บทที่ 28 กายวิญญาณพิภพ
"ฮะ?"
การแสดงออกของเจียงอี้เปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น...ไม่ใช่แค่เรื่องที่ขอให้เขาแต่งงานกับกลุ่มตระกูลอี้เพียงอย่างเดียว แต่อี้หลงยวีพูดถึงตระกูลเจียง.....
เจียงอี้ทำใจสักครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะได้ข้อสรุปว่า ในฐานะจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ในตระกูลอี้ เขาอาจจะรู้อะไรสักอย่างหรือสองอย่างเกี่ยวกับกระบวนท่าของตระกูลเจียง มันคงง่ายสำหรับเขาที่จะบอกว่ากระบวนท่าที่เจียงอี้ใช้เป็นของตระกูลเจียง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเจียงอี้ก็ทำให้เขาผิดหวัง
“ข้าเลื่อมใสในความใจดีของนายน้อยอี้...แต่ในฐานะคนที่เกิดมาต่ำต้อยเช่นข้า ข้าคงไม่สามารถเป็นคู่ครองที่ดีให้คุณหนูหลิงเสวี่ยได้”
อี้หลงยวียิ้มเมื่อฟังคำพูดของเจียงอี้และหันกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาหันกลับมาและหัวเราะเบาๆ "เจ้าช่างแปลกนักฝ่ามือม้วนเมฆาของข้ามีความคืบหน้าหลังจากประลองกับเจ้าจริงๆ บางทีหากผ่านไปอีกสองสามรอบ ฝ่ามือข้าอาจจะผ่านไปถึงขั้นบรรลุเป็นแน่ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความลับของเจ้า แต่ในทางกลับกัน เจ้าคงจะต้องเป็นคู่ซ้อมกับลูกหลานของตระกูลอี้บ่อยขึ้น ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ออมมือในทุกการประลอง"
กระบวนท่าของเขาพัฒนาขึ้นเช่นกัน? แก่นแท้พลังสีดำเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมาก แต่...แก่นแท้พลังสีดำอยู่ภายในตัวข้า ทั้งหมดที่ข้าทำเพียงแค่ต่อสู้กับพวกเขา กระบวนท่าของพวกเขาสามารถปรับปรุงได้อย่างไรกัน ประหลาดจริงๆ...
สาเหตุของมันคืออะไรกันแน่นะ?
เจียงอี้ไม่เข้าใจมันเลย แม้แต่ผู้ดูแลหยางและผู้เฒ่าเฟ่ยที่นั่งอยู่ในห้องลับก็เช่นกัน พวกเขาทั้งสองสนใจการเป็นคู่ซ้อมของเจียงอี้มานาน สิ่งที่ผ่านสายตาของพวกเขา พวกเขายังคง งงงวยหลังจากคิดว่าเหตุใดอี้หลิงเสวี่ยจึงสามารถเลื่อนขั้นกระบวนท่าของนางไปถึงขั้นบรรลุได้มากกว่าสิบกระบวนท่า
"ผู้เฒ่าเฟ่ย ท่านเห็นสิ่งใดหรือไม่"
ผู้ดูแลหยางได้ดูการต่อสู้ระหว่างเจียงอี้และอี้หลิงเสวี่ยสองครั้ง แต่ยังคงมีความงงงวยอยู่ เขาต้องขอความช่วยเหลือจากผู้มีความช่ำชองและมีอำนาจอย่างมากภายในโถงวรยุทธ
ผู้เฒ่าเฟ่ยส่ายหัวเล็กน้อยและถอนหายใจ "ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ข้าคิดว่ามีเพียงท่านประมุขโถงวรยุทธเท่านั้นที่จะเจอเบาะแส ท่านประมุขจะกลับมาอีกครั้งในอีกสองสัปดาห์ ข้าเกรงว่าเหล่าตระกูลอี้จะขอต่อสู้กับเด็กคนนี้ เจ้าจงบันทึกทุกคู่ประลองเอาไว้และรอให้ท่านประมุขกลับมา"
"ขอรับ!"
ผู้ดูแลหยางพยักหน้าและพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งว่า "ผู้เฒ่าเฟ่ย ความเร็วในการฝึกฝนของเด็กคนนี้เร็วมาก ความเร็วในปัจจุบันของเขาไม่ด้อยไปกว่าอัจฉริยะของเมืองเลย สิ่งที่แปลกคือ หากเด็กคนนี้เป็นแบบนี้มาตลอด ทำไมพลังของเขาถึงต่ำขนาดนี้ ข้าจำได้ว่าไม่กี่เดือนก่อนเขายังอยู่ในขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่งอยู่เลย แต่ในเวลาเพียงไม่ถึงสองเดือน เขากำลังจะบรรลุไปสู่ขั้นที่สี่ขอบเขตฉูติ่งแล้ว"
"รวดเร็วมาก?"
"แล้วถ้าความเร็วในการฝึกฝนของเขาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กผู้หญิงจากตระกูลจีล่ะ อย่างน้อยโถงหลักอาจยินดีที่จะเลี้ยงดูเขาด้วยทรัพยากรระดับสูงสุด แต่เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสระดับบนจะเห็นด้วยไหม? ในทวีปนี้มีผู้ที่มีพรสวรรค์ซึ่งยอดเยี่ยมกว่าเขามากถึงห้าเท่าหรือสิบเท่า ... "
ผู้ดูแลหยางพยักหน้าและไม่เอ่ยอะไรต่อ ในฐานะผู้ปกครองที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งของทวีป โถงวรยุทธมีทรัพยากรมากมายและมีตัวเลือกนับไม่ถ้วน อัจฉริยะธรรมดาไม่ได้อยู่ในสายตาของคนพวกนั้นเลย
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เหล่าตระกูลอี้ก็มาเพื่อขอเป็นคู่ซ้อมเจียงอี้จริงๆ แต่พวกเขาถูกจำกัดให้สู้เพียงสามคนต่อวัน ส่วนใหญ่เสร็จสิ้นการประลองกับเจียงอี้ภายในหนึ่งชั่วโมง เขาลำบากมากขึ้น การเป็นคู่ซ้อมประจำวันจะใช้แก่นแท้พลังสีดำประมาณสามเส้นและเขาจะต้องใช้เวลาบ่มเพาะแทน ดังนั้นความเร็วของการบ่มเพาะพลังของเขาและการทำลายอักขระบนตราประทับนั้นจึงช้าลง
มันไม่สำคัญว่าความเร็วในการฝึกฝนของเขาจะช้าลงหรือไม่ สิ่งที่สำคัญกว่าคือการที่ตระกูลอี้ต่างพากันมาขอเป็นคู่ซ้อมกับเจียงอี้ ซึ่งมันอาจดึงดูดความสนใจของผู้อื่น หากเรื่องไปถึงหูตระกูลหม่า เขาเกรงว่าตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยได้
แต่ผู้ดูแลหยางก็ไม่มีการแสดงออกใดๆ และเจียงอี้ต้องกัดฟันของเขาในขณะที่ต้องไปเป็นคู่ซ้อมประลองต่อ โชคดีที่หม่าเฮยฉีและหลิ่วเหอไม่ได้มาหาเรื่องใดๆจึงทำให้เจียงอี้โล่งใจเล็กน้อย
สิบวันต่อมาในที่สุดการกระทำของตระกูลอี้ก็ได้รับความสนใจจากบรรดานายน้อยและคุณหนูหลายคน พวกเขาก็เริ่มขอซ้อมกับเจียงอี้ด้วย
ทุกคนที่ขอประลองกับเจียงอี้ อย่างน้อยก็อยู่ในขั้นที่สี่หรือห้าของขอบเขตฉูติ่งแล้ว หากเจียงอี้ไม่ได้ใช้แก่นแท้พลังสีดำ เขาคงถูกพวกนั้นทำร้ายอย่างแน่นอน แต่หลังจากที่เขาใช้แก่นแท้พลังสีดำ ผู้ที่ขอเป็นคู่ซ้อมของเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาค้นพบโลกใบใหม่ และเริ่มขอซ้อมกับเจียงอี้ทุกวันเหมือนกับพวกตระกูลอี้
สมาชิกของตระกูลอี้ตระหนักถึงสถานการณ์เหล่านี้และเพิ่มจำนวนฝึกจากสามเป็นหก ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจใดๆ เพราะตอนนี้มีการจองตัวเป็นคู่ซ้อมกับเจียงอี้ล่วงหน้ามากขึ้น
"ข้าจบแล้ว หากมันเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ... "
เจียงอี้รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย ทุกคืนเขาจะต้องบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำสิบเส้นและไม่มีโอกาสทำลายอักขระบนตราประทับของเขาเลย สรรพคุณยาของเม็ดยาก็ถูกใช้จนหมดไปกับตอนเป็นคู่ซ้อม
ผู้คนเริ่มต้องการขอต่อสู้กับเขามากขึ้นและแก่นแท้พลังสีดำสิบเส้นนั้นเริ่มจะไม่เพียงพอ ที่สำคัญที่สุดในบรรดาคนที่ขอเป็นคู่ซ้อมด้วยมีแม่นางจากตระกูลหม่าด้วย
เจียงอี้พยายามมองหาผู้ดูแลหยาง แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เขาเป็นเพียงผู้ดูแลที่ต่ำต้อยและไม่สามารถที่จะออกคำสั่งแก่นายน้อยหรือคุณหนูคนใดได้ แต่เขาก็ได้เพิ่มค่าตัวเจียงอี้ให้เป็นสามเท่า
ตึกตักๆๆ!
สองสัปดาห์ต่อมา ห้องซ้อมประลองยุทธก็มีแขกคนสำคัญมาเยือน เขาเป็นชายวัยกลางคน เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม ชายเสื้อสีดำ เขามีหัวสี่เหลี่ยมจัตุรัสและหูขนาดใหญ่ ใบหน้าของจ้าวปีศาจที่น่าเกรงขามถูกปล่อยออกมาแม้ว่าเขาจะไม่ได้โกรธแค้นผู้ใด ที่หูซ้ายของเขามีตุ้มหูเงินที่ดูแปลกตา
"คารวะท่านประมุข!"
ด้วยการปรากฏตัวของชายผู้นี้...ผู้ดูแลหยางและผู้คุมทั้งหมดในห้องซ้อมประลองยุทธทุกคนคุกเข่าข้างหนึ่ง คู่ซ้อมทุกคนก็คุกเข่าลงอย่างว่องไวและคำนับด้วยความพร้อมเพรียงกัน และนายน้อยสองคนโค้งคำนับอย่างสุภาพ
ประมุขโถงวรยุทธแห่งเขตเมืองเทียนอวี่หรือ?
ความคิดของเจียงอี้คิดวนไปวนมา เขารู้สึกได้ถึงชายผู้นี้ การหายใจของเขาไม่สม่ำเสมอ เขาเป็นอันดับสองแห่งเมืองเทียนอวี่ เขาเป็นนักสู้รองจากจีเทียนและยังเป็นนักสู้ที่น่าเกรงขามซึ่งอยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่ แม้แต่ผู้อาวุโสยังอยู่ใต้อำนาจของเขา
"ฮะ?"
เมื่อประมุขโถงวรยุทธก้าวเข้ามา เขาเดินไปที่ที่เจียงอี้อยู่ ดวงตาที่เหมือนเสือคู่หนึ่งกำลังมองไปที่ผู้เยาว์ จากนั้นเขาก็ถามพร้อมกับยกคิ้ว "เจ้า... ทำไมเจ้าจึงไม่คุกเข่า?"
หลังจากถูกจ้องมองโดยประมุขโถงวรยุทธ เจียงอี้รู้สึกราวกับว่าเขาถูกฟ้าผ่าไปทั่วร่างกายและวิญญาณของเขาสั่นเทา เขาเกือบหายใจไม่ออกในขณะที่ถูกปกคลุมไปด้วยความกดดันที่ออกมาจากผู้อาวุโส ขาทั้งสองของเขาสั่นเทาและเขาแทบจะอดไม่ได้ที่จะคุกเข่า
ถึงอย่างนั้นเจียงอี้ก็กัดฟันและแสดงความกล้าออกมา เขาพยายามที่จะอ้าปากและพูดว่า "ปู่ของข้าเคยบอกข้าว่า ... หัวเข่าของชายคนหนึ่งมีค่ามากกว่าทองคำและมันมีไว้สำหรับคุกเข่ากับฟ้า, ดินและบรรพบุรุษของตัวเอง!"
"ฮึ่ม!"
ประมุขโถงวรยุทธไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่ก็ส่งเสียงไม่พอใจดังสนั่น เขาดึงสายตาของเขากลับมาและเก็บความกล้าหาญแล้วเดินเข้าไปในห้องเล็กๆ ผู้ดูแลหยางรีบลุกขึ้นและเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของเขา เขามองเจียงอี้ด้วยความตำหนิติเตียนและเดินเข้าไปในห้องหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เฮ่อ…
เจียงอี้สูดหายใจเข้าลึกๆ ในขณะที่ร่างของเขาเกือบจะสลาย เขาตระหนักว่าหลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขาคร่ำครวญในใจว่าชายผู้นี้เป็นคนที่อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่ หากประมุขโถงวรยุทธต้องการฆ่าเจียงอี้ เขาอาจจะทำได้อย่างง่ายดาย
ในอดีต ผู้อาวุโสทุกคนใจดีต่อเจียงอี้และไม่เคยเปิดเผยความน่าเกรงขามต่อเขาเลย เจียงอี้ไม่คิดเลย…จนกระทั่งวันนี้เมื่อเขาได้สัมผัสถึงพลังที่แท้จริงของพลังเหล่านี้
ณ ห้องลับ, ผู้ดูแลหยางเปิดตัวกลไกการบันทึกการซ้อมประลองของเจียงอี้ จากนั้นเขาอธิบายทุกอย่างด้วยเสียงเบาๆ
หลังจากประมุขโถงวรยุทธเข้ามาในห้อง เขานั่งจ้องที่รูปบนผนังและใช้เวลาสองชั่วโมงก่อนที่จะทำท่าทางโบกมือ "พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องดูอีกต่อไป!"
ผู้ดูแลหยางรีบหมุนเวียนแก่นแท้พลังของเขาและตบกลไกบนผนังเพื่อปิดการฉายภาพออกไป เขาหันกลับมายิ้มอย่างขอโทษ"ท่านประมุข ตามความคิดผู้เฒ่าเฟ่ยและการวิเคราะห์ของข้า ทุกครั้งที่เจียงอี้ซ้อมกับจอมยุทธผู้ใดแล้ว วรยุทธของพวกเขาจะมีการพัฒนาขึ้นอย่างมากในด้านความชำนาญ เราสังเกตุมาเป็นเวลานานแต่ยังไม่พบสาเหตุเลยขอรับ ท่านประมุขสังเกตุเห็นสิ่งใดหรือไม่ขอรับ? "
"ช่างน่าเวทนานัก…"
ประมุขโถงวรยุทธส่ายหัว...เขายิ้มเยาะ "เจียงหยุนซานช่างโง่เขลานัก เขาเลี้ยงเด็กผู้มีกายวิญญาณพิภพอย่างอดๆอยากๆ หากพวกเขาเลี้ยงดูเด็กชายคนนี้เมื่อห้าหรือแปดปีที่ผ่านมา บัดนี้ตระกูลเจียงคงจะมีจอมยุทธระดับขอบเขตจื่อฝู่เพิ่มอีกคนหนึ่ง หรืออาจจะเป็นจอมยุทธที่อยู่ระดับขอบเขตเสินโหยวคนแรกของเมืองเทียนอวี่เลยด้วยซ้ำ เมื่อตาเฒ่าเจียงหยุนไฮ่หายไป ดูเหมือนว่าตระกูลเจียงจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของเจียงหยุนซาน..ที่แสนโง่เขลานี่"
"เจียงหยุนซาน? กายวิญญาณพิภพ?"
ผู้ดูแลหยางรู้อยู่แล้วว่าเจียงอี้เป็นสมาชิกของตระกูลเจียง ทั้งหมัดมายา, ท่าก้าวหลอนประสาท...นั่นเป็นกระบวนท่าที่เห็นได้ชัดแม้กระทั่งอี้หลงยวีก็ยังรู้ว่าเจียงอี้มาจากตระกูลเจียง
สิ่งที่เขาประหลาดใจคือส่วนหลัง...มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับกายวิญญาณพิภพ เขาถามด้วยความไม่แน่ใจว่า "ท่านประมุข มันเป็นอย่างไรขอรับ... กายวิญญาณพิภพนี่? ข้าเคยได้ยินแต่กายวิญญาณอัคคีและกายวิญญาณวารี"
กายวิญญาณที่เกิดตามธรรมชาติในโลกนี้ล้วนมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่นกายวิญญาณอัคคีที่ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธสายอัคคีธาตุฝึกฝนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ผู้ที่มีกายวิญญาณวารี, กายวิญญาณพฤกษาหรือกายวิญญาณโลหะเองก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ต่างก็เป็นเพียงแค่กายวิญญาณทั่วไปเท่านั้น หากแต่ยังมีกายวิญญาณอันหายากที่คนทั่วไปไม่รู้จักรวมอยู่ด้วย นั่นก็คือกายวิญญาณพิภพ, กายวิญญาณสวรรค์ และ กายวิญญาณเทพ
"กายวิญญาณทั้งสามประเภทนี้สอดคล้องกับสวรรค์และโลกซึ่งเป็นเต๋าแห่งธรรมชาติ ผู้ที่ครอบครองกายเหล่านี้คือผู้ที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะท้าทายได้แม้แต่สวรรค์!
เกือบจะไม่มีคอขวดเมื่อพวกเขาบรรลุผ่านขั้นต่างๆของการบ่มเพาะพลัง พวกเขาสามารถเข้าใจกระบวนท่าได้เร็วขึ้นและ ... เมื่อพวกเขาใช้กระบวนท่าของพวกเขา พวกเขาจะนำทางไปสู่ของรูปแบบเต๋าสวรรค์
"เมื่ออยู่ในการต่อสู้กับผู้อื่น มันจะช่วยให้ศัตรูเข้าใจทักษะการต่อสู้ได้เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน เจ้าควรรู้แล้วว่าวรยุทธทั้งหมดในโลกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอ้างถึงรูปแบบเต๋าสวรรค์ เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องได้ดื่มด่ำกับรูปแบบเต๋าสวรรค์ จะยังคงมีความเข้าใจในการฝึกฝนวรยุทธที่ก้าวช้าอยู่หรือ? "
"รูปแบบเต๋าสวรรค์! นี่มัน... "
ร่างกายของผู้ดูแลหยางสั่นด้วยความตกใจ ความเข้าใจในรุปแบบเต๋าสวรรค์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรลุได้เช่นการบรรลุขั้นแรกของขอบเขตจื่อฝู่ดั่งจอมยุทธเช่นเขา แม้แต่จอมยุทธผู้ที่บรรลุไปถึงขอบเขตเสินโหยวก็ยังต้องการมัน ใครจะคิดว่าผู้ที่ถูกทิ้งอยู่ในตระกูลเจียงจะสามารถนำเอารูปแบบเต๋าสวรรค์ออกมาเมื่อเขาใช้วิทยายุทธของเขา?
"ฮึ่ม จะทำเป็นเอะอะอะไร ไม่ต้องพูดถึงกายวิญญาณพิภพหรอก! โถงวรยุทธของเรามีคนมากมายที่มีกายวิญญาณสวรรค์ แล้วอย่างไรล่ะ...กายวิญญาณของเด็กคนนี้อาจจะหมดอำนาจและเขาเป็นเพียงขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่ง ความสำเร็จของเขาในชีวิตนี้ก็จะถูกจำกัดไว้เท่านี้"
ประมุขโถงวรยุทธกล่าวอย่างรวดเร็วไปที่ผู้ดูแลหยางและพูดเบาๆว่า "ข้าลืมบอกสิ่งหนึ่ง เมื่อกายวิญญาณทั้งสามชนิดนี้ก้าวหน้าไปในขั้นตอนการบ่มเพาะ พวกเขาจะต้องใช้พลังจากกายวิญญาณมากขึ้น ดังนั้นแม้ว่าเด็กคนนี้จะถูกฟูมฟัก ที่โถงวรยุทธ ความแข็งแกร่งสูงสุดของเขาน่าจะเป็นแค่ขอบเขตจื่อฝู่! ซึ่งไม่สามารถบรรลุไปถึงขอบเขตเสินโหยวได้เลย จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ว่าเขาจะสามารถหรือไม่สามารถเข้าใจรูปแบบเต๋าสวรรค์ก็ตาม... "