บทที่ 31 ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่
“ปังง!”
ร่างของเจียงอี้อัดกระแทกกับกำแพงอย่างจังและร่วงลงมายังพื้นด้วยสภาพที่น่าอนาถ แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าพลังจากกำปั้นของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนได้ถูกระงับไว้มากแล้ว ไม่เช่นนั้นซี่โครงของเขาคงจะหักเป็นเสี่ยงๆแน่
“ฮ่าฮ่า! ในที่สุดหมัดมังกรคชสารของข้าก็สำเร็จขั้นบรรลุเสียที! เงินหนึ่งร้อยตำลึงทองนับว่าคุ้มค่านัก ป่าหมาเดียวดาย เจ้ามันช่างยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ…”
เจียงอี้ที่เพิ่งจะฝืนกายลุกขึ้นมาแต่เขาก็ถูกเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนซัดกระเด็นไปอีกครั้ง กำปั้นที่ถูกชกเข้าตรงกลางหน้าอกได้ส่งร่างของเขาลอยไปไกล
“แค๊กๆ!”
ในครั้งนี้เจียงอี้ถึงกับกระอักเลือดออกมา เขาพยายามยืนขึ้นอีกครั้งและหันไปมองเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนที่จ้องมองมายังเขาด้วยสายตาอันน่าหวาดกลัว ในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้และตะโกนออกไป
“ในเมื่อข้าช่วยให้ทักษะต่อสู้ของท่านสำเร็จขั้นบรรลุ… แล้วไยท่านถึงยังทุบตีข้าอยู่เล่า?!”
“ฮ่าฮ่า! ขอโทษทีๆ”
เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาขณะที่ปล่อยไปอีกหมัด จากนั้นนางก็กล่าว “ข้าชอบทุบตีผู้คนเวลาข้าโกรธและเมื่อข้ามีความสุข… ข้าก็ยังชอบทุบตีผู้คนเช่นเดิม!.. ทนๆหน่อยละกันนะ!”
นังผู้หญิงบ้า!
เจียงอี้สาปแช่งอยู่ในใจ เขามองเห็นกำปั้นของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนที่กำลังใกล้เข้ามาซึ่งทำให้เขารีบตะโกนออกไปด้วยความกลัว
“หยุดมือก่อน! แม่นางเหลิ่ง ทักษะต่อสู้ที่ข้าใช้อยู่ตอนนี้ ข้าเพิ่งเริ่มฝึกฝนไปได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น หากท่านแน่จริง โปรดรอสักสองสามวันได้หรือไม่? แล้วเราค่อยมาตัดสินกันใหม่เป็นอย่างไร?”
“เจ้าเพิ่งฝึกได้ไม่กี่วัน? แล้วเจ้าแน่ใจรึว่าจะล้มข้าได้?” กำปั้นของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ นางเพียงแค่เหลือบมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมของเจียงอี้และถอนหมัดกลับมา
“ได้สิ ข้าจะให้เวลาเจ้าสองสามวัน! แต่ถ้าหากว่าเจ้ายังไม่สามารถเอาชนะข้าได้ หึหึ! ข้าสาบานเลยว่าจะอัดเจ้าจนทำให้แม่ของเจ้าจำไม่ได้เลยคอยดู!”
เจียงอี้ยืนขึ้น เขาพยักหน้าขณะที่ยังใช้มือกุมหน้าอกที่ยังคงรู้สึกเจ็บปวด “ตกลง! แต่ท่านต้องระงับพลังไว้ให้เหมือนกับครั้งนี้ เพราะไม่ว่ายังไงระดับการบ่มเพาะพลังของท่านก็สูงกว่าข้ามากเกินไป…”
“ไม่มีปัญหา!”
เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนฉีกยิ้มและเอื้อมมืออันใหญ่โตของนางไปหิ้วร่างของเจียงอี้พร้อมกับออกไปจากห้อง นางยังคงยิ้มขณะก้าวเดินและเอ่ย “มาเถอะเจ้าหนู! พี่สาวคนนี้มีความสุขยิ่งนัก วันนี้ข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง! ไม่เมาไม่เลิก ฮ่าๆ”
“ข้าอยากเห็นเหมือนกันว่านังสารเลวทิงยวี่จะเอาชนะข้าได้ยังไงในช่วงพิธีเปิดรับสมัครของสำนักจิตอสูร!”
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนถึงมีชื่อเสียงในระดับเดียวกับจีทิงยวี่ อารมณ์ของนางนั้นรุนแรงและป่าเถื่อนเกินไป!
เจียงอี้ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจและกล่าวปฏิเสธ “แม่นาง ข้ายังต้องทำงานนะ ท่านคิดว่าข้าร่ำรวยเหมือนท่านหรือยังไง? ข้ายังจำเป็นต้องใช้เงิน ท่านเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่อันสูงส่ง ส่วนข้านั้นเป็นเพียงคู่ซ้อมประลองยุทธอันต่ำต่อยเท่านั้น”
“พูดอะไรของเจ้าน่ะ? ช่างเถอะ ก็ได้ แล้วข้าจะกลับมาใหม่”
เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนยังคงอารมณ์ดีและไม่ต้องการบังคับเจียงอี้มากเกินไป นางวางเขาลงและเดินไปยังผู้ดูแลหยางพร้อมกับตบไปที่ไหล่ของเขา “ตาเฒ่าหยาง คนของเจ้านั้นไม่เลวเลย เงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เสียไปช่างคุ้มค่าจริงๆ!”
คำพูดของหญิงถึกเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนได้สร้างความตื่นเต้นให้กับเหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ที่กำลังต่อแถว สิ่งที่นางกล่าวออกมาแสดงให้เห็นแล้วว่าเจียงอี้มีความสามารถที่ช่วยให้ผู้อื่นสำเร็จทักษะต่อสู้ถึงขั้นบรรลุได้จริงๆ
เจียงอี้ใช้เวลาสองชั่วโมงฟื้นฟูพลังและกลับมาที่ห้องซ้อมประลองอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้ แขกทั้งสองไม่ได้บ้าเลือดเหมือนกับเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยน ดังนั้นเขาจึงสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย
หลังจากประลองครบทั้งสามยก ผู้ดูแลหยางก็อนุญาตให้เจียงอี้กลับไปพักและปฏิเสธคำร้องข้อประลองที่เหลือ เขารู้ดีว่าไม่ควรกดดันเจียงอี้มากเกินไปสำหรับแผนในระยะยาว นอกจากนี้การจำกัดไว้เพียงแค่สามรอบต่อวันก็ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเจียงอี้ไปในตัว
เจียงอี้รู้สึกโล่งใจ การประลองเพียงแค่สามยกต่อวันยังไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะพลังมากนัก ถ้าหากเขาต้องประลองนับสิบยกต่อวันเหมือนเมื่อก่อน เขาได้เหนื่อยจนตายแน่
ไม่กี่วันผ่านไป เจียงอี้ขึ้นประลองสามยกในตอนเช้า จากนั้นเขาก็จะบ่มเพาะพลังโดยปราศจากการหยุดพักในช่วงบ่ายและเย็น วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น เขาไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะต่อสู้ของตระกูลเจียงอีกต่อไป
เพียงแค่ทักษะท่าก้าวเทวะและฝ่ามือพุทธะก็เพียงพอที่จะใช้รับมือฝ่ายตรงข้ามแล้ว หากไม่นับพวกสิบอัจฉริยะแห่งเมืองเทียนอวี่ เจียงอี้ก็สามารถจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสบายๆ
สิ่งที่ทำให้เจียงอี้รู้สึกกังวลใจก็คือในบางครั้งมีรุ่นเยาว์จากตระกูลหม่าและตระกูลเจียงขึ้นประลองกับเขา แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความสามารถของเขาเป็นที่นิยมในหมู่ทายาทตระกูลชั้นสูงในเมือง แต่เขาก็ยังกลัวที่จะถูกใครบางคนจดจำได้
แต่ดูเหมือนว่าเจียงอี้จะคิดมากเกินไป นอกจากเหล่าตาเฒ่าที่เคยคุ้นเคยกับเจียงอี้ในวัยเด็กแล้ว รุ่นเยาว์คนอื่นๆก็ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เขากำลังสวมหน้ากากหมาป่า มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คนพวกนั้นจะจำเขาได้?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลหม่า มีเพียงหม่าเฟยเท่านั้นที่จดจำเขาได้ แต่อย่าลืมว่าตันเทียนของนายน้อยจอมหยิ่งยโสผู้นี้ถูกทำลายไปแล้วก่อนหน้านี้ แล้วเขายังมีเหตุผลอะไรให้มายังโถงวรยุทธ?
ในช่วงไม่กี่วันนี้ เจียงอี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนผู้ป่าเถื่อนซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้เขามีความสุขมาก แต่ถึงแม้ว่านางจะกลับมาแต่เขาไม่ก็จำเป็นต้องกลัวอีกต่อไป เพราะว่าทักษะก้าวเทวะและฝ่ามือพุทธะได้สำเร็จถึงขั้นบรรลุแล้วทั้งคู่
ความสำเร็จในครั้งนี้ยังเป็นเพราะแก่นแท้พลังสีดำอยู่อีกหรือไม่? ว่าแต่แก่นแท้พลังสีดำมันคืออะไรกันแน่นะ?
เจียงอี้ยังคงขบคิดและมีความสงสัยในตัวเอง แม้ว่าจะมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมเป็นทุนเดิม แต่ถ้าหากปราศจากแก่นแท้พลังสีดำ เขายังคงสงสัยว่าจะสามารถฝึกจนทักษะต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นสูงทั้งสองสำเร็จถึงขั้นบรรลุในเวลาเพียงไม่กี่วันได้จริงๆหรือ?
หรือเป็นไปได้ไหมว่าเขาจะครอบครองกายวิญญาณพิภพอยู่จริงๆ? แต่หากเป็นเช่นนั้น ทำไมเขาถึงบ่มเพาะพลังได้เชื่องช้านัก?
เวลาผ่านไปอย่างสงบ การเป็นคู่ซ้อมประลองของเจียงอี้ยังคงดำเนินต่อไป นอกเหนือจากนั้นแล้วเขาก็ใช้เวลาในการบ่มเพาะพลังหรือไม่ก็ทำการลบตัวอักขระที่อยู่บนผนึกเหนือตันเทียน ความเร็วการบ่มเพาะพลังของเขาในตอนนี้เพิ่มสูงขึ้นมากนัก
สองสัปดาห์! ขอแค่สองสัปดาห์เท่านั้น ข้าก็จะสามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ได้… แล้วจากนั้นข้าจะได้กลับบ้านเสียที!
ยิ่งคิดถึงเจียงเสี่ยวนู๋ที่อยู่บ้านเพียงลำพัง เจียงอี้ก็ยิ่งมีแรงฮึด เขาขยายเวลาการฝึกฝนออกไปและนอนหลับเพียงแค่สี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
นับตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ในโถงวรยุทธเป็นเวลาสองเดือน เจียงอี้ก็ไม่ได้รับรู้ข่าวสารอะไรจากทางบ้านอีกเลย แต่เขาก็มั่นใจว่าเจียงหยูหู่จะไม่สร้างปัญหาให้กับเจียงเสี่ยวนู๋ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
หลังจากผ่านไปสิบวันก็ได้มีสองข่าวใหญ่ออกมาจากโถงวรยุทธและสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนในเมืองเทียนอวี่
ในวันเดียวกันนั้น สองในสิบยอดอัจฉริยะได้ออกมาจากการปิดด่านฝึกตน นั่นก็คือเจียงเฮิ่นซุ่ยและจีทิงยวี่ อีกทั้งพวกเขาทั้งสองยังทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้าแล้วทั้งคู่ จีทิงยวี่ผู้ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าเจียงเฮิ่นซุ่ยห้าเดือนกลายมาเป็นว่าที่ผู้ได้รับอันดับหนึ่งในพิธีเปิดรับสมัครของสำนักจิตอสูร ส่วนของเจียงเฮิ่นซุ่ยนั้นก็กำลังสร้างแรงคุกคามให้กับเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนผู้ซึ่งเป็นอันดับสอง
ทั้งตระกูลจีและตระกูลเจียงต่างก็จัดงานฉลอง ด้วยวัยเพียงเท่านี้แต่กลับสามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้าได้แล้ว มันก็หมายความว่าการกลายเป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูรจะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
ในฐานะหนึ่งในสามสำนักยักษ์ใหญ่แห่งทวีปเทียนชิง การได้เป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูรจะช่วยให้เหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์มีอนาคตที่สดใส
การทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้าของทั้งสองถือเป็นฝันร้ายของผู้ลงสมัครคนอื่นๆ นั่นเป็นเพราะสำนักจิตอสูรเปิดรับศิษย์เพียงแค่ห้าคนเท่านั้นและสองในห้าก็แทบจะถูกยึดไปแล้ว นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนหญิงถึกผู้ทรงพลัง นางมีโอกาสที่จะได้หนึ่งที่ไปครองสูงมาก
ดังนั้นตำแหน่งอีกสองที่ที่เหลือจึงทำให้การต่อสู้แย่งชิงยิ่งดุเดือดขึ้นอย่างแน่นอน
เจียงเฮิ่นซุ่ย, เจียงหยูหลงและทายาทคนอื่นของตระกูลเจียงได้กลับไปยังตำหนักตระกูลเจียงหมดแล้วซึ่งทำให้เจียงอี้รู้สึกโล่งใจในระดับหนึ่ง ความจริงแล้ว เขากลัวที่จะต้องประลองกับเจียงเฮิ่นซุ่ย พวกเขาทั้งสองเคยใช้เวลาร่วมกันหลายปีในวัยเด็กและยังได้พบกันโดยบังเอิญที่ห้องปรุงยาเมื่อไม่นานมานี้ หากต้องพบกันในการประลองขึ้นมา ก็มีโอกาสสูงมากที่เจียงเฮิ่นซุ่ยจะระบุตัวตนของเจียงอี้ได้
ในช่วงนี้เจียงอี้ใช้เวลาอยู่กับการทำความเข้าใจฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ แต่เนื่องจากส่วนสำคัญของตำราหายไปถึงสองหน้าครึ่งจึงทำให้เขาไม่สามารถศึกษาต่อได้และเลือกที่จะหันมาทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะพลังเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่แทน
ห้าวันต่อมาเจียงอี้เดินออกจากห้องและเป็นคู่ซ้อมประลองให้กับทายาทจากตระกูลต่างๆเป็นปกติ การทำงานของเขาทำให้ผู้ดูแลหยางพึงพอใจอย่างมาก ไม่ว่ายังไงเจียงอี้ก็ช่วยให้โถงวรยุทธได้กำไร โดยเฉพาะการวางตัวของเขา ผู้ดูแลหยางเริ่มรู้สึกชื่นชอบเขามากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เมื่อเสร็จสิ้นการซ้อมประลองทั้งสามยก เจียงอี้ไม่ได้กลับเข้าไปในห้องเหมือนเช่นเคยแต่กลับตรงไปหาผู้ดูแลหยางแทนและกล่าว
“ผู้ดูแลหยาง ข้าขอลาหยุดสองวันเพื่อกลับบ้านได้หรือไม่ขอรับ?”
“หืม?” ผู้ดูแลหยางขมวดคิ้ว หลังจากที่เขาก็เริ่มสำรวจร่างกายของเจียงอี้ ดวงตาของเขาก็เผยความยินดีออกมา
“หมาป่าเดียวดาย เจ้าทะลวงระดับแล้วอย่างนั้นรึ?”
ด้วยเม็ดยาจำนวนมากที่ได้รับจากโถงวรยุทธ บวกกับแก่นแท้พลังสีดำทำให้เจียงอี้สามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ได้ในเวลาสั้นๆ ในที่สุดเขาก็มีพลังมากพอที่จะปกป้องตนเองและสามารถกลับบ้านได้แล้ว!
“เอาสิ”
ผู้ดูแลหยางพยักหน้าและเอ่ย “ก็ดีเหมือนกันที่เจ้าจะได้พักผ่อนเป็นเวลาสองวัน แต่ในเมื่อเจ้าบรรลุขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่แล้ว โถงวรยุทธก็คงไม่สนับสนุนเม็ดยาวิญญาณให้เจ้าอีกต่อไป แต่แน่นอนว่าด้วยค่าจ้างที่เจ้าได้รับ เจ้าสามารถนำมันไปซื้อเม็ดยาระดับพิภพและข้าจะให้ส่วนลดพิเศษกับเจ้า”
ความจริงแล้ว เจียงอี้ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาที่เคยถูกเรียนว่าขยะไร้ค่าจะสามารถทะลวงสู่ขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่งได้ในเวลาไม่กี่เดือน และด้วยพลังของแก่นแท้พลังสีดำยังทำให้เขามีพลังที่เกือบจะเทียบเคียงได้กับสิบยอดอัจฉริยะ แล้วยังมีอะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจอีก?
โดยไม่สนใจท่าทีอาลัยอาวรณ์ของเหล่าทายาทตระกูลชั้นสูงที่มาต่อแถว เจียงอี้ก็กล่าวอำลาผู้ดูแลหยางและออกจากโถงวรยุทธอย่างรวดเร็ว เมื่อก้าวออกมาเขาก็ยืนอยู่ชั่วครู่และสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด ที่จริงหากไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเป้าสายตา เขาก็ต้องการที่จะเงยหน้าและแผดเสียงตะโกนขึ้นไปบนฟ้าเพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นที่อยู่ในใจเสียด้วยซ้ำ
ฟิ้ววว!
เจียงอี้โคจรแก่นแท้พลังสีน้ำเงินและพุ่งไปข้างหน้าราวกับสายฟ้า แต่เนื่องจากยังคงสวมหน้ากากหมาป่า มันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนตลอดทาง
เมื่อมาถึงตรอกที่ปราศจากผู้คน เจียงอี้ก็ถอดหน้ากากออกและสวมเสื้อผ้าชุดเดิมของเขาจากนั้นก็สวมเสื้อคลุมทับอีกทีและรีบตรงไปยังประตูทางทิศตะวันตกของตำหนักตระกูลเจียง
เสี่ยวนู๋ ข้ากลับมาแล้ว! นายน้อยของเจ้ากลับมาแล้ว!
ไม่นานนัก เจียงอี้ก็มาถึงตำหนักตระกูลเจียง โดยไม่รอช้าเขารีบตรงกลับไปยังบ้านหลังน้อย ภายในใจของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
“ปังง!”
ทันทีที่ประตูเปิดออก เจียงอี้ก็ตะโกนขึ้นมาในทันที “เสี่ยวนู๋! นายน้อยของเจ้ากลับมาแล้ว!”
แต่ทั้งบ้านยังคงตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา หลังจากรออยู่ชั่วครู่ สีหน้าของเจียงอี้ก็ดูย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เขารีบเดินเข้าไปและค้นหาจนทั่ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเจียงเสี่ยวนู๋เลยแม้แต่นิดเดียว
“เสี่ยวนู๋ เจ้าอยู่ไหน?!”
เจียงอี้อดไม่ได้ที่จะแผดเสียงตะโกนออกมา ภายในใจของเขาสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง ใบหน้าของเขาในตอนนี้บิดเบี้ยวและดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าหน้ากากหมาป่าของเขาเสียอีก…