ตอนที่ 74 ผู้บ่มเพาะดวงดาว
สถานีใหม่เอี่ยมปรากฏต่อหน้าเขา เฟิงหลินตกตะลึงหลังเห็นมัน
พลังชีวิต 10.1!
เขาพลันทะลุผ่านกำแพง10หน่วยและบรรลุเลขสองหลักแล้ว ในสายโซ่ชีวภาพ เขาถือเป็นตัวตนที่อยู่ในระดับสูงขึ้นแล้ว
แม้เขาจไม่ถึงระดับเหนือธรรมชาติ แต่ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั่วไปบนโลก เขาได้มาถึงจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแล้ว
เมื่อพลังชีวิตของคนมาถึงเลจสองหลัก จะมีเพียงวาฬสีน้ำเงินของยุคโลกโบราณและไทรันโนซอรัสของยุคจูราสสิคที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่ง
แม้เฟิงหลินจะดูเหมือนมนุษย์ แต่จริงๆแล้วเขาถือเป็นไทรันโนซอรัสในรูปมนุษย์!
เฟิงหลินรู้สึกตกใจกับตัวเอง ก่อนหน้านี้ เมื่อสถานะพลังชีวิตเขามาถึง5.6 เขาก็รู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งพอแล้ว
ใครจะไปคิดว่าหลังทะลวงผ่านและกลายเป็นผู้บ่มเพาะดวงดาว สถานะพลังชีวิตเขาจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า ฝ่าด่านพลัง10หน่วย
ตามคาด ความแตกต่างระหว่างผู้บ่มเพาะฝึกหัดและผู้บ่มเพาะดวงดาวเหมือนความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลก
เมื่อคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการทะลวงผ่าน มันก็เหมือนปลาที่กระโดดผ่านประตูมังกร กลายเป็นมังกรที่มีอนาคตไม่จำกัด
พลังที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหมือนการระเบิดพลังแบบในอดีต มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ประหนึ่งราวกับพลังงานซ่อนเร้นในร่างเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
ปลามีเกล็ดและสามารถแหวกว่ายในทะเลได้
นกมีปีกและสามารถบินในอากาศ
สิ่งมีชีวิตต่างๆจะมีความสามารถโดยธรรมชาติต่างกัน ความรู้สึกน่าอัศจรรย์เช่นนี้ราวกับการคิดว่าความสามารถโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ถูกลืมไปนานได้ตื่นขึ้น
แม้ความรู้สึกจะพร่ามัวมากและเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้ในขณะนี้ แต่มันก็เป็นของจริงอย่างแน่แท้ มันเหมือนกับปลาที่รู้วิธีว่ายน้ำโดยสัญชาตญาณ เมื่อความสามารถธรรมชาติของมนุษย์ตื่นขึ้น พวกเขาจะไม่มีวันลืมมันอีกครั้ง
มันเป็นตอนนี้ เฟิงหลินไม่มีทางควบคุมสัญชาตญาณเขาได้อย่างสมบูรณ์
เขาสงบสติลงและสัมผัสกับร่างเขา ทำความคุ้นเคยกับร่างกาย
สถานะพลังชีวิตเขาทะลุผ่าน10.0 มันไม่ได้เพิ่มพลังและความเร็วเขาแค่เล็กน้อย มันเป็นความรู้สึกเหมือนเขาได้รับพลังมหาศาล
เขาพบสิ่งน่าอัศจรรย์ เขาสามารถรู้สึกถึงพลังของกล้ามเนื้อทุกเส้นในตัวเขาและก็สามารถควบคุมมันได้ หมุนเวียนพลังไปทุกส่วนของร่างกาย
หากเป็นก่อนหน้านี้ เฟิงหลินจะรู้สึกว่าพลังคือไฟ เน้นการสะสมและระเบิด ปะทุขึ้นมาในฉับพลัน และปล่อยพลังทำลายล้างน่ากลัว แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเหมือนน้ำ อ่อนโยนและนุ่มนวล สามารถเปลี่ยนไปตามเจตจำนงค์เขา เมื่อเขารวบรวมพลังมากพอ มันจะเปลี่ยนเป็นมหาสมุทร สามารถทำลายทุกสิ่งอย่าง ไม่มีอะไรขัดขวางมันได้
พลังสามารถจำแนกได้เป็นทั้งแข็งและอ่อน เมื่อสองดด้านรวมกัน หนึ่งจะสามารถควบคุมได้ตามใจ บรรลุการเปลี่ยนแปลงมากมาย
จากยุคดึกดำบรรพ์แรกเริ่ม มนุษยชาติไม่ได้มีกรงเล็บแหลมและเขี้ยวหรือหนังแข็งเหมือนสัตว์ป่า พวกเขาอ่อนแอ แต่ก็ยังกลายเป็นผู้ปกครองดาว ทำไมละ?มันเพราะพวกเขามีความเชี่ยวชาญในการใช้ความแข็งแกร่งเพียงน้อยนิด ไม่ให้สูญเปล่าเลย ความฉลาดพวกเขาทำให้พวกเขาสร้างเครื่องมือ ช่วยให้พวกเขาเอาชนะสัตว์ป่าที่แข็งแกร่งกว่าแม้จะอ่อนแอกว่า ท้ายที่สุดพวกเขาก็อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่
การควบคุมพลังของคนๆนั้นคือสัญชาตญาณที่ทั้งเรียบง่ายและทรงพลังสุดในชีวิต
เขา!
เฟิงหลินยึดมั่นในจิตใจ เขาพลันหายใจออกและกางนิ้วทั้งห้า สะบัดออกไปในอากาศอย่างดุดัน
กล้ามเนื้อเล็กๆในนิ้วมือเขาสั่นหลายพันครั้ง เขาสามารถควบคุมอากาศไร้รูปร่างให้มาบรรจบกันในฝ่ามือเขาได้ ทำให้เกิดกระแสลมหมุน
เฟิงหลินกำหมัดและปล่อยหมัดออกไป
บูม!
กระแสอากาศปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง และพลังแกร่งกล้าก็ระเบิด ทำให้อากาศตรงหน้าเขาส่งเสียงดังสนั่น พลังที่เหลือของการโจมตีเขาเหมือนค้อนยักษ์ ทุบใส่กำแพงโละผสมของห้องเขาอย่างโหดเหี้ยม ทิ้งรอยหมัดเอาไว้
ซู่!
เฟิงหลินสูดหายใจลึก คล้ายกับวาฬที่พุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำและสูดอากาศ หน้าอกเขาป่องเหมือนช้างและตะโกน ปล่อยแสงสีขาวออกจากปาก โซนิคบูมเกิดขึ้น รูปรากฏบนพื้นเบื้องหน้าเขา
ร่องรอยสีขาวใสสามารถมองได้เห็นในอากาศ ต้องใช้เวลานานถึงหายไป
การปล่อยพลังผ่านอากาศ สามารถทำให้คนอื่นบาดเจ็บได้ด้วยการส่งเสียง
เฟิงหลินค่อยๆชัดเจนถึงความสามารถเขาและเริ่มฝึกเคล็ดวิชา
ปล่อยหมัดและลูกเตะ ในที่สุดหมัดหงที่ดูธรรมดาก็กลายเป็นน่าเกรงขามเมื่อถูกสำแดงโดยเฟิงหลิน หมัดและลูกเตะสร้างเป็นลมพายุที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลมพายุนี้แหลมคมเหมือนดาบ มันไม่มีรูปร่างแต่ก็สามารถทำร้ายคนได้
การโจมตีของเฟิงหลินมาถึงจุดที่แม้แต่การต่อสู้ระยะประชิดก็สามาราถสร้างพลังผ่านอากาศได้ ปล่อยคลื่นพลังใส่คนอื่นจากระยะไกล
จากหมัดหง หมัดแปดทิศ หมัดไทเก๊ก....ศิลปะการต่อสู้โบราณทั้งหมดไปจนถึงหมัดวัชระสะกดอสูร เคล็ดบ่มเพาะยีน เฟิงหลินสำแดงพวกมันออกมาทีละวิชา ลมพายุปรากฏรอบร่างเขา นี่เป็นภาพที่น่าตกใจมาก
เขาแสดงออกมากว่า20วิชาในหนึ่งลมหายใจ แต่เขาไม่เหนื่อยเลย เห็นได้ชัดว่านี่เพราะร่างกายเขา
ดังนั้น นี่ก็คือผู้บ่มเพาะดวงดาว?
เฟิงหลินจ้องมือเขาด้วยความตกใจ
หากไม่มีใครอยู่ในอาณาจักรนี้ พวกเขาคงๆม่อาจเข้าใจความรู้สึกมหัศจรรย์ของการวิวัฒนาการชีวิต มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบาย
ในจักรวาล สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกวางไว้ในห้องโซ่อาหารที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ การวิวัฒนาการชีวิตคือการช่วยให้พวกเขาปีนขึ้นไปบนห่วงโซ่อาหาร!
หลังกลายเป็นผู้บ่มเพาะดวงดาว เฟิงหลินก็ยังไม่ชัดเจนในเรื่องความแข็งแกร่งและพลังจริงเขา
แต่หลังจากการทดสอบก่อนหน้า เขาก็ชัดเจนถึงพลังเขาที่ตื่นขึ้น เขาสามารถควบคุมทุกๆส่วนของกล้ามเนื้อตามใจชอบ ช่วยวให้เขาสำแดงประสิทธิภาพสูงสุดออกมา
สำหรับความแข็งแกร่งระดับเดียวกัน พลังที่เกิดโดยผู้บ่มเพาะดวงดาวจะมากกว่าผู้บ่มเพาะฝึกหัดอย่างน้อยสามเท่า มันคือความแตกต่างของการเริ่มต้นด้วยเลขหลักเดียวกับสองหลัก
ความแตกต่างในพลังก็เหมือนความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลก แค่ตัวเลขไม่อาจนำมาชดเชยได้ ต่อให้ผู้บ่มเพาะฝึกหัดสิบคนรุมผู้บ่มเพาะดวงดาวคนเดียว พวกเขาก็จะไม่อาจทำร้ายผู้บ่มเพาะดวงดาวได้เลย
พลังชีวิตที่เพิ่มขึ้นของผู้บ่มเพาะช่วยมอบพลังและอัตราการฟื้นฟูที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป
ไม่ว่าจะมีผู้ฝึกหัดกี่คน ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ใช้อาวุธไฮเทค ผู้บ่มเพาะดวงดาวก็จะเอาชนะพวกเขาได้ง่ายๆ แม้เขาจะไม่อาจเอาชนะได้ เขาก็ยังหลบหนีได้ง่ายๆ ไม่มีทางที่จะหยุดพวกเขาได้
เฟิงหลินชัดเจนถึงพลังเขาแล้ว การควบคุมสัมบูรณ์เขาเหนือล้ำมาก มันสามารถทำให้เขาออกแรงบังคับผ่านอากาศได้แม้จะใช้เพียงการเคลื่อนไหวระยะประชิด สร้างลมพายุซึ่งเขาสามารถควบคุมให้โจมตีเป้าหมายได้
สิ่งนี้จะช่วยลดจุดอ่อนเขาที่ถนัดแค่วิชาต่อสู้ระยะประชิด
โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งมหัศจรรย์ของผู้บ่มเพาะดวงดาวไม่ได้ถูกจำกัดแค่นี้ เขาแค่ต้องฝึกฝนต่อไป
นอกจากนี้ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเพียงพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงทางความสามารถทางกายภาพเขา ตอนนี้ที่เฟิงหลินสนใจคือพลังพิเศษของผู้บ่มเพาะ
ต้นกำเนิดของพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้ก็คือยีนในตำนาน
เฟิงหลินจ้องภายในตัวเขาและเห็นการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในร่างกาย
แม่น้ำดวงดาวเชื่อมโยงกับกลุ่มดาวทองคำทั้งสามที่ยีนเขาตื่นขึ้น มันเหมือนสะพานทีท่ทอข้ามมหาสมุทรดวงดาว ก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม
สามเหลี่ยมเป็นโครงสร้างที่เสถียรสุด มันเป็นรากฐานที่มั่นคงสุดในการสร้างเส้นทางสู่ตำนาน
ยีนทั้งสามเหล่านี้รวมกันเพื่อสร้างเป็นต้นไม้สามแง่ พวกมันประกอบเป็นจุดเริ่มต้นของต้นไม้พันธุกรรม
หลังทะลวงผ่าน เฟิงหลินก็ได้เริ่มเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว
ความคิดของเฟิงหลินจดจ่อกับยีนที่พัฒนาขึ้นใหม่ ข้อมูลเกี่ยวกับมันปรากฏในหัวเขา
ยีน : ยีนลิงหิน
เกรด : ยีนแรกเริ่มขั้นผันแปร
พลัง : 1
ความสามารถ : กายหินและกระดูกเหล็ก พละกำลังมหาศาล ดาบและหอกไม่อาจแทงเข้า ทนไฟและน้ำ
มันคือยีนแรกเริ่มขั้นผันแปร!
ยีนลิงและยีนหินคือยีนพื้นฐานขั้นต่ำ แต่ยีนลิงหิน ซึ่งปรากฏเมื่อสองยีนขั้นต่ำรวมกันกลับกลายเป็นยีนขั้นผันแปร มันต่ำกว่ายีนขั้นสมบูรณ์แค่หนึ่งขั้น!
นี่คือสิ่งที่เฟิงหลินไม่คิดมาก่อน
ยีนส่วนใหญ่เป็นยีนธรรมดา แม้จะสามารถจำแนกความแข็งแกร่งได้ตามความสามารถ สถานะโดยทั่วไปก็คล้ายๆกัน
ยีนสายฟ้าและยีนพายุ ยีนแม็กม่าและยีนไฟ ยีนน้ำแข็ง....
แต่ทว่า ยีนผันแปรนั้นแตกต่าง ตัวยีนเองคือการผันแปรที่ไม่อาจทำซ้ำได้ ความสามารถมันไม่เหมือนใครและมีพลังลึกลับที่ยีนอื่นไม่มี
อะไรคือพลังที่ยีนลิงหินมี?
เฟิงหลินสับสนและไตร่ตรองถึงความสามารถของยีนลิงหิน กายหินและกระดูกเหล็ก พละกำลังมหาศาล ร่างกายคงกระพัน ทนไฟและน้ำ
กายหินและกระดูกเหล็กสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแรงของร่างกาย มันหมายความว่าการป้องกันกายภาพเขาย่อมสูง
แต่สำหรับเรื่องนี้ ยีนอื่นๆก็มีความสามารถเช่นกัน นี่คือลักษณะที่พบได้บ่อยท่ามกลางยีนประเภทเสริมสร้างร่างกาย ตัวอย่างเช่น การปลุกยีนวัชระจากหมัดวัชระสะกดอสูรก็มีความสามารถนี้
สำหรับพละกำลังมหาศาล มันแสดงว่าเขาจะมีพลังสูงล้ำ และยีนยักษ์ก็สามารถทำได้เช่นกัน
สำหรับกายคงกระพัน มันหมายความว่าผิวเขาแข็งมาก คล้ายกับบางอย่างที่สร้างจากเหล็ก เขาไม่จำเป็นต้องกลัวดาบหรือหอกแทง มันเหมือนลักษณะของยีนผิวเหล็ก ยีนผิวทองแดง..
ในกรณีนั้น คำตอบควรเป็นความสามารถสุดท้ายของยีนลิงหิน..
ทนไฟและน้ำ!
นี่หมายความว่ายังไง?
ไฟและน้ำหมายถึงอะไร?
เฟิงหลินไม่รู้สึกว่ามันอ้างอิงถึงน้ำและไฟปกติ มียีนบางอย่างที่เสริมร่างกาย และเมื่อร่างกายเสริมถึงระดับนั้น พวกเขาก็ควรต้านกระแสน้ำรวมถึงการเผาของไฟไดด้ มันไม่มีอะไรพิเศษ
มันต้องมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ มันคงไม่เรียบง่ายดั่งที่เขียนไว้
เมื่อเฟิงหลินส่งเจตจำนงค์เขาลึกไปในยีนลิงหินเพื่อวิจัยมัน ข้อมูลพันธุกรรมจำนวนมากก็ปรากฏ
ทนไฟและน้ำ : ต่อต้านการรุกรานของพลังงาน เมื่อยีนแข็งแกร่งขึ้น ความสามารถนี้จะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่ผู้ครอบครองจะไม่ถูกร้ายจากพลังงานประเภทต่างๆ เช่นการเผาของไฟ หรือการถูกแช่แข็งจากน้ำแข็ง!