีโอกาสยกระดับสู่ขอบเขตตัดวิญญาณมากขึ้น
ที่ชายฝั่งมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งทำหน้าที่อารักขาเกาะ คนเหล่านี้จะตรวจสอบผู้ที่มาใหม่ทุกคน หวางซื่อรู้จักกับคนเหล่านี้ แม้แนะนำหนิงฝานและฉุ่ยหลิง ทั้งสองก็ผ่านเข้าเกาะได้ง่ายๆ
เกาะแห่งนี้มีนามว่า ‘เกาะกู่ซู’ เมื่อขึ้นจากชายฝั่ง หวางซื่อยื่นถุงใบหนึ่งให้หนิงฝาน ก่อนจะเดินกลับไปยังเรือเพื่อมัดเรือไว้กับเสา ไม่ให้ถูกน้ำทะเลซัดออกไป
ฉุ่ยหลิงจูงมือหนิงฝานไปเช่ารถม้าคันหนึ่ง เพื่อโดยสารเข้าสู่ตัวเมือง
ระหว่างทางมีป่าไผ่อันร่มรื่น สะพานข้ามลำธารที่ใสสะอาด กลิ่นบุบผาหอมโชย
เมื่อตะวันลับขอบฟ้า หอคอยแห่งหนึ่งก็ถูกจุดเพลิงจนเกิดความสว่างไสว ทั้งยังมีพลุไฟราวกับเฉลิมฉลอง
“สวยมาก… นั่นคือดอกไม้ไฟเจ็ดสีของศาลาหยกเขียว...” ฉุ่ยหลิงเปิดม่านรถ แหงนมองท้องนภาชมความงดงามของดอกไม้ไฟ
จิตใจของหนิงฝานค่อยๆผ่อนคลาย จนเขารู้สึกราวกับว่า การเข่นฆ่าสังหาร ทะเลโลหิต กองซากศพมหาศาล คือความฝัน… และยามนี้เขากำลังตื่นจากความ กลับคืนสู่ชีวิตที่แสนสงบ
แม้ไม่อยากจะทำ แต่หลายครั้งหนิงฝานก้ไม่มีทางเลือก
เขาถูกบังคับให้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของผู้ฝึกฝนที่ไม่อาจถอนตัวกลับ
ความสับสนปรากฏขึ้นในใจหนิงฝานอีกครั้ง ราวกับเขาต้องเลิกระหว่างปุถุชนและเซียนผู้ยิ่งใหญ่
ความคิด ความสับสน และสิ่งที่ต้องตัดสินใจ วนเวียนอยู่ภายในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนก่อให้เกิดคำกล่าวหนึ่งขึ้นในใจ
“หนทางอันไร้จุดสิ้นสุดนี้… ข้าจะหันหลังกลับที่ใด...”
ในขณะนั้นเอง ผู้บังคับรถม้าสังเกตุเห็นฉุ่ยหลิงเพลิดเพลิงไปยังดอกไม้ไฟ ทั้งยังมีชายหนุ่มข้างกาย จึงได้กล่าวขึ้น
“ดูเหมือนคงไม่ใช่แรกที่แม่นางมาเยือนเกาะแห่งนี้ ยามนี้เป็นช่วงเทศกาล การที่ได้มาเที่ยวชมงานพร้อมกับคนรักนับเป็นเรื่องที่น่ายินดี”
คนบังคับรถกล่าว เป็นคำกล่าวของปุถุชนทั่วไป
ฉุ่ยหลิงหันมองหนิงฝาน สังเกตุเห็นความสับสนในแววตา นางเศร้าใจกับหนิงฝานเพราะรู้ว่าเขาต้องประสบกับความยากลำบาก นางจึงกุมมือเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน
ครั้งแรกที่นางพบหนิงฝาน นางก็เห็นแววตาแบบนี้ของเขา แต่สวนบุบผาของนางในยามนั้น ช่วยให้หนิงฝานสงบใจได้
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนความสับสนของหนิงฝานจะเพิ่มมากขึ้น นางจึงหวังใช้สถานที่แห่งนี้ ทำให้หนิงฝานสงบใจได้อีกครั้ง
นางอยากให้หนิงฝานได้พัก นางรู้ว่าเขาเหนื่อยมามาก เหนื่อยจนล้าไปทั้งจิตใจ
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง นางยังคงสังเกตุเห็นแววตาที่ยังว้าวุ่นของหนิงฝาน นางจึงกล่าวขึ้น “ข้าขอโทษที่พาท่านมาที่นี่ ขอโทษที่ทำให้จิตใจของท่านต้องว้าวุ่น” นางกล่าวตำหนิตนเอง
“ไม่เป็นไร” แววตาหนิงฝานค่อยๆคืนสู่ความสงบ หากตนเองยังสับสน เขาคงไม่อาจผ่อนคลายจิตใจตนเองได้อีก
การที่จะยกระดับจิตใจได้นั้นไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างหนัก แต่มันขึ้นอยู่กับโอกาส… โอกาสที่จะยกระดับจิตใจดีๆเช่นนี้ เขาจะไม่ปล่อยให้มันหลุดลอยไป
หนิงฝานกุมมือนางเบา แหงนมองดอกไม้ไฟบนท้องนภาพลางกล่าว
“ข้าสมควรขอโทษเจ้ามากกว่า… ข้ารู้ว่าเจ้ามีเจตนาดี แต่ข้ากลับทำให้เจ้าต้องผิดหวัง เพราะข้ายังไม่อาจสงบใจได้ ข้าไม่อาจเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นปุถุชนคนทั่วไป แต่ข้าก็ไม่เสียใจที่ได้ก้าวเดินในเส้นทางของผู้ฝึกฝน”
“เพราะข้าต้องแข็งแกร่ง”
แววตาหนิงฝานหนักแน่นมั่นคง ความสับสน ลังเล หายไปโดยสิ้นเชิง จิตใจยกระดับไปอีกขั้น อีกไม่นาน จิตใจของเขาจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตไร้ดัดแปลง
ยามนี้ ร่างกายของหนิงฝานแผ่กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ยามที่ระดับจิตใจเพิ่มพูน แต่หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ จะไม่มีผู้ใดสัมผัสได้
แรงกดดันจากร่างหนิงฝาน ทรงพลังจนแทบจะทำให้ข่ายอาคมของเกากู่ซูพังทะลาย ผุ้เชี่ยวชาญกึ่งตัดวิญญาณจำนวนมากเร่งออกมาสังเกตุการณ์
เกาะแห่งนี้มีข่ายอาคมที่ทำหน้าที่ป้องกันปราณจากธรรมชาติ ไม่ให้เข้ามาภายในเกาะ ทำให้สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศเหมือนโลกมนุษย์ทั่วไป
ข่ายอาคมนี้จัดอยู่ในระดับตัดวิญญาณขั้นสูงสุด ไม่สามารถทำลายได้ด้วยปราณ
สิ่งเดียวที่จะทำลายข่ายพังทะลายได้ มีเพียงแรงกดดันจากการยกระดับจิตใจเท่านั้น!
แรงกดดันของหนิงฝาน ใกล้เคียงกับการบรรลุเข้าใจในเต๋าแห่งจิตใจที่ยิ่งใหญ่ ระดับจิตใจเพิ่มพูนเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตตัดวิญญาณ
ผู้ที่สัมผัสถึงแรงกดดันของหนิงฝานได้ตกตะลึง เพราะยามนี้ มีผู้เชี่ยวชาญที่มากพรสวรรค์ได้เข้ามาเยือนเกาะแล้ว
“ใครกัน! ระดับจิตใจของคนผู้นั้นใกล้จะบรรลุขอบเขตไร้ดัดแปลงแล้ว!”
ไม่มีคำตอบให้คนเหล่านั้น ผู้ที่เชี่ยวชาญที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ตัดขาดจากโลกภายนอก จึงไม่รู้ว่าปีศาจที่สร้างชื่อในทะเลส่วนนอกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้มาเยือนเกาะแห่งนี้แล้ว
บนท้องถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน มีผู้เยาว์ในอาภรณ์ครามคนหนึ่งกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศของเมืองแห่งนี้
หากมีผู้เชี่ยวชาญจากทะเลส่วนนอกอยู่ที่นี่ จะจดจำผู้เยาว์คนนี้ ข้างกายของผู้เยาว์คนนั้นคือหวางหยุน
หวางหยุนผู้นี้เป็นผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ บรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มเมื่ออายุได้ 400 ปี บรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดเมื่ออายุได้ 900 ปี ยามนี้ มันเกือบจะทะลวงขอบเขตตัดวิญญาณแล้ว
ข้างกายของหวางหยุนมีผู้เยาว์อีกคน “พี่หยุน เมืองกู่ซูเป็นยังไงบ้าง? ที่นี่พอจะช่วยให้จิตใจและวิชาปรุงโอสถของท่านยกระดับได้หรือเปล่า?”
“ยากอยู่… วิชาปรุงโอสถยกระดับได้ยาก แต่จิตใจของข้ายกระดับจนเกือบบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลางแล้ว”
ผู้เยาว์อาภรณ์ครามกล่าวกล่าว ดูเหมือนมันจะเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 ขั้นต้น
ผู้เยาว์ในอาภรณ์ครามมีนามว่า ‘หยุนเนี่ยนซู’ เป็นผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ของวิหารพิรุณ อายุกระดูกพันปี บรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นต้น ทั้งยังเป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 ขั้นต้น
เบื้องหน้าของหยุนเนี่ยนซูและหวางหยุน มีผู้เยาว์ของขุมกำลังใหญ่ในทะเลส่วนนอกติดตามมาด้วย
“ทะเลไร้สิ้นสุดอยู่ในการปกครองของเทพกษัตริย์อัสนีปู้ซัว นอกจากซัวฉิงแห่งตระกูลซัวแล้ว ก็คงไม่มีใครเทียบเคียงข้าได้… น่าผิดหวังจริงๆ!”
คำกล่าวของหยุนเนี่ยนซู ทำให้หวางหยุนอับอาย หากวัดกันด้วยพรสวรรค์ มันรู้ว่าไม่อาจเทียบเคียงหยุนเนี่ยนซูได้ นอกจากนี้ ยังเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสูง
“ถึงท่านจะกล่าวแบบนั้น แต่ข้าได้ยินข่าวมาว่า ผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าซัวฉิงได้กลับมายังทะเลส่วนนอกแล้ว”
“เจ้าหมายถึง… ซัวหมิงนั่นหน่ะเหรอ!” หยุนเนี่ยนซูส่ายหน้าพลางกล่าว
“ข้าได้ยินข่าวลือว่า ยามที่มันอยู่ในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม มันสังหารผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณได้ ยามนี้มันบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณ สมควรเก่งกว่าเดิมมาก แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังคิดว่ามันไม่มีค่าพอให้เป็นคู่แข่งข้า”
แต่ทันทีที่มันกล่าวจบ สีหน้ามันกลับแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง มันสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่แทรกผ่านเข้ามาในข่ายอาคม แรงกดดันที่รุนแรงจากการยกระดับจิตใจ ทำให้ข่ายอาคมสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนปราณจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาได้
ในขณะที่มันตกตะลึงนั้น รถม้าคันหนึ่งได้วิ่งผ่านมา มันหันมองตามรถม้าคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา เพราะสัมผัสได้ว่าแรงกดดันจากการยกระดับจิตใจนั้น ออกมาจากผู้เยาว์อาภรณ์ดำที่นั่งอยู่ในรถ
“คนผู้นั้นเป็นใคร ข้าสัมผัสถึงระดับพลังของมันไม่ได้ แต่ระดับจิตใจของมันเกือบจะบรรลุขอบเขตไร้ดัดแปลงแล้ว!”
“ซะ...ซัวหมิง!”
หวางเหยาดวงตาเบิกกว้าง มันตกตะลึงไม่แพ้หยุนเนี่ยนซู!
หวางเหยาคาดไม่ถึงว่าจะได้พบซัวหมิงที่นี่เกาะแห่งนี้ ที่สำคัญ ยังคาดไม่ถึงว่าระดับจิตใจของซัวหมิงจะบรรลุจนถึงขั้นที่เกือบจิตใจของพวกมันแตกสลาย!
“มันแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนไม่รู้กี่เท่าตัว!” หวางหยุนกล่าว ในอดีตมันรู้ว่าตนสู้หนิงฝานไม่ได้ แต่ยามนี้ มันรู้สึราวกับว่า ไม่คู่ควรให้ปรากฏตัวต่อหน้าหนิงฝาน
ส่วนหยุนเนี่ยนซู เมื่อครู่มันยังกล่าวด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง แต่ยามนี้ ลมหายใจของมันกลับติดขัด
มันไม่อาจหยั่งถึงระดับความแข็งแกร่งของซัวหมิงผู้นั้นได้… มันเป็นถึงผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเป็นอันดับสองของวิหารพิรุณ แต่มันกลับเทียบเคียงซัวหมิงไม่ได้!
มันเริ่มสงบใจ แววตาเผยเจตนาแห่งการต่อสู้
“ซัวหมิง… คาดไม่ถึงว่าในทะเลไร้สิ้นสุดจะมีคนอย่างเจ้าอยู่!”
ภายในรถม้า จิตใจของหนิงฝานค่อนๆคืนสู่ความสงบ แต่แววตาของเขากลับดูประหลาดใจ
เมื่อครู่ระหว่างที่รถม้าผ่านเขตเมือง เขารู้สึกราวกับเห็นคนคุ้นหน้า… แต่บางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดไป
เขาไม่ได้ใช้สัมผัสเทพ เพราะถือเป็นการผิดกฏของที่นี่ และไม่อยากทำลายความตั้งใจของตน
สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ชั้นยอดในการยกระดับจิตใจ ทั้งยังทำให้ระดับพลังเสถียรมากขึ้น
“เราจะไปไหนกัน...” หนิงฝานยังไม่ทันได้กล่าวจบ รถม้าก็หยุด ฉุ่ยหนิงจ่ายเงิน และจับมือหนิงฝานวิ่งตรงไปยังสถานที่ที่งดงามแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้ใช้เหรียญเงินในการแลกเปลี่ยน ซึ่งทั้งสองได้มาจากหวางซื่อ
“ดูนั่น! ตรงนั้นคือหอคอยรุ่ยหยุน เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในการชมดอกไม้ไฟ...” นางชี้ไปยังหอคอยสีทอง ถัดไปไม่ไกลคือบริเวณที่จุดดอกไม้ไฟ
แต่เมื่อยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง นางกลับทำหน้าตาผิดหวัง
“เป็นไปไรเหรอ?” หนิงฝานกล่าวถาม
“ดอกไม้ไฟเจ็ดสีหมดแล้ว...” ดูเหมือนจะชอบดอกไม้ไฟเจ็ดสีมาก
แต่ทันทีที่นางกล่าวจบ ชายชราผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลตะโกนขึ้น “มานี่สิ มาเล่นหมากกระดานกับข้า หากเจ้าชนะ ข้าจะยกดอกไม้ไฟเจ็ดสีให้เจ้า!”
ชายชราจองมองหนิงฝาน และสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรง
แต่ชายชราไม่ได้หวาดกลัว ยามนี้ชายชราอยู่ขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง ทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องการเล่นหมากกระดานมาก
“ชนะท่านได้ครั้งหนึ่งก็ได้ดอกไม้ไฟเจ็ดสีเลยเหรอ?” หนิงฝานยิ้มพลางจูงมือฉุ่ยหลิงเดินไปหาชายชรา เมื่อคนรอบๆได้ยิน หนิงฝานจึงกลายเป็นจุดสนใจ
“อย่าไปเล่นหมากกระดานกับตาเฒ่านั่นเลย! ฝีมือหมากกระดานของเขาไม่เป็นสองรองใคร ในเกาะนี้แทบจะไม่มีใครเอาชนะเขาได้...”
ฉุ่ยหลิงเขย่งปลายเท้ากระซิบหนิงฝาน “ท่านลุงฉีเป็นผู้เชี่ยวชาญข่ายอาคมในระดับตัดวิญญาณขั้นกลาง มีความรู้ความเข้าใจในข่ายอาคมอย่างลึกซึ้ง วิชาหมากกระดานของท่านเองจึงไม่ธรรมดา”
“อืม” หนิงฝานไม่สนใจคำกล่าวนาง เขาพับแจนอาภรณ์ นั่งลงเก้าอี้ร่วมโต๊ะกับชายชรา
“ข้าชื่อฉีซู แต่คนอื่นๆเรียกข้าว่าตาเฒ่าหมากกระดาน… ถึงข้าไม่ค่อยคุ้นหน้าน้องชาย แต่ที่นี่เปิดกว้างสำหรับทุกคน หากเจ้าแพ้ข้าตานึง เจ้าต้องจ่ายให้ข้า 5 เหรียญเงิน แต่หากเอาชนะข้าได้ตานึง ข้าจะมอบดอกไม้ไฟเจ็ดสีให้หนึ่งดอก… เจ้าคิดว่าตัวเองมีเหรียญเงินพอหรือเปล่า!”
ชายชรายิ้มพลางกล่าว ราวกับว่าหนิงฝานไม่อาจสู้ตนเองได้ ดูผิวเผิน เหมือนชายชราเป็นพวกกระหายเงิน
“แล้วท่านมีดอกไม้ไฟเจ็ดสีพอหรือเปล่า?” หนิงฝานยิ้ม
*หู้!!!*
ผู้คนรอบข้างส่งเสียงเฮลั่น ทั้งหมดอยากเห็นฝีมือหมากกระดานของหนิงฝาน ในเกาะกู่ซู ชายชราคือคนที่เล่นหมากกระดานเก่งที่สุด ดูเหมือนผู้เยาว์เบื้องหน้านี้จะไม่ได้หวาดกลัวเสือเฒ่าเสียแล้ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ทุกคนที่ชมการแข่งขันก็ดวงตาเบิกกว้าง
เพียงหนึ่งชั่วยาม หนิงฝานเอาชนะชายชราไปได้ถึง 12 ครั้ง ทำให้ได้ดอกไม้ไฟเจ็ดสีถึง 12 ดอก แต่ละดอกบรรจุอยูในกระบอกไม้ไผ่
เมื่อกวาดดอกไม้ไฟจากชายชราได้หมด หนิงฝานก็พาฉุ่ยหลิงปลีกตัวออกมา
สำหรับหนิงฝานแล้ว การจะเอาชนะชายชราไม่ใช่เรื่องยาก
“นายน้อยซัว ข้าไม่รู้มาก่อนว่าทักษะเล่นหมากกระดานของท่านจะเก่งกาจขนาดนี้”
ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ นางรู้ว่าวิชาปรุงโอสถของหนิงฝานสูงส่ง แต่ด้านข่ายอาคมของเขาก็สูงส่งไม่แพ้กัน
“เจ้าอยากไปที่ไหนอีกหรือเปล่า?”
“ไม่แล้วหล่ะ… ข้าว่าเรามาจุดดอกไม้ไฟกันเถอะ...”
นางนำเรือของนางออกมา ล่องไปตามแม่น้ำ เตรียมดอกไม้ไฟทั้ง 12 ดอกจนพร้อมจุด จากนั้นนำสุราเลิศรส จัดแจงสิ่งต่างๆเพื่อทำให้หนิงฝานผ่อนคลาย
“วันที่ 7 เดือน 7 เป็นเดือนวันแห่งการเฉลิมฉลิง… ราตรีนี้ข้าขออยู่เคียงข้างท่าน ขอให้ท่านคลายความกังวลใจทั้งหมดลง...”
สิ่งที่นางกำลังกล่าว เหมือนกับสิ่งที่ลู่ว่านเอ๋อร์กล่าวไม่มีผิด
“งั้นเจ้าจะหลับนอนกับข้าหรือเปล่า?” หนิงฝานดื่มสุราพลางกล่าวหยอกล้อ
“หากท่านกล้า...ข้าก็… อื้ม!”
หนิงฝานโอบกอดนางแนบกาย ริมฝีปากประกบประทับรอย “ข้ากล้าสิ...”
นางรู้ว่าหนิงฝานพูดจริง แต่แววตาที่นางแสดงออก บ่งบอกให้รู้ว่านางพูดจริงเช่นกัน
สายน้ำไหลเอื่อย สายลมพัดผ่านต้นไม้และบุบผา เสียงดนตรีแห่งธรรมชาติขับกล่อม เรือลำน้อยล่องลอยไร้จุดหมาย ไม่มีผู้ใดพบเห็น
“อื้ม~~” หนิงฝานสวมกอดนางไม่ปล่อย ริมฝีปากประกบประทับรอยจูบ
หนิงฝานยอมรับในตัวนาง แม้นี่จะเป็นจูบแรกของนาง เป็นการสัมผัสกายใกล้ชิดบุรุษเป็นครั้งแรกของนาง แต่นางไม่ขัดขืน ปล่อยตัวตามธรรมชาติ ตามความรู้สึกของนาง
ลมหายใจถี่กระชั้น ความรู้สึกซาบซ่านแผ่ไปทั่วร่าง สองมือโอบกอดรอบลำคอหนิงฝาน ริมฝีปากไม่อยากแยกห่าง
สิ่งที่เกิดมาควบคู่กับมนุษย์คือราคะ… ยามนี้ หนิงฝานคือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เขาไม่มีวิชาหยินหยางช่วยสะกดราคะแล้ว
ดวงตาของนางเริ่มพร่ามัว แม้นางจะใจกล้าจูบตอบ แต่นางไม่ได้ตั้งตัวกับการที่ลิ้นของหนิงฝาน เคลื่อนเข้ามาในปาก และสัมผัสกับลิ้นของนาง
แม้จะขัดขืนในตอนแรก แต่ไม่นานนางก็ปล่อยไปตามอารณ์ตนเองอีกครั้ง ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง นางเต็มใจที่จะยอมรับมัน
“นายน้อยซัว ตรงนั้นไม่...” มือของหนิงฝานที่สัมผัสต้นขานาง เคลื่อนเข้าไปใต้กระโปรงอย่างช้าๆ ลูบสัมผัสกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
ลมหายใจของนางถี่กระชั้นมากขึ้น แม้จะรู้สึกแปลกที่ถูกสัมผัสเช่นนั้น แต่นางกลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ในขณะนั้นเอง น้ำตาแห่งความสุขกลับไหลริน เกาะกู่ซูแห่งนี้คือสถานที่ที่หนิงฝานและนางผูกใจผสานเป็นหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ทั้งสองยอมรับซึ่งกันและกัน... สิ่งที่หนิงฝานมองเห็นยามนี้ไม่ใช่ฉุ่ยหลิง แต่เป็นบุบผาม่วงที่งดงาม กลิ่นหอมของมันหอมไปถึงจิตวิญญาณ ไม่อาจหาสิ่งใดเทียบเคียง
นางสบตาหนิงฝาน สบตาบุรุษของนาง นางเห็นผีเสื้อน้อยตัวนั้น ตัวที่บินจากนางไป
หนิงฝานพลิกร่างนางลง สองมือเคลื่อนปลดอาภรณ์ ประทับริมฝีปากทั่วร่าง กระทั่งผสานบางสิ่งเข้าไปในร่างกายของนาง!
ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน น้ำตาไหลริน แต่นางกลับกอดหนิงฝานแน่น… นางยอมทำทุกสิ่ง เพื่อไม่ให้เสียผีเสื้อน้อยตัวนี้ไปอีก...