บทที่ 29 ตำราทักษะวิชาที่ชำรุดเสียหาย
จากคำกล่าวของประมุขโถงวรยุทธในครั้งนี้ส่งผลให้ผู้ดูแลหยางและผู้เฒ่าเฟ่ยจ้องมองไปยังร่างของเจียงอี้ด้วยความเศร้าเสียดาย อย่างไรก็ตามพวกเขายืนยันได้ว่าเจียงอี้มีพลังลึกลับบางอย่างที่ช่วยให้เหล่าผู้ฝึกยุทธสามารถพัฒนาความสามารถได้อย่างน่าตกใจ
หลังจากที่ผู้ดูแลหยางขอความเห็นจากผู้เฒ่าเฟ่ย โถงวรยุทธก็ทำการเลื่อนระดับของเจียงอี้ให้เป็นคู่ซ้อมประลองยุทธป้ายทองในทันที
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยังประกาศออกไปว่าคู่ซ้อมประลองยุทธผู้ซึ่งครอบครองฉายา ‘หมาป่าเดียวดาย’ จะทำการลงสนามเพื่อเป็นคู่ซ้อมเพียงแค่สามครั้งต่อวันเท่านั้นและที่น่าตกตะลึงกว่านั้นก็คือราคาที่ต้องจ่ายแต่ละรอบนั้นสูงถึงหนึ่งร้อยตำลึงทอง!
เมื่อเรื่องนี้ถูกป่าวประกาศออกไป เหล่าคุณชายและคุณหนูจากตระกูลใหญ่จำนวนมากต่างก็ตกอยู่ในความโกลาหล แต่เดิมพวกเขาไม่เคยให้ความสนใจกับชายนิรนามผู้นี้ มีหลายคนไม่แม้แต่จะรู้จักเขาด้วยซ้ำ
การที่คนผู้หนึ่งถูกเลื่อนขึ้นเป็นคู่ซ้อมประลองป้ายทองไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเท่าไหร่ แต่ที่น่าประหลาดก็คือทำไมค่าธรรมเนียมที่จะประลองกับเขาถึงได้สูงเช่นนี้?
เมื่อเห็นประกาศ อี้หลิงยวีและอี้หลิงเสวี่ยต่างก็เผยความผิดหวังออกมา พวกเขามั่นใจว่าแล้วเจียงอี้คงไม่มีทางตอบรับคำเชิญของพวกเขาอีกแล้ว แม้ว่าโถงวรยุทธจะไม่ได้รับเจียงอี้เข้ามาเป็นคนของตน แต่สถานะของเขาในตระกูลเจียงจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยพวกเขาก็คิดเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามตลอดเวลาที่ผ่านมา ลูกหลานของตระกูลอี้จำนวนมากต่างก็ได้รับผลประโยชน์จากการประลองกับเจียงอี้ไม่มากก็น้อย นับว่าพวกเขาได้กำไรมหาศาลจากเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปเมื่อคำนึงถึงจำนวนตำลึงทองที่ต้องใช้หากต้องการประลองกับเจียงอี้ในอนาคต
“ปัญหากำลังมาเยือนข้าแล้ว…”
หลังทราบเรื่อง หัวใจของเจียงอี้ก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล อีกไม่นานเขาจะต้องได้รับความสนใจจากเหล่าทายาทตระกูลใหญ่ แม้ว่าค่าธรรมเนียมแต่ละครั้งจะสูงลิบลิ่ว แต่คนเหล่านั้นก็ไม่เคยขาดเงินเช่นกัน
นอกจากนี้หากประมือกันไปไม่กี่ยก ทายาทรุ่นเยาว์ที่มีสายตาเฉียบแหลมบางคนจะต้องคาดเดาได้ว่าทักษะที่เจียงอี้ใช้นั้นเป็นของตระกูลเจียง หากถูกเปิดเผยตัวตนก็มีความเป็นไปได้ที่ตระกูลหม่าจะส่งคนมากำจัดเขา
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหากข่าวนี้หลุดไปถึงตระกูลเจียง มันจะทำให้เขาประสบปัญหาครั้งใหญ่และอาจจะต้องเผชิญกับการถูกลงโทษที่รุนแรง…
เจียงอี้เข้าพบผู้ดูแลหยาง ผู้ดูแลหยางเองก็ไม่คิดที่จะปกปิดอะไรจากเขา เขาอธิบายถึงเรื่องที่เจียงอี้ครอบครองกายวิญญาณพิภพซึ่งมีส่วนช่วยให้ผู้อื่นสามารถยกระดับทักษะต่อสู้ได้ เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เจียงอี้กลับไม่ได้รู้สึกดีแม้แต่น้อย แต่เขายิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากกว่าเดิม
เจียงอี้รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีกายวิญญาณพิภพอะไรนั่นเหมือนที่ผู้ดูแลหยางบอกอย่างแน่นอน สาเหตุที่เขาบ่มเพาะพลังได้อย่างเชื่องช้าเป็นเพราะผนึกที่อยู่เหนือตันเทียน ส่วนความจริงที่ว่าเขามีสัญชาตญาณการตอบสนองที่ยอดเยี่ยมนั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะพลังจากแก่นแท้พลังสีดำ
แม้แต่เรื่องที่การประลองกับเจียงอี้ช่วยให้ผู้อื่นพัฒนาได้อย่างรวดเร็วก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นเพราะแก่นแท้พลังสีดำเช่นกัน
ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายออกไปและตัวของเจียงอี้เองก็ไม่คิดที่จะบอกความลับนี้กับผู้ดูแลหยาง ในที่สุดเขาก็คิดแผนบางอย่างขึ้นมา เขาต้องการที่จะหยุดงานเป็นเวลาห้าวันและต้องการขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลหยางเพื่อที่จะได้เรียนรู้ทักษะต่อสู้ของโถงวรยุทธ
การเรียนรู้ทักษะต่อสู้ใหม่ๆไม่ได้ช่วยให้เจียงอี้ปกปิดตัวตนได้นานมากนัก แต่เขาต้องการเพียงแค่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น ตราบใดที่มีเวลามากพอ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ได้ เมื่อถึงตอนนั้น หากว่าตระกูลเจียงยังต้องการที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ อย่างน้อยเขาก็ยังพอมีความสามารถในการปกป้องตัวเองได้บ้าง
ตามการคาดเดาเบื้องต้น หลังจากที่มีการประกาศออกไปจะต้องมีผู้คนมากมายที่ตามหาเจียงอี้เพื่อขอให้เขาเป็นคู่ซ้อมประลอง อย่างไรก็ตามด้วยความสำคัญของเขาในฐานะตัวทำเงิน ผู้ดูแลหยางย่อมต้องคำนึงถึงความต้องการของเจียงอี้ แน่นอนว่ามันต้องอยู่ในขอบเขตที่เขารับได้
หลังจากที่ได้ยินคำขอของเจียงอี้ ผู้ดูแลหยางก็หยิบป้ายบางอย่างออกมาและยื่นส่งให้กับเขา จากนั้นก็กล่าว “โดยปกติแล้วการที่จะเรียนรู้หรือฝึกฝนทักษะต่อสู้ของโถงวรยุทธนั้นจำเป็นต้องจ่ายด้วยตำลึงทอง แต่เนื่องจากว่าเจ้าเป็นคู่ซ้อมประลองยุทธระดับป้ายทอง ข้าสามารถให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าได้”
“จงไปยังหอเก็บคัมภีร์และมองหาผู้ดูแลไป๋ เจ้าสามารถเลือกทักษะต่อสู้ระดับมนุษย์ได้สามทักษะและข้าจะอนุญาตให้เจ้าลาหยุดเป็นเวลาห้าวันตามที่ขอ แต่หลังจากนั้นเจ้าต้องกลับมาทำงานทันที อย่าได้อิดออดเป็นอันขาด”
“ขอบคุณมาก ผู้ดูแลหยาง”
เจียงอี้ประสานมือและโค้งคำนับเล็กน้อยเป็นการขอบคุณก่อนที่จะออกจากห้องฝึกซ้อม หลังจากที่สอบถามเส้นทางจากทหารยาม เขาก็เดินเข้าไปด้านในของโถงวรยุทธ แม้ว่าจะอยู่ที่นี่มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในส่วนลึกขนาดนี้
โถงวรยุทธมีความเป็นมาที่ลึกลับมาก ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดเป็นคนสร้างมันขึ้นมาหรือก่อตั้งขึ้นมาเมื่อใด คนของโถงวรยุทธต่างก็ทำตัวไม่โดดเด่น ตราบเท่าที่ไม่ถูกกระตุ้น พวกเขาก็ไม่คิดที่จะสร้างปัญหาให้ผู้อื่น พวกเขาไม่แม้แต่จะเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งระหว่างหกขั้วอำนาจใหญ่
ตลอดมาโถงวรยุทธเพียงแค่ให้บริการแก่ผู้ฝึกยุทธ ภายในของโถงวรยุทธถูกติดตั้งด้วยแผงกักปราณวิญญาณที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลัง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงทักษะต่อสู้, อาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆ, เม็ดยาและอุปกรณ์ที่ช่วยในการฝึกฝนอีกจำนวนมาก ตราบใดที่มีเงินมากพอ สถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นสรวงสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธในทันที
แน่นอนว่าโถงวรยุทธยังเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาสร้างรายได้ตราบเท่าที่มีความแข็งแกร่งมากพอ พวกเขาสามารถเลือกรับภารกิจและงานทุกประเภท เช่น การล่าสัตว์อสูร, การค้นหาสมุนไพรหรือแม้แต่ภารกิจลอบสังหาร ยิ่งภารกิจยากเท่าไหร่ ค่าตอบแทนที่จะได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
โถงวรยุทธทำการฝึกฝนและผลิตผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังออกมาเป็นจำนวนมาก ความจริงแล้วหากปราศจากโถงวรยุทธ ความแข็งแกร่งโดยรวมของผู้ฝึกยุทธในทวีปแห่งนี้ก็อาจจะลดลงถึงสองในสิบส่วน ดังนั้นมีหลายครั้งที่พวกเขาถูกขนานนามว่าเป็นราชาไร้มงกุฎแห่งทวีปเทียนชิง
“ข้า หมาป่าเดียวดาย ขอคารวะผู้ดูแลไป๋! ข้าถูกส่งมาโดยผู้ดูแลหยาง…”
ไม่มีทหารยามแม้แต่คนเดียว มีเพียงชายวัยกลางคนที่กำลังอ่านตำราโบราณอยู่หน้าหอเก็บคัมภีร์ เจียงอี้หยิบแผ่นป้ายที่ได้รับจากผู้ดูแลหยางออกมาก่อนที่จะยื่นให้กับชายวัยกลางคน
ชายผู้นั้นเพียงเหลือบมองเจียงอี้และกล่าวตอบอย่างเฉยเมย “เจ้าเข้าไปได้และมีสิทธิเลือกตำราแค่สามเล่มเท่านั้น”
“ห๊ะ?”
เจียงอี้อดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ผู้ดูแลท่านนี้ไม่คิดที่จะส่งคนอื่นติดตามเขาเข้าไปหน่อยหรือ? เขาอนุญาตให้ข้าเข้าไปด้วยตัวเองจริงๆ? ต้องทราบก่อนว่าความสามารถในการจดจำของเจียงอี้นั้นดีมาก มันน่าอัศจรรย์ถึงขั้นที่ว่าขอแค่ได้มองครั้งเดียวก็จะไม่มีวันลืม
หากผู้ดูแลไป๋ผู้นี้ปล่อยให้เขาอ่านตำราได้ตามใจ เขาก็จะสามารถใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วโมงในการจดจำตำรานับสิบเล่มได้อย่างง่ายดาย
แต่ผู้ดูแลไป๋นั้นก็ก้มหน้าลงและเริ่มอ่านตำราต่อ เขาไม่ได้ให้ความสนใจเจียงอี้อีกต่อไป เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้ เจียงอี้จึงตัดสินใจผลักประตูและเดินเข้าไปด้านใน ในขณะที่ประตูเปิดออก ไข่มุกที่ถูกแขวนอยู่บนผนังก็เริ่มส่องสว่างซึ่งทำให้เขารู้สึกแสบตาไปชั่วครู่หนึ่ง ภายในไม่มีการตกแต่งอะไรมากมาย มีเพียงแค่ชั้นวางตำราขนาดใหญ่จำนวนมาก แต่ละชั้นมีตำราไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยเล่มและแต่ละเล่มก็ยังเป็นทักษะวิชา!
โถงวรยุทธช่างยิ่งใหญ่และทรงพลังยิ่งนัก!
เจียงอี้ยังคงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงและรู้สึกตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เขารีบเดินไปด้านหน้าชั้นวางตำราและสุ่มหยิบออกมาหนึ่งเล่ม
“กรงเล็บมังกรอินทรี? ทักษะระดับมนุษย์ขั้นกลาง เมื่อฝึกจนเชี่ยวชาญจะสามารถเปลี่ยนฝ่ามือให้กลายเป็นกรงเล็บอินทรีที่สามารถบดทำลายก้อนหินได้อย่างง่ายดาย… เอ๊ะ?!”
เมื่ออ่านไปได้ไม่นาน เจียงอี้ก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อตรวจพบว่าเขาไม่สามารถพลิกกระดาษเพื่ออ่านเนื้อหาหน้าต่อไปได้ เขาพยายามใช้สองมือง้างมันออกแค่ก็ยังคงไร้ผล
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้ดูแลไป๋ถึงกล้าปล่อยให้ข้าเข้ามาที่นี่คนเดียว ที่แท้เขาก็รู้อยู่แล้วว่าข้าไม่สามารถอ่านเนื้อหาสำคัญของพวกมันได้…”
เจียงอี้วางตำราทักษะกลับไปไว้ที่เดิม เห็นได้ชัดว่าตำราเหล่านี้ถูกพลังบางอย่างผนึกเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดสามารถอ่านมันได้จนกว่าจะมีการคลายผนึก ในตอนนี้เขาเริ่มวิตกแล้วว่าจะสามารถค้นหาทักษะวิชาที่เหมาะสมกับตนได้อย่างไรหากสามารถอ่านได้เพียงแค่ส่วนย่อของมัน?
ลืมมันไปเสียเถอะ! ข้าทำได้เพียงแค่ต้องลองเสี่ยงดวงดูเท่านั้น! และมันต้องเป็นทักษะระดับมนุษย์ขั้นสูงเป็นอย่างน้อย!
เนื่องจากไม่สามารถเปิดตำราทักษะวิชาได้ เจียงอี้จึงทำได้เพียงพึ่งพาโชค เขาเหลือบมองดูบนชั้นวางตำราที่อยู่ใกล้ๆจากนั้นก็ละความสนใจในทันทีเพราะพวกมันเป็นเพียงแค่ทักษะต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นต่ำหรือขั้นกลางเท่านั้น
หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวัน ในที่สุดเจียงอี้ก็สามารถเลือกตำราทักษะวิชาในระดับมนุษย์ขั้นสูงสามเล่มจากร้อยกว่าเล่มมาจนได้
ท่าก้าวเทวะ, ทักษะต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นสูง สามารถเพิ่มความเร็วให้กับผู้ใช้ถึงสามเท่าในระยะเวลาอันสั้น ข้อเสียคือเผลาผลาญแก่นแท้พลังมากเกินไป หากไม่มีแก่นแท้พลังมากพอก็จะเพิ่มความเร็วได้เพียงแค่สองเท่าเท่านั้น และยังต้องใช้พลังจำนวนมาก…
ฝ่ามือพุทธะ, ทักษะต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นสูง สามารถส่งการโจมตีในรูปแบบฝ่ามือ เหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธที่มีความสามารถในการตอบสนองอันยอดเยี่ยมและยังเผาผลาญพลังจิตจำนวนมาก…
หมัดทลายภูผา, ทักษะต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นสูง เป็นทักษะต่อสู้ในเชิงรุกโดยการเพิ่มพละกำลังให้กับผู้ฝึกยุทธตามระดับการบ่มเพาะ…
ดูเหมือนว่าทักษะวิชาทั้งสามนี้จะเหมาะสมกับเจียงอี้ในตอนนี้มากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ามือพุทธะที่เหมือนว่าจะถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ส่วนหมัดทลายภูผาดูเหมือนว่าจะมีพลังทำลายที่มากกว่า แต่เนื่องจากเจียงอี้ไม่สามารถอ่านเนื้อหาทั้งหมดของมันได้ เขาจึงยังไม่มั่นใจว่ามันจะเพิ่มพลังให้เขาได้มากแค่ไหน สำหรับท่าก้าวเทวะ มันน่ากลัวกว่ามากเมื่อเทียบกับท่าก้าวหลอนประสาทซึ่งเป็นทักษะท่าก้าวที่เขายังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน
เจียงอี้หันไปสำรวจรอบๆอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีทักษะอื่นที่จะเหมาะสมกับเขาไปมากกว่านี้แล้ว แต่ในขณะที่เขากำลังเตรียมตัวจะจากไป ในตอนนั้นเอง…
หืม? ทำไมถึงมีตำราทักษะวิชาฉบับจริงอยู่ที่นี่?
หลังจากที่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว เจียงอี้ก็เหลือบไปเห็นตำราสีเหลืองเล่มหนึ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของชั้นตำรา หากเทียบกับเล่มอื่นๆที่ยังดูใหม่กว่า เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นฉบับคัดลอก แต่เล่มนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นฉบับจริง?
เจียงอี้รีบวางทักษะวิชาทั้งสามเล่มในมือลงและเดินไปดูตำราฉบับจริงเล่มสีเหลือง แต่จากนั้นไม่นาน สีหน้าของเขาก็ปรากฏความผิดหวังอย่างรวดเร็ว
มันคือตำราทักษะวิชาฉบับจริงไม่ผิดแน่ มันมีชื่อว่าฝ่ามือระเบิดแก่นแท้พลังและยังเป็นทักษะต่อสู้ระดับพิภพ น่าเสียดายที่มันได้รับความเสียหายจนเนื้อหาบางส่วนหายไป มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมโถงวรยุทธจึงได้จัดให้มันอยู่ในระดับเดียวกับทักษะต่อสู้ระดับมนุษย์ อีกทั้งยังนำฉบับจริงมาวางแทนที่จะเป็นฉบับสำเนา
ทักษะต่อสู้ระดับพิภพ! ทักษะต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุดของตระกูลเจียงเองก็เป็นทักษะต่อสู้ระดับพิภพขั้นสูง! แต่น่าเสียดาย… มันได้รับความเสีย หากไม่เช่นนั้นล่ะก็ คงไม่มีทางที่ข้าจะได้มีโอกาสเห็นมันแน่!
เจียงอี้วางมันกลับคืนไปด้วยความเสียดาย ดูจากเนื้อหาแล้วฝ่ามือระเบิดแก่นแท้คือหนึ่งในทักษะต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวมากอย่างแน่นอน มันสามารถบีบอัดแก่นแท้พลังและปล่อยออกมาทางฝ่ามือด้วยแรงระเบิดที่มีพลังทำลายล้างเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า! น่าเสียดายนักที่มีบางหน้าขาดหายไปซึ่งทำให้มันกลายเป็นทักษะที่ยากต่อการฝึก
นอกจากนี้มันยังต้องการแก่นแท้พลังจำนวนมาก ด้วยปริมาณแก่นแท้พลังที่เจียงอี้มีอยู่ในตอนนี้ หากเขาปลดปล่อยกระบวนท่านี้ออกไปเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง เกรงว่าแก่นแท้พลังของเขาคงจะถูกเผาผลาญจนหมดเกลี้ยง หากเป็นเช่นนั้น มันก็คงไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก
เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน!
หลังจากที่ก้าวออกไปเพียงแค่สองก้าว จู่ๆเท้าของเจียงอี้ก็หยุดชะงัก เขาดันลืมบางเรื่องไปเสียได้!
ตันเทียนของเจียงอี้ไม่เพียงแค่บรรจุแก่นแท้พลังสีน้ำเงินเท่านั้น แต่เขายังมีแก่นแท้พลังสีดำอันแสนลึกลับด้วย เมื่อนำแก่นแท้พลังทั้งสองมาผสานกัน พลังของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาก แล้วถ้าหากเขาปลดปล่อยฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ด้วยพลังที่ผสานจากทั้งสองแก่นแท้ล่ะ? พลังทำลายของมันจะบรรลุถึงระดับไหน?!
พลังของแก่นแท้พลังสีน้ำเงินจะเพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่าเมื่อหลอมรวมกับแก่นแท้พลังสีดำ หากข้าใช้ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้และปลดปล่อยแก่นแท้พลังทั้งสอง ไม่ใช่ว่าพลังของมันจะเพิ่มทบไปอีกสามเท่าหรอกหรือ? พลังของมันจะเพิ่มขึ้นหกหรือเจ็ดเท่าจากระดับดั้งเดิมหรือไม่?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง… ถ้าหากระดับการบ่มเพาะพลังของข้าอยู่ในขั้นที่สี่หรือห้าของขอบเขตฉูติ่ง ไม่ใช่ว่าการปลดปล่อยฝ่ามือระเบิดแก่นแท้จะทำให้ข้าสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตฉูติ่งคนใดก็ได้หรอกหรือ? บางทีมันอาจจะถึงขั้นสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตจื่อฝู่ที่อ่อนแอบางคนได้เลยหรือไม่?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้เหล่านี้ ร่างของเจียงอี้ก็อดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ ด้วยปริมาณแก่นแท้พลังในปัจจุบัน เขาสามารถปลดปล่อยการโจมตีออกไปได้เพียงแค่หนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่อย่างน้อยมันก็อาจจะเป็นไพ่ตายที่เก็บไว้ใช้ยามคับขันได้!
เพียงแค่ลองดู!
เจียงอี้ยังคงยืนไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะฝึกฝนฝ่ามือระเบิดแก่นแท้นี้ แต่หากสุดท้ายแล้วเขาล้มเหลว เขาก็จะสูญเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย แต่ถ้าหากประสบความสำเร็จ เขาก็จะมีท่าไม้ตายอันทรงพลังที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้
แม้จะรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่เจียงอี้ก็เลือกที่จะคืนตำราทักษะวิชาของหมัดทลายภูผากลับไปยังชั้นวาง เมื่อได้ทักษะครบทั้งสามเล่มแล้วเขาก็เดินออกไปในทันที จากนั้นก็วางตำราทั้งสามเล่มไว้ที่ด้านหน้าของผู้ดูแลไป๋และกล่าวด้วยความเคารพ
“ท่านผู้ดูแลไป๋ ข้าเลือกได้แล้ว!”
ผู้ดูแลไป๋เพียงแค่ทาบฝ่ามือลงบนตำราทั้งสามเล่มและถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไป ไม่นานมันก็มีแสงสว่างวาบออกมา จากนั้นเมื่อตรวจสอบดีแล้ว เขาก็พยักหน้าและกล่าว
“สายตาเจ้าไม่เลวเลย ท่าก้าวเทวะนับว่าเป็นทักษะอันยอดเยี่ยมในหมู่ทักษะต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นสูง ส่วนฝ่ามือพุทธะก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน หืม? นี่มันฝ่ามือระเบิดแก่นแท้!”
“หมาป่าเดียวดาย เจ้าแน่ใจแล้วอย่างนั้นรึ? เจ้ามีโอกาสพิเศษแบบนี้เพียงสามครั้งเท่านั้น ครั้งต่อไป หากเจ้าต้องการที่จะฝึกฝนทักษะต่อสู้เพิ่ม เจ้าจำเป็นต้องจ่ายหนึ่งร้อยตำลึงทองต่อหนึ่งเล่ม”
“ข้าจะบอกความจริงบางอย่างกับเจ้า หากจำไม่ผิด มีผู้ฝึกยุทธไม่น้อยกว่ายี่สิบคนที่พยายามฝึกมัน แต่กลับไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่ฝึกสำเร็จ…”
“ไม่น้อยกว่ายี่สิบคน?”
เจียงอี้ตกตะลึง อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงความเย้ายวนจากพลังทำลายล้างอันบ้าคลั่งของมัน เขาก็ทำได้เพียงแค่กัดฟันและกล่าวอย่างหนักแน่น
“ข้าอยากลองดู!”