บทที่ 20
ผู้แปล loop
ในวันศุกร์เวลาประมาณ 10 โมงเช้า
ฉางจี้เองก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานหลังจากเขารับงานมาจากหัวหน้าโจวเป็นที่เรียบร้อย ในสำนักงานตอนนี้ฉางจี้มองดูไปที่กองเอกสารมหึมาที่หนาเตอะ มันทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว โดยหลังจากนั้นเขาก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่ดงซูบินซึ่งกำลังทำรายการข้อมูลอยู่ เขาได้แต่ยิ้มแล้ววางเอกสารกองไว้บนโต๊ะของดงซูบิน:“ซูบิน! นายยุ่งอยู่ไหม? ฝากจัดการเอกสารเหล่านี้หน่อยสิ หัวหน้าโจวบอกมาว่ามันมีคำผิดเยอะมาก นายช่วยแก้ไขพวกมันหน่อยนะ เพราะหัวหน้าโจวจะเอาเอกสารพวกนี้ก่อนเที่ยง”
‘จริงๆมันน่าจะเป็นงานของนายรึเปล่า’ ดงซูบินพูดในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจออกมาแต่อย่างใด
เพราะ ดงซูบิยต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานของเขา "ตกลง. เดียวผมจะทำให้ตอนนี้เลย”
ฉางจี้พยักหน้าและกลับไปที่โต๊ะทำงานของเขา ซึ่งเขานั่งไขว่ห้างแล้วนั่งดื่มชาอย่างสบายใจเฉิบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวลา 11.30 น. ดงซูบินและต้าหลิงเหม่ยได้เดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อนำเอกสารไปส่ง
ระหว่างทางเองนั้นต้าหลิงเหม่ยก็ถามเบา ๆกับดงซูบินว่า :“ฉางจี้น่ะ? หมอนั้นขอให้นายทำงานให้อีกแล้วหรอ”
ดงซูบินพยักหน้าและพูดต่อไปวา “เราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ถ้ามีอะไรพอช่วยกันได้ก็ควรช่วยเหลือกันไว้ถูกต้องไม?”
“ฮึ่ม! ช่วยกันอะไร ฉางจี้นะชอบที่จะสั่งพวกเด็กใหม่ เพราะหมอนั้นรู้ดีว่าเด็กใหม่พวกนี้ยังไม่เข้าใจการเมืองภายในสำนักงานมากเท่าไรหรอก หมอนั้นเองเลยทำตัวราวกับว่าเป็นหัวหน้าสำนักงานเสียเอง ตอนที่ฉันเขามาทำงานใหม่ที่นี่ หมอนั้นก็ถามอะไรไม่รู้ตั้งเยอะแยะ คิดแล้วก็ขนลุกอยู่เลย”ต้าหลินเหม่ยเธอบ่นด้วยความเก็บกดของเธอ “โอ้! ก่อนที่นายและจ้วงจื้อจะมานะมีชายหนุ่มคนหนึ่งเขาทำงานหนักมาก แต่เขาออกไปเพราะพฤติกรรมของฉางจี้ ใครจะทนได้ล่ะก็เพราะหมอนั้นสั่งงานเขาขนาดนั้น?”
ดงซูบินรู้สึกประหลาดใจ "จริงดิ?"
“ทำไมฉันต้องโกหกนายด้วยล่ะ” ต้าหลิงเหม่ยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมมากนัก เธอแค่พูดคำสั่นๆ “แค่ระวังตัวไว้”
"ขอบคุณเธอที่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังนะ "ดงซูบินกำลังคิดบางอย่างอยู่ ‘การอยู่ในองค์กรแตกต่างจากการอยู่มหาวิทยาลัยมากจริงๆ’
ในช่วงกลางวัน ดงซูบินนำเอกสารที่เสร็จแล้วส่งกลับไปที่ฉางจี้ “พี่จี้! ผมทำเสร็จแล้วนะครับ”
ฉางจี้ไม่ได้พูดอะไรเลยและพลิกแฟ้มเอกสารและอ่านไปไม่กี่หน้า เขาพยักหน้า. "ดี. ขอบคุณ“ฉางจี้สังเกตเห็น เกาแพนเหว่ย,ฉางจ้วง และคนอื่น ๆ ออกไปทานอาหารกลางวันเขาตบที่นั่งที่ว่างๆข้างเขา” ซูบิน มานั้งคุยกันก่อนเถอะ”
ดงซูบินนั่งลง:“มีอะไรหรอ?”
เมื่อเหลือเพียงเขาสองคนอยู่ในสำนักงานฉางจี้ ยิ้มและพูดว่า:“ฉันคิดว่านายเป็นคนฉลาด นายฉลาดกว่าจ้วงจื้อเสียอีก ซึ่งนายมีแผนการอย่างไรสำหรับอนาคตของนาย? นายเคยคิดบ้างไหม? นายมีเป้าหมายอะไรกันแน่?” น้ำเสียงของฉางจี้ เปรียบเสมือนหัวหน้าที่กำลังถามลูกน้องด้วยความเคร่งขรึม
ดงซูบินได้เพียงแต่สาปแช่งในใจของเขาและตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจมากนัก:“ไม่นิครับ ผมยังไม่รู้ว่าผมจะรักษาตำแหน่งนี้ได้นานขนาดไหน อีกทั้งผมคิดว่าผมต้องทำงานออกมาให้ดีก่อนจึงจะคิดเรื่องเหล่านั้น”ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นข้าราชการทำงานได้แย่มากๆ ตามกฎถ้าข้าราชการที่เพิ่งประกาศใหม่สำหรับการประเมินในระดับที่“ไม่ดี” อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี พวกเขาจะถูกขอให้ออก แน่นอนว่ามีหน่วยงานน้อยมากที่จะทำสิ่งนี้ เว้นแต่ว่าประสิทธิภาพของบุคคลนั้นเลวร้ายมากๆ หรือเขาได้ทำให้หัวหน้าของเขาบางคนขุ่นเคือง
ฉางจี้หัวเราะ “นายหยุดเสแสร้งได้แล้ว นายเข้ามาทำงานนี้สองสามวันแล้ว และนายคงจะได้ยินอะไรบ้างอย่างมาบ้างแล้ว” ตอนนี้ฉางจี้อ้างถึงความสัมพันธ์ของเขากับหัวหน้าของเขา “ซูบิน! ถ้านายติดตามฉัน ฉันสามารถช่วยนายได้ ฉันควรจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเร็วสุดในปีหน้า เมื่อเวลานั้นมาถึง ฉันช่วยเหลือนายได้อย่างง่ายดาย มันไม่มีอะไรจะต้องเสียอยู่แล้ว” เขาพูดตรงไปตรงมามาก
‘ฮะ? ความหมายของคำพูดนี้คืออะไร? หมอนี้พยายามที่จะดึงฉันไปเป็นมือขวาของเขาหรอ? ให้ติดตามหมอนี้เนี่ยนะ’
‘แต่เขาเองก็ไม่ใช่หัวหน้า ฉันจำเป็นต้องติดตามเขาด้วยหรอ?’ ซูบินคิดภายในใจ
ดงซูบินรู้ว่าถ้าเขาเลือดที่จะติดตามฉางจี้, ฉางจี้เองจะต้องหาเรื่องสั่งเขาอย่างแน่นอน ซูบินเองอาจต้องเสิร์ฟชาให้เขาด้วย เลื่อนขั้นอย่างงั้นหรอ? เขาไม่มีอำนาจในการเลื่อนขั้นใครเลย ถ้าเขามีพลังที่จะเลื่อนขั้นใครบางคนและทำไมเขาต้องมาเลื่อนขั้นให้ซูบินด้วย นี้ก็เหมือนกับคำสั่งที่ให้ดงซูบินทำงานให้เขาฟรีๆ แต่อาจจะไม่ได้เลื่อนขั้นด้วยซ้ำ อีกทั้งมันอาจกลายเป็นแค่เช๊ดเด้งที่ใช้ในอนาคตไม่ได้
จริงๆแล้วดงซูบินก็ต้องการการเลื่อนขั้นเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งเขาตอบว่า:“พี่จี้!ขอบคุณที่คิดถึงผมเป็นคนแรก แต่ผมเพิ่งเข้ามาที่ฝ่ายกิจการและผมยังคงต้องเรียนรู้อีกหลายเรื่อง ดังนั้นในตอนนี้ผมต้องการมุ่งเน้นเรื่องงานเสียก่อน แต่ผมก็หวังว่า……” ดงซูบินต้องการปฏิเสธฉางจี้ด้วยถอยคำที่สุภาพที่สุด เพราะดงซูบินไม่ต้องการมีปัญหากับใครโดยเฉพาะคนที่มีผู้มีอำนาจนุ่นหลังอยู่
ใบหน้าของฉางจี้เปลี่ยนไปทันที “ฉันให้โอกาสนายแล้วนะ!!” ฉางจี้เคยถามคณะกรรมการผู้ตัดสินทางการเมืองของอำเภอแล้วเพื่อขอให้เขาได้เลื่อนขั้น เขาคิดว่าจะให้คนของตัวเองย้ายไปที่แผนกใหม่ด้วย หากเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งในปีหน้า การนำคนของตัวเองไปยังที่ทำงานใหม่มันจะทำให้เขาทำงานง่ายขึ้น นี่คือเหตุผลที่เขาต้องการดึงดงซูบินไปด้วย แต่ดงซูบินกับปฏิเสธเขา และเขารู้สึกว่าเขาเสียหน้ามากๆ
ดงซูบินลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า:“ผมขอขอบคุณสำหรับข้อเสนอของพี่ แต่ผม……”
ฉางจี้ยืนขึ้นทันทีพร้อมกับหน้าตาบูดบึ้ง:“นายกำลังทิ้งสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของนายไป!” ดงซูบินปฏิเสธฉางจี้สำเร็จแต่มันทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก
ดงซูบิน ตบหน้าผากของเขา และพูดอยู่ภายในใจของเขา ‘ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ฉันก็มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเสียแล้ว’
14.00 น.
ฉางจี้เดินออกจากห้องของหัวหน้าโจว และเดินตรงไปที่โต๊ะของดงซูบิน เขาได้ขว้างเอกสารไปทีโต๊ะของดงซุบิน:“คัดลอก 5 ชุด อย่าสลับหน้ากันล่ะ ฉันต้องการมันก่อน 16.00 น.” น้ำเสียงของฉางจี้ เป็นเหมือนผู้บังคับบัญชาที่กำลังสั่งลูกน้องด้วยความดุดัน
ทุกคนในสำนักงานมองข้าม พวกเขาทุกคนสงสัยว่าดงซูบินไปทำอะไรให้ฉางจี้ผิดใจรึยังไง
ดงซูบินโกรธจัด เขาแสดงสีหน้าที่แท้จริงออกมา ซึ่งมันมีความหมายว่าเขาอยากจะซัดหน้าฉางจี้สักหนึ่งที่
‘ถ้าฉันติดตามนาย ฉันก็จะเป็นลูกน้องของนาย ถ้าฉันไม่ติดตามนาย ฉันก็ยังต้องทำงานของนายอยู่ดี ฉันมีทางเลือกอื่นอะไรอีก? ฉันไม่เคยเห็นใครที่ไร้เหตุผลเท่านี้มาก่อนเลย’ ดงซูบินแค่พูดในใจเท่านั้น
มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมากๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ฉางจี้ก็ไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ต้าหลิงเหม่ยและจ้วงจื้อ ถามว่า:“ซูบิน! เกิดอะไรขึ้น?”
ดงซูบินตอบด้วยรอยยิ้มที่ฝืนๆของเขา:“ไม่มีอะไร”
ทั้งคู่เห็นว่าดงซูบินไม่เต็มใจที่จะพูด และพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการบังคับให้ซูบินพูด พวกเขากลับไปทำงานของพวกเขา
เกาแพนเหว่ยที่กำลังนั่งอยู่ใกล้ ๆ มองไปที่ดงซูบิน:“ซูบิน, นายยุ่งอยู่รึเปล่า?” เขาชี้ไปที่กล่องข้างๆเขา “ตอนนี้ฉันไม่ว่าง ช่วยฉันนำกล่องเหล่านี้ไปที่ฝ่ายการเงินให้หน่อยนะ”เกาแพนเหว่ยเห็นว่าดงซูบินอาจเป็นไอ้ไก่อ่อนที่ถูกรังแกได้ง่ายๆ เขาจึงคิดจะใช้โอกาสนี้นำงานของเขาให้ดงซูบินทำเสียเลย หลังจากนั้นเขาก็เข้าสำนักงานของหัวหน้าโจวเพื่อชงชาให้เขา
‘มันบ้ามาก!’
‘สิ่งนี้จะหยุดเมื่อใด’
ดงซูบินเกือบสาปแช่งเสียงดัง ‘ทั้งฉางจี้ และเกาแพนเหว่ย พวกนายนี้มันเป็นไอ้กลวกจริงๆ’
ในที่สุดดงซูบินก็เข้าใจว่า“การเป็นคนดีมักจะถูกกลั่นแกล้ง” เขากำมัดของเขาแน่น เขารู้ว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ไขเรื่องเหล่านี้ ถ้าไม่เขาก็จะเป็นไก่อ่อนที่ถูกรังแกตลอดไป