บทที่ 30 เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยน
ภายหลังการประกาศของโถงวรยุทธ มันก็เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดเหล่าทายาทจากตระกูลใหญ่ทั้งห้า แต่เนื่องจากพิธีรับสมัครศิษย์ของสำนักจิตอสูร เก้าในสิบของสุดยอดอัจฉริยะแห่งเมืองเทียนอวี่ยังคงปิดด่านฝึกตนอย่างเงียบเชียบ
มีเพียงเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนเท่านั้นที่ออกจากการปิดด่าน หลังจากนั้นนางก็ได้ยินข่าวลือและมาที่ห้องฝึกซ้อมประลองยุทธเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ดูแลหยาง จากนั้นนางก็ทราบว่าหมาป่าเดียวดายกำลังอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตนเป็นเวลาห้าวัน
เหล่าสมาชิกตระกูลอี้ยังคงปิดปากเงียบและไม่ได้เผยข้อมูลใดๆเกี่ยวกับเจียงอี้ แต่เหล่าทายาทจากตระกูลอื่นๆที่เคยได้ซ้อมประลองกับเขา พวกเขาเหล่านี้ได้ป่าวประกาศความสามารถที่ช่วยให้ผู้คนพัฒนาทักษะต่อสู้ของเจียงอี้ออกไป
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเจียงอี้ยังคงอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตน ไม่เพียงแค่ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาจะลดลงเท่านั้น แต่มันยังทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก!
เมื่อกลุ่มต่างๆรายงานไปยังต้นสังกัดของพวกเขา มันก็ยิ่งปลุกระดมความโกลาหลภายในหมู่ผู้ฝึกยุทธ แต่ก่อนที่จะสามารถยืนยันความพิเศษของเจียงอี้ได้จริงๆ ไม่มีขั้วอำนาจใดกล้าลงมืออย่างอุกอาจ เนื่องจากไม่ต้องการกระตุ้นโทสะของโถงวรยุทธ
ตระกูลชั้นสูงต่างๆภายในเมืองเทียนอวี่ได้ออกคำสั่งไปถึงเหล่าทายาทซึ่งกำลังฝึกฝนอยู่ในโถงวรยุทธ ตราบเท่าที่สามารถยืนยันได้ว่าเจียงอี้มีความสามารถในการทำให้ทักษะต่อสู้ของพวกเขาพัฒนาขึ้นได้จริง
พวกเขาก็ไม่สนใจว่าต้องใช้จ่ายไปเท่าใดเพื่อที่จะได้ประลองกับเขา มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเหล่าผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ที่จะต้องรีบเพิ่มพูนความแข็งแกร่งก่อนที่พิธีรับสมัครของสำนักจิตอสูรและกองทัพทหารตะวันตกจะเริ่ม
ดังนั้นเจียงอี้จึงกลายเป็นคู่ซ้อมประลองยุทธที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แม้ว่าจะออกจากการปิดด่านในอีกห้าวัน แต่ก็มีคนมารอต่อแถวประลองกับเขามากกว่ายี่สิบคนแล้ว แน่นอนว่ามันทำให้ผู้ดูแลหยางถึงกับยิ้มจนแก้มปริ
เขารู้ดีว่าพิธีเปิดรับสมัครของสำนักจิตอสูรและกองทัพทหารตะวันตกจะเริ่มในไม่ช้า การปรากฏตัวของเจียงอี้จำทำให้โถงวรยุทธได้กำไรมหาศาล
มีเพียงตัวเจียงอี้เท่านั้นที่ยังคงไม่ทราบถึงสถานการณ์ภายนอก หากว่าเขารู้ขึ้นมา มีหวังคงได้คลั่งตายแน่ ในตอนนี้เขายังคงเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อทำความเข้าใจกับตำราทักษะวิชาที่เพิ่มได้รับมา
ภายในห้าวัน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฝึกสำเร็จจนถึงระดับบรรลุของทักษะต่อสู้ท่าก้าวเทวะและฝ่ามือพุทธะ แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาที่จะฝึกถึงขั้นเริ่มต้นหรือแม้แต่ขั้นผู้เชี่ยวชาญ
ผู้ดูแลหยางอนุญาตให้เจียงอี้นำตำราทักษะวิชาทั้งสามเล่มกลับมาที่ห้องได้โดยที่ไม่กลัวว่าเขาจะนำมันหลบหนีไป มันเป็นเพราะในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าต่อต้านโถงวรยุทธ นี่ยังไม่รวมเรื่องที่เจียงอี้เป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตฉูติ่งอันแสนอ่อนแอ
เจียงอี้ใช้เวลาแค่สองวันในการฝึกจนถึงขั้นเริ่มต้นของทักษะต่อสู้ท่าก้าวเทวะและฝ่ามือพุทธะ สำหรับฝ่ามือระเบิดแก่นแท้นั้น เขาไม่มีเวลามากพอที่จะฝึกมัน แม้ว่าเจียงอี้จะเลือกฝึกมันขึ้นมา มันก็แทบไม่มีประโยชน์ในการซ้อมประลองยุทธเนื่องจากว่าเขาไม่สามารถทำร้ายอีกฝ่ายได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือการจดจำเนื้อหาของมันเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้เจียงอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ นั่นก็คือมีเนื้อหาสองหน้าที่สูญหายไปและมันยังเป็นส่วนที่สำคัญมากของทักษะฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ นอกจากนี้ยังมีอีกหน้าหนึ่งที่ฉีกขาดจนเหลือเพียงครึ่งเดียว
เขาสามารถทำความเข้าในมันได้เพียงแค่คร่าวๆเท่านั้น มันเป็นทักษะพิเศษที่ช่วยให้สามารถบีบอัดแก่นแท้พลังจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีผู้ฝึกยุทธจำนวนมากไม่ประสบความสำเร็จในการฝึกมัน
หลังจากห้าวันแห่งการปิดด่านฝึกตนผ่านพ้นไป เจียงอี้ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงตามเวลา เขาสวมเสื้อคลุมนักรบสีดำที่ดูเก่าเล็กน้อยและยังสวมหน้ากากหมาป่าอันน่ากลัว รูปลักษณ์จากภายนอกของเขาดูบอบบางและอ่อนแอโดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตการบ่มเพาะพลังที่อยู่ในขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่งเท่านั้น หลังจากที่ได้รับรู้ข้อมูลทั้งหมด เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความผิดหวังออกมา
แม้ว่าชื่อ ‘เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยน’ จะฟังดูน่ารักและน่าทะนุถนอม แต่แท้จริงแล้วนางกลับมีรูปลักษณ์ที่หยาบกร้านและดูโหดร้าย ร่างของนางดูสูงใหญ่และแข็งแรงกว่าเจียงอี้เสียอีก นางยังสวมชุดสีดำและมีผมยาวที่ถูกปล่อยอย่างลวกๆ นอกจากนี้ยังมีดาบยักษ์สีทองสะพายอยู่บนหลัง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ทำให้เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนดูแล้วไม่เหมือนกับคุณหนูแห่งตระกูลใหญ่แต่เป็นหัวหน้าโจรป่าเสียมากกว่า
“ใครอยู่หน้าสุดของแถว? มาสลับที่กับพี่สาวคนนี้ซะ!”
เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยความหนักแน่นและทำให้พื้นดินถึงกับสั่นสะเทือน นายน้อยจากตระกูลหนึ่งซึ่งกำลังหันหน้ามาด้วยความโกรธ แต่เมื่อเห็นนาง สีหน้าของเขาก็ซีดขาวลงและยอมหลีกทางให้แต่โดยดี
ในเมืองเทียนอวี่มีหญิงสาวผู้โด่งดังอยู่สองคน หนึ่งคือจีทิงยวี่ผู้ที่งดงามราวกับเทพธิดาอีกทั้งยังมีความเฉลียวฉลาด ส่วนอีกหนึ่งคือหญิงถึกเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนผู้ซึ่งมีความกล้าหาญเสียยิ่งกว่าบุรุษส่วนใหญ่
คุณหนูแห่งตระกูลเหลิ่งผู้นี้คือผู้ที่มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมและถูกจัดอยู่ในอันดับสองจากสิบยอดอัจฉริยะซึ่งเป็นรองเพียงแค่จีทิงยวี่ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็มีนิสัยหุนหันพลันแล่นและชื่นชอบการต่อสู้ บ่อยครั้งที่นายน้อยจากตระกูลชั้นสูงภายในเมืองเทียนอวี่ถูกนางทุบตีราวกับสุนัขข้างถนน
“ขะ.. ข้าเอง! คุณหนูเหลิ่ง หากท่านต้องการ โปรดมายืนในที่ของข้าได้เลย!” หนึ่งในทายาทตระกูลหลิ่วกล่าวเมื่อตระหนักได้ว่าคนที่ตะโกนเมื่อครู่คือเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยน สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความหวาดกลัวและกล่าวด้วยความนอบน้อม
เมื่อเห็นเช่นนั้นเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นนางก็เบนสายตาไปที่เจียงอี้และหันปลายดาบไปทางด้านหน้าของเขา “หมาป่าเดียวดาย เจ้าจงมาประลองกับพี่สาวคนนี้ซะและแสดงความสามารถในฐานะคู่ซ้อมประลองระดับป้ายทองให้ข้าได้เห็นเป็นอย่างไร?”
ม่านตาของเจียงอี้หดแคบลง เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามก็สามารถรับรู้ความแข็งแกร่งได้จากกลิ่นอายที่เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนปลดปล่อยออกมา เห็นได้ชัดว่านางอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดเป็นอย่างน้อย อีกทั้งการที่ผู้คนรอบด้านมองนางด้วยสายตาอันกลัวเกรง นั่นก็หมายความว่าหญิงถึกผู้นี้จะต้องเป็นหนึ่งในสิบยอดอัจฉริยะอย่างแน่นอน
แล้วยังไอ้ดาบยักษ์นั่นอีก นางคงไม่คิดที่จะใช้มันฟันร่างของเขาจริงๆหรอก… ใช่ไหม?
ผู้ดูแลหยางก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขาเพียงแค่เดินไปหาเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนและกระซิบอะไรบางอย่าง จากนั้นไม่นานหญิงสาวก็พยักหน้าและมอบดาบยักษ์ให้กับเขา จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในห้องซ้อมประลอง
ผู้ดูแลหยางเดินมาหาเจียงอี้และกล่าว “เข้าไปได้แล้วหมาป่าเดียวดาย ไม่ต้องกังวล คุณหนูเหลิ่งเพียงแค่ต้องการแสดงพลังออกมาเท่านั้น ไม่มีใครกล้าฆ่าคนภายในโถงวรยุทธหรอก”
อึก…
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอี้ก็ลอบกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่และเดินเข้าไปในห้องซ้อมประลอง แต่ในขณะที่ประตูปิดลง เขาก็มองเห็นหญิงถึกผู้นั้นกำลัง… ถอดชุด!
ภาพตรงหน้าทำให้วิญญาณของเขาแทบหลุดออกจากร่าง ในเวลานี้ภายในใจของเจียงอี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาอยากที่จะหันหลังกลับและพุ่งหนีออกไปทางประตูให้รู้แล้วรู้รอด… เป็นไปได้ไหมว่านางกำลังจะใช้กำลังขืนใจเขา?!
เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนยังคงถอดชุดของนางออกและทำเหมือนว่าไม่มีคนอยู่ตรงนี้ แต่ในไม่ช้าในขณะที่เสื้อชั้นนอกถูกถอดออกก็เผยให้เห็นเสื้อนักรบที่สวมอยู่ด้านใน จากนั้นนางก็เริ่มยืดกล้ามเนื้อและอบอุ่นร่างกายโดยไม่ให้ความสนใจกับเจียงอี้แต่อย่างใด
หลังจากนั้นนางก็มองไปยังเจียงอี้และกล่าวอย่างไม่แยแส “จะมองอะไรนักหนา? รีบย้ายก้นของเจ้ามานี่เดี๋ยวนี้! ตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับผู้ดูแลหยาง ข้าจะใช้พลังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะต้องคลานออกจากห้องเหมือนกับหมา จะเอาหนึ่งร้อยตำลึงทองจากข้าไป มันไม่ง่ายนักหรอก!”
“เอ่ออ…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงอี้พบเจอกับหญิงสาวที่แสดงความป่าเถื่อนและดุร้าย เขาไม่สามารถปรับตัวตามได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รีบถ่ายเทแก่นแท้พลังสีดำไปยังดวงตาและเริ่มจับจ้องไปยังทุกการเคลื่อนไหวของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยน
“เข้ามา!”
เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนคำรามและใช้เท้ากระทืบไปบนพื้นอย่างแรงจากนั้นก็ส่งร่างอันใหญ่ยักษ์ของตนเองพุ่งไปข้างหน้าราวกับพญาเสือโคร่ง พริบตาเดียวนางก็มาปรากฏตัวอยู่ไม่ห่างจากเจียงอี้และเหวี่ยงหมัดซ้ายใส่อากาศด้วยพละกำลังอันมหาศาล มันราวกับว่าสามารถทำให้ห้วงอากาศตรงนั้นเกิดการบิดเบี้ยว
แม้วิสัยทัศน์ของเขาได้ถูกเพิ่งศักยภาพด้วยแก่นแท้พลังสีดำ เจียงอี้ก็ยังต้องตกตะลึง เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าห้วงอากาศที่อยู่ตรงหน้าเกิดการสั่นไหวและกำปั้นนั้นยังคงพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวมันก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว!
ท่าก้าวเทวะ!
เจียงอี้รีบใช้ออกด้วยทักษะการเคลื่อนไหวและเบี่ยงหลบไปด้านข้างได้ทันท่วงที โชคดีที่เจียงอี้ฝึกจนสำหรับขั้นเชี่ยวชาญ แต่ประสิทธิภาพของมันกลับเทียบเท่ากับท่าก้าวหลอนประสาทในขั้นบรรลุ
ท่าก้าวเทวะ!
ท่าก้าวเทวะ?
เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนยังคงมองมาที่เจียงอี้ซึ่งหลบการโจมตีของนางได้ด้วยความเฉยเมยและเย้ยหยัน นางยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิดและดูเหมือนว่านางจะเร็วกว่าเขาเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้…
เจียงอี้ถึงกับพูดไม่ออก เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนมีพละกำลังสูงกว่าเขามากแม้ว่าจะแสดงพลังออกมาเพียงครึ่งเดียว เขาคงไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมมือของนางได้แน่หากปราศจากแก่นแท้พลังสีดำ
ฝ่ามือพุทธะ!
ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางให้หลบหนีหากเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนยังคงพุ่งเป้ามาที่เขาเช่นนี้ กำปั้นของนางพุ่งเข้าหาเจียงอี้อีกครั้ง ความเร็วของมันทำให้ทิ้งภาพติดตาเอาไว้เบื้องหลังทั้งที่แท้จริงแล้วกำปั้นนั้นได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว!
ในขณะที่ก้าวถอยหลัง เจียงอี้ก็วาดฝ่ามือเป็นวงกลมไปในอากาศและดึงกำปั้นของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนเข้ามา
ปังงง!
เกิดเสียงสนั่นดังขึ้น ฝ่ามือของเจียงอี้ถูกกระแทกกลับและร่างของเขาเองก็ถูกบังคับให้ต้องถอยไปด้านหลังเจ็ดถึงแปดเก้า แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังคงสบายดี
ใบหน้าทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนที่ดูโดดเด่นกว่าบุรุษหลายๆคนเผยให้เห็นความประหลาดใจออกมา กำปั้นที่เต็มไปด้วยพละกำลังอันมหาศาลของนางรู้สึกราวกับว่าเพิ่งพุ่งเข้าไปในน้ำ จากนั้นนางก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
“ใช้อ่อนเพื่อต้านแข็ง? ทักษะต่อสู้ของเจ้าเองก็เป็นระดับมนุษย์ขั้นสูง? ช่างคล้ายกับพวกตระกูลหลิ่วที่เชี่ยวชาญวรยุทธประเภทมวยอ่อน หึหึ! แต่ก็ช่างเถอะ มาดูกันว่าเจ้าจะทนหมัดของพี่สาวคนนี้ได้อีกนานแค่ไหน!”
ในขณะที่นางกล่าว เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนก็พุ่งเข้ามาหาเจียงอี้ด้วยความเร็วราวกับปืนใหญ่ซึ่งทำให้เขารีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว ภายในใจของเขายังคงก่นด่าในความโชคร้ายของตน การปิดด่านฝึกตนห้าวันทำให้ฝ่ามือพุทธะของเขาสำเร็จแค่เพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น แม้ว่าการโจมตีของนางก่อนหน้านี้จะไม่ได้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่เขาก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดที่จุดหู่โข่วอยู่บ้างเนื่องจากการกระแทก
ฝ่ามือพุทธะ!
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ เขาจะสามารถทำอะไรได้อีก? เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนเป็นทายาทแห่งตระกูลเหลิ่งและยังมีพละกำลังอันน่าเหลือเชื่อ นอกจากนี้เจียงอี้ยังคงสงสัยว่านางเป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะของเมืองเทียนอวี่ซึ่งเป็นเหตุให้เขาไม่กล้าเปิดเผยทักษะต่อสู้ของตระกูลเจียงออกมา
ปัง!
ร่างของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนยังคงกระโจนเข้าหาเจียงอี้อย่างต่อเนื่อง ทุกการปะทะเขาจะถูกผลักกระเด็นถอยหลังไปไกลถึงสามเมตร ในเวลาเพียงห้านาที พวกเขาประมือกันไปแล้วกว่าร้อยกระบวนท่า
ฝ่ามือทั้งสองข้างของเจียงอี้ยังคงสั่นไม่หยุด ในขณะที่เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนซึ่งดูเหมือนจะเสพติดความรุนแรงยังคงกระหน่ำโจมตีเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพัก
เห้ออ
เจียงอี้ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเจ็บปวด เมื่อมองไปยังกำปั้นที่พุ่งเข้ามา เขารู้สภาพตัวเองดีว่าฝ่ามือของเขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว แต่หากไม่ตอบโต้ มันก็จะจบลงที่เขาต้องคลานออกไปอย่างน่าเวทนา
แก่นแท้พลังสีดำ!
เจียงอี้โคจรแก่นแท้พลังสีดำไปยังฝ่ามือทั้งสอง จากนั้นก็วาดฝ่ามือออกไปเป็นวงกลมที่ด้านหน้า จู่ๆพลังดึงดูดบางอย่างก็ชักนำให้กำปั้นของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนตรงเข้ามาด้านในและเขาก็ใช้โอกาสนั้นออกแรงผลักสุดกำลัง
ปัง!
เป็นไปตามคาด แม้ว่าร่างของเจียงอี้จะถูกแรงกระแทกให้ต้องถอยหลังออกไปนับสิบก้าว แต้ร่างยักษ์ของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนเองก็ถูกบังคับให้ต้องถอยหลังไปแปดก้าวก่อนที่จะตั้งหลักได้อย่างมั่นคง
“หืม?”
ดวงตาของนางเผยให้เห็นความตกใจ แต่จากนั้นไม่นานมันก็เปลี่ยนเป็นความอับอายและโกรธแค้นซึ่งทำให้นางพุ่งเข้าหาเจียงอี้อย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อมาถึงได้เพียงครึ่งทาง จู่ๆดวงตาของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนก็ปรากฏความตื่นตระหนกและร่างของนางก็หยุดชะงัก หลังจากนั้นก็หลับตาลงราวกับว่ากำลังทำความเข้าใจกับอะไรบางอย่าง
“โอ๊ย!”
เจียงอี้บีบนวดฝ่ามือที่ยังคงบวมเป่ง แต่เขาก็ค่อนข้างพึงพอใจกับฝ่ามือพุทธะที่เพิ่งใช้ออกไป ต้องอย่าลืมว่ามันเป็นเพียงแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น เขาถึงกับต้านทานและผลักเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนให้กระเด็นถอยหลังไปได้ แล้วถ้าหากเขาสำเร็จถึงขั้นบรรลุล่ะ? ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถรับมือกับนางได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ?
ฝ่ามือพุทธะอาศัยพลังอ่อนในการต้านพลังแข็ง หากพละกำลังของอีกฝ่ายมีมาก พลังสะท้านก็จะยิ่งมากตามไปด้วย แต่ทักษะนี้ยากที่จะฝึกฝนและยังเหมาะเฉพาะผู้ฝึกยุทธที่มีการตอบสนองที่ว่องไวจนน่าเหลือเชื่อเท่านั้น หากความเร็วในการตอบสนองไม่ไวพอ ก็มีความเป็นไปได้มากที่ฝ่ามือทั้งสองจะหักจากแรงปะทะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ในตอนที่เจียงอี้ยังคงพึมพำกับตัวเอง เหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขาก็ลืมตาขึ้นและระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ในขณะที่หัวเราะ นางก็พุ่งเข้าหาเจียงอี้พร้อมกับปล่อยหมัดออกมา กำปั้นที่อยู่ห่างออกไปเกือบสองเมตร จู่ๆก็มาปรากฏตรงหน้าเขาในพริบตาด้วยความเร็วที่ไม่อาจตามได้ทัน ดูเหมือนว่ามันจะเร็วกว่าก่อนหน้าเดิมถึงสองเท่า!
ฝ่ามือของเจียงอี้ยังคงบาดเจ็บ มันเป็นไปได้ไม่เลยที่เขาจะต้านทานการโจมตีนี้ได้ เขามีทางเลือกเดียวก็คือต้องร้องตะโกนออกไป “เดี๋ยว! หยุดก่อน! แม่นางเหลิ่งหยุดมือก่อน!”
ตู้มม!
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือกำปั้นที่เต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาลกระแทกใส่ทรวงอกของเขาอย่างจังและส่งร่างของเขาลอยไปไกล…