บทที่ 34 ยอมตาย
เจียงหยูหลงมีส่วนสูงมากกว่าสองเมตรและยังครอบครองกล้ามเนื้ออันใหญ่โตซึ่งดูดุร้ายราวกับหมียักษ์ มันช่างแตกต่างกับเจียงหยูหู่ที่มีร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยไขมันเสียเหลือเกิน เพียงแค่ลักษณะภายนอกก็สามารถบอกได้แล้วว่าเจียงหยูหลงนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธที่เน้นไปทางพละกำลัง
“บัดซบ! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เจียงอี้กล้าหักขาของเจียงหยูหู่ต่อหน้าเขา แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทนกับการหยามเกียรติเช่นนี้ได้ ทันใดนั้นเองจิตสังหารก็ปะทุออกมาจากร่างของเจียงหยูหลงและพุ่งเข้าหาเจียงอี้ราวกับวัวคลั่ง
“เหอะ!”
ความจริงเจียงอี้ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเจียงหยูหลงจะมาปรากฏตัวที่นี่ เขาเข้าใจดีว่าหากไม่ใช่เพราะเจียงหยูหลงติดตามเจียงเฮิ่นซุ่ยกลับมายังตระกูล เจียงหยูหู่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะลงไม้ลงมือกับเจียงเสี่ยวนู๋แน่นอน
ในตอนที่เจียงหยูอิงรีบวิ่งออกไปจากตำหนักในตอนแรก เจียงอี้ก็สังเกตเห็นการกระทำและคาดเดาความคิดของพวกมันไว้หมดแล้ว มันจึงเป็นเหตุผลที่เขาเลือกที่จะเก็บเจียงหยูหู่ไว้คนสุดท้าย
นั่นเป็นเพราะว่าเขาต้องการให้เจียงหยูหลงเป็นสักขีพยานในตอนที่เขากำลังทำลายขาของเจียงหยูหู่ด้วยตัวเอง ทั้งหมดก็เพื่อ… ทำให้ชายคนนี้โกรธจนไม่อาจควบคุมสติของตนเองไว้ได้!
ในขณะที่เจียงหยูหลงกำลังพุ่งเข้ามาหาเจียงอี้อย่างบ้าคลั่ง เขาก็ยังคงรักษาความสงบไว้และงอตัวไปด้านหลังพร้อมกับใช้ขาข้างหนึ่งตวัดร่างของเจียงหยูหู่ขึ้นมาจากนั้นก็ใช้ร่างอ้วนเทอะทะเป็นอาวุธเหวี่ยงใส่เจียงหยูหลง
เจียงอี้เคยใช้วิธีนี้มาก่อนเมื่อตอนที่อยู่บนเขาซีชาน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดมีพละกำลังมากเกินไป เขาเคยประมือกับเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนที่อยู่ในขั้นที่แปดของขอบเขตฉูติ่ง ดังนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะประมาทและต้องลงมือด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด
อย่างน้อยในตอนนี้ เจียงหยูหลงก็ตกอยู่ในสภาวะปั่นป่วน ในฐานะอัจฉริยะของตระกูลเจียง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้ายั่วยุเขา แต่แล้วทันใดนั้นเองเจียงอี้ถึงกับใช้น้องชายของเขามาเป็นโล่ เจียงหยูหลงก็รีบหยุดชะงักและคำรามด้วยความโกรธ
“ไอ้ลูกหมา ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้! รีบปล่อยน้องชายของข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะฉีกร่างของเจ้าให้เป็นชิ้นๆ!”
“หึหึ!”
เจียงอี้หัวเราะในลำคอและเหวี่ยงร่างของเจียงหยูหู่ไปมาต่อหน้าเจียงหยูหลง ชายคนนี้มีน้ำหนักถึงเจ็ดสิบแปดกิโลกรัมแต่กลับถูกเจียงอี้เหวี่ยงไม่ต่างอะไรไปจากกระสอบทราย
“เอ่อออ…”
เจียงกู้ซุ่ยและเจียงหยูหลางต่างพ่ายแพ้ไปแล้วทั้งคู่ แม้ว่าพวกเขาจะเคยมีประสบการณ์ต่อสู้มาแล้วมากมายแต่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์ไหนที่รุนแรงเท่านี้
จะเป็นยังไงหากในขณะที่เจียงอี้เหวี่ยงร่างของเจียงหยูหู่และเผลอทำให้ส่วนศีรษะกระแทกกับพื้นหิน? สมองของเขาจะไม่ไหลทะลักออกมาหรือ?
“อ๊ากก! ไม่นะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”
เจียงหยูหู่ในตอนนี้อยู่ในสภาพที่พร้อมตายได้ทุกเมื่อ ความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ร่างกายได้รับทำให้เขารู้สึกชาและมึนงงจนเกือบจะอาเจียนออกมา แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สำคัญอีกต่อไป
สิ่งที่ทำให้เจียงหยูหู่รู้สึกอับอายมากที่สุดคือการที่ต้องถูกเหวี่ยงไปมาราวกับกระสอบทรายมนุษย์ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาต้องอับอายต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นับจากนี้ไปเขาจะกล้าเงยหน้ามองคนในตระกูลได้อย่างไร?
“โอ้ว ไม่นะ!”
แต่ในจังหวะหนึ่ง เจียงอี้เผลอทำร่างของเจียงหยูหู่หลุดมือ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาสนุกเกินไปหรือไม่ค่อยได้ระวังกันแน่ ใบหน้าของเขาในตอนนี้แสดงออกถึงความตกใจและหวาดกลัวเพราะร่างของเจียงหยูหู่กำลังลอยตรงไปยังกำแพงด้านหนึ่ง หากว่าศีรษะของเขาปะทะกับมันล่ะก็… มีหวังสมองได้เละเป็นแตงโมแน่ๆ!
“ไอ้บัดซบ!”
เจียงหยูหลงเองก็ตกใจกลัวไม่ต่างกัน เขารีบพุ่งออกไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่มีจนในที่สุดก็คว้าร่างของเจียงหยูหู่ไว้ได้ทันก่อนที่จะชนเข้ากับกำแพงอย่างฉิวเฉียด
“เกือบไปแล้ว!”
ใบหน้าของเจียงหยูหลงอาบไปด้วยเม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบ แต่ก่อนที่จะได้ฟื้นสติจากความตกใจ ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงเงาบางอย่างที่พุ่งเข้ามา เมื่อหันไปมอง เขาก็มองเห็นกำปั้นที่กำลังตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง
“ไอ้ลูกหมา เจ้ามันคนน่ารังเกียจ!”
ในที่สุดเจียงหยูหลงก็ตระหนักได้แล้วว่าทั้งหมดนี้อยู่ในความตั้งใจของเจียงอี้ ที่แท้มันเป็นแผนของเขาอยู่แล้ว เจียงหยูหลงได้สูญเสียพลังไปส่วนใหญ่เนื่องจากการคว้าร่างของเจียงหยูหู่และเปิดโอกาสดีให้เจียงอี้ลอบโจมตี
“อึก!”
สมแล้วที่เจียงหยูหลงถูกเรียกว่าอันดับสองแห่งทายาทตระกูลเจียง ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาใช้มือข้างหนึ่งจับร่างของเจียงหยูหู่ไว้และเหวี่ยงไว้ด้านข้าง จากนั้นเขาก็กลับมาทรงตัวได้อีกครั้งพร้อมกับกระโจนขึ้นจากพื้นด้วยขาข้างเดียวและใช้ขาอีกข้างหวดไปทางเจียงอี้อย่างแรง
พละกำลังของผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดไม่ใช่สิ่งที่จะล้อเล่นด้วยได้!
เจียงอี้ถอนหายใจด้วยความเสียดายอยู่เงียบๆแต่เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร ด้วยศักยภาพการมองเห็นที่เพิ่มขึ้นมา ทำให้เขาสามารถคาดเดาวิถีโจมตีของเจียงหยูหลงได้อย่างไม่ยากเย็น เขายังคงพุ่งไปด้านหน้าและอาศัยการเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อหลบลูกเตะของเจียงหยูหลง จากนั้นก็ใช้ทักษะต่อสู้ฝ่ามือม้วนอาภรณ์พันไปรอบแขนของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
การรักษาสมดุลของร่างกายขณะต่อสู้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เมื่อร่างกายเกิดการเสียศูนย์ คนผู้นั้นก็จะตกอยู่ในความตกใจโดยสัญชาตญาณและไม่สามารถแสดงพลังได้เต็มที่ และสิ่งนี้เองก็กำลังเกิดขึ้นกับเจียงหยูหลง จิตใจของเขากำลังตื่นตระหนกและตกอยู่ในความปั่นป่วน
เจียงอี้หันไปอีกทางด้วยความว่องไวและใช้พลังทั้งหมดเพื่อเหวี่ยงร่างอันใหญ่ยักษ์ของเจียงหยูหลงที่อยู่ในสภาพงงงวยเข้าชนกับกำแพง
ปังงงงง!
เพียงแค่เสียงที่ดังสนั่นออกมาก็สามารถอธิบายถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้แล้ว ศีรษะของเจียงหยูหลงอาบไปด้วยโลหิตสีแดงสดในขณะเดียวกันที่กำแพงเองก็ยังมีเลือดของเขาติดอยู่
“อ๊ากก! ไอ้สวะ! หากวันนี้ไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าจะไม่ขออยู่เป็นคน!”
เจียงหยูหลงคำรามด้วยความเดือดดาลอย่างถึงที่สุด ความเจ็บปวดที่เขาได้รับบวกกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เขาทำให้ตกอยู่ในความคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์ เขาหันร่างอันใหญ่โตราวกับหมีกลับมาและพุ่งเข้าหาเจียงอี้เพื่อที่จะกำจัดให้สิ้นซาก
“ด้วยพลังเพียงเท่านี้ คิดจะสังหารข้า? ช่างไม่เจียมตัว!”
ด้วยสัญชาตญาณการตอบสนองอันยอดเยี่ยมและยังมีดวงตาที่ได้รับการเพิ่มศักยภาพจากแก่นแท้พลังสีดำ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เจียงหยูหลงจะโจมตีเขาโดน
ด้วยความสามารถของเจียงอี้ เขาเพียงแค่ลงมือปรับเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยก็สามารถทำให้อีกฝ่ายเสียสมดุลได้อย่างไม่ลำบาก ความจริงแล้วเจียงอี้รู้สึกผิดหวังในความแข็งแกร่งของเจียงหยูหลงอยู่บ้าง การต่อสู้ในครั้งนี้เขาไม่แม้แต่จะใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อเพิ่มพละกำลังให้กับร่างกาย เพียงแค่ใช้กลเม็ดบางอย่างก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
นับตั้งแต่ที่เจียงอี้กล้าลงมือกับเจียงหยูหลงจนทำให้อีกฝ่ายถึงกับเลือดตกยางออก เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องอื่นอีกต่อไป ในตอนนี้การกระทำของเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากการปั่นหัวเจียงหยูหลงราวกับของเล่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะสังหารอีกฝ่าย เพราะถ้าเขาทำ เขาจะถูกตระกูลลงโทษจนถึงแก่ความตาย
เจียงกู้ซุ่ยและคนอื่นๆต่างมองหน้ากัน มีบางคนในพวกเขาแอบหนีออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ชายคนนี้ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าขยะไร้ค่าที่พวกเขาสามารถรังแกหรือเหยียดหยามเท่าไหร่ก็ได้ในอดีต มาวันนี้เขากลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันดุร้ายที่สามารถเอาชนะได้ทุกคน… ไม่เว้นแม้แต่อัจฉริยะอันดับของสองตระกูล
“ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้!!”
ในตำหนักฝึกยุทธ นอกเหนือจากเจียงซง, เจียงเป่าและเจียงหยูหู่ที่กำลังคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ก็มีเพียงเจียงหยูหลงเท่านั้นที่คำรามออกมาอย่างดุร้าย เสียงของเขาราวกับเสียงฟ้าผ่าที่ทำให้หลายคนรู้สึกปวดไปจนถึงแก้วหู
ฟึบบ!
เจียงอี้ที่ก้มหลบการโจมตีของเจียงหยูหลงได้อย่างทันท่วงทีก็รีบก้มตัวลงและใช้ขาทั้งสองข้างถีบร่างของอีกฝ่ายขึ้นไปในอากาศอย่างเต็มแรง ในขณะเดียวกันเขาก็รีบยันตัวเองขึ้นและใช้สองมือคว้าไปยังร่างของเจียงหยูหลงที่อยู่ในอากาศพร้อมกับกดร่างนั้นลงมา จากนั้นเขาก็ใช้เข่าของเขาเองตั้งฉากกับพื้นเพื่อใช้รองรับร่างของเจียงหยูหลง
แกร๊กก!
ไม่มีใครกล้าที่จะลืมตามองดูฉากตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงกระดูกที่กำลังหักอย่างชัดเจน ในที่สุดพวกเขาก็ลืมตาและหันไปมองเจียงอี้ด้วยความหวาดกลัว
ใครจะรู้ล่ะว่าขยะไร้ค่าที่มีสถานะต่ำสุดในตระกูลจะกลายเป็นตัวอันตรายที่ไร้ปรานีขนาดนี้? หากเจียงหยูหลงและเจียงหยูหู่ไม่ใช่สมาชิกตระกูลเจียง ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะถูกทรมานจนตาย?
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เคยรังแกผู้ที่มีสถานะต้อยต่ำกว่าและลงมืออย่างไร้เมตตาเช่นกัน แต่ในตอนนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกหวาดผวากับความบ้าเลือดของชายที่อยู่ตรงหน้า มีเพียงข้อความเดียวที่ผุดขึ้นมาภายในใจของพวกเขา : อย่าได้ยั่วโทสะชายผู้นี้ในอนาคตเด็ดขาด!
กึกกึกกึก!
แต่เมื่อได้ยินเสียงเท้าจากด้านนอก ทุกคนก็เรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
อนาคต? อนาคตอะไร?
เจียงอี้ผู้นี้ยังมีอนาคตอยู่อีกหรือ? ด้วยความผิดร้ายแรงที่เขาทำ แม้ว่าตำหนักลงทัณฑ์จะไม่สังหารเขา แต่การบ่มเพาะพลังของเขาจะต้องถูกทำลายและต้องกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ทันใดนั้นเองร่างคนนับสิบก็ปรากฏตัวขึ้น ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีดำกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับดวงตาสีแดงซึ่งเห็นได้ว่าเขากำลังโกรธจัด กลิ่นอายที่รุนแรงของเขาได้เข้าปกคลุมตำหนักฝึกยุทธทั้งหมด สายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างของเจียงอี้พร้อมกับโคจรแก่นแท้พลังไว้ที่ฝ่ามือ เห็นได้ชัดว่าหากเจียงยังไม่หยุด เขาก็จะต้องลงมือด้วยตัวเอง
“เจียงอี้คารวะผู้อาวุโสตำหนักยุทธ!”
เจียงอี้ไม่ใช่คนโง่ เท้าของเขาที่เหยียบอยู่บนร่างของเจียงหยูหลงแต่เดิมก็ถูกยกออก เขามองไปยังชายวัยกลางคนตรงหน้าและโค้งคำนับด้วยความเคารพ
เมื่อทุกคนตื่นจากภวังค์ พวกเขาก็รีบกล่าวออกมาพร้อมกัน
“คารวะผู้อาวุโสตำหนักยุทธ!”
“มันเกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่?”
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา หลังจากที่กวาดมองไปรอบๆเขาก็กล่าวต่อ “พวกเจ้าจะมัวยืนอยู่ทำไม รีบนำคนเจ็บไปรักษา เร็วเข้า! ส่วนพวกเจ้าที่เหลือจะถูกส่งตัวไปตำหนักลงทัณฑ์!”
“รายงานผู้อาวุโส ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่!”
สีหน้าของเจียงอี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากผู้อาวุโสตำหนักยุทธท่านนี้
“คนเหล่านี้ได้รับบาดเจ็บเพราะข้า ข้าจะไปยังตำหนักลงทัณฑ์และยอมรับความผิดด้วยตัวเอง แต่ข้าอยากขอให้ผู้อาวุโสฟังคำพูดของข้าก่อน… หากไม่ ข้าก็ยอมตายดีกว่าที่จะไปยังตำหนักลงทัณฑ์นั่น!”
“หืม?”
สีหน้าของผู้อาวุโสตำหนักยุทธยิ่งดูมืดมนลง เขาก้าวไปหาเจียงอี้และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเหน็บหนาว “สารเลวเช่นเจ้ากล้าที่จะทำตัวเหิมเกริมไม่เห็นหัวผู้ใดและยังทำร้ายคนในตระกูลเดียวกัน เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าจริงๆ?”
เจียงอี้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นในขณะที่กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าขอร้องให้ท่านฟังข้า! ข้า เจียงอี้เต็มใจที่จะตายด้วยน้ำมือของท่าน แต่ไม่เต็มใจไปยังตำหนักลงทัณฑ์ทั้งอย่างนี้และตายจากการถูกข่มเหง!”