บทที่ 26 ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้น
เจียงอี้ปฏิเสธข้อเสนอของอี้หลิงเสวี่ยอย่างมีชั้นเชิง ไม่เพียงเพราะข้อตกลงห้าปีที่เขาทำกับโถงวรยุทธ แต่มันเป็นเพราะเขาเป็นทายาทของตระกูลเจียงด้วย มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าร่วมกับตระกูลอี้และเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานและใช้ชื่อตระกูลอี้เช่นกัน
อี้หลิงเสวี่ยไม่ได้ผลักดันอะไรมากไปกว่านั้น เพียงแค่ให้เวลาเจียงอี้คิดมากกว่านี้ หลังจากวันนั้นนางก็ยังไปหาเจียงอี้เพื่อฝึกฝน แต่นางก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เวลาส่วนใหญ่ เจียงอี้อยู่ในการบำเพ็ญเพื่อบ่มเพาะพลังของเขา เขานอนแค่สี่ถึงหกชั่วโมงทุกวัน เมื่อใดก็ตามที่เขานึกถึงเจียงเสี่ยวนู๋ที่ต้องอยู่ลำพัง...เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่านางจะไม่เป็นไร
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเครียดและกังวล เขาหวังอย่างแรงกล้าว่าเขาจะสามารถเข้าสู่ขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่งได้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เพื่อที่เขาจะได้กลับบ้านไปหาเสี่ยวนู๋ได้
ตามที่เจียงอี้คาด พ่อบ้านหลิวแห่งหอนางโลมเฟิงเยว่ได้รับข้อมูลของเขาและเจียงเสี่ยวนู๋ในไม่ช้า และคาดไว้ว่าพ่อของหม่าเฟยคงโมโหจนเลือดขึ้นหน้าและสั่งให้พ่อบ้านหลิวส่งคนของเขาไปตามหาเจียงอี้และมานำตัวเขาไป
อย่างไรก็ตาม การหายตัวไปอย่างกะทันหันของเจียงอี้ทำให้พ่อบ้านหลิวเข้าตาจนอย่างสมบูรณ์ พ่อบ้านหลิวที่พยายามติดสินบนคนรับใช้ของตระกูลเจียงในความพยายามที่จะหาว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้รับมีเพียง เจียงอี้จะหายไปเป็นเวลาสามเดือน
แต่เขาไม่ลดละความพยายาม พ่อบ้านหลิวสั่งทหารของหอนางโลมเฟิงเยว่เพื่อค้นหาเขาทั่วทั้งเมือง ผ่านไปเป็นเวลาสิบวันเต็ม แต่ก็ไม่มีวี่แววของเจียงอี้เลย มันเกือบจะเหมือนกับว่าเขาหายตัวไปในอากาศ
ยิ่งเพิ่มโทสะของหม่าเฟย เขาสั่งให้พ่อบ้านหลิวค้นหาเจียงอี้ให้พบ โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย แม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องพลิกเมืองเทียนอวี่ทั้งเมืองเพื่อหาเขาเลยก็ตาม รัศมีการค้นหาก็ถูกขยายออกไปยังเมืองโดยรอบที่อยู่ห่างออกไปห้าสิบกิโลเมตร
เจียงอี้ทำให้เขาไร้ประโยชน์และทำลายชีวิตของเขา เขาไม่สามารถกินอาหารหรือนอนหลับได้เลย หม่าเฟยถูกครอบงำด้วยความคิดที่จะฆ่าเจียงอี้เท่านั้น
การเป็นหนึ่งในห้าตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองเทียนอวี่ ทุกการกระทำของตระกูลหม่านั้นอยู่ภายใต้การพิจารณาของตระกูลอื่นๆด้วย อย่างไรก็ตามในขณะที่หม่าเฟยไม่ประสงค์ที่จะเปิดเผยเหตุการณ์ดังกล่าวต่อสาธารณชนคนอื่นๆ
ทุกตระกูลรู้เพียงว่าตระกูลหม่ากำลังมองหาใครสักคนที่เป็นผู้เยาว์อายุประมาณสิบห้าหรือ สิบหกปี ซึ่งอยู่ในขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่ง
โชคดีที่สำนักจิตอสูรกำลังจะเปิดทำการรับสมัครลูกศิษย์ในไม่ช้า นอกจากนี้ยังใกล้เคียงกับการเกณฑ์ทหารของกองทัพทหารตะวันตก ด้วยเหตุการณ์สองเหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้พฤติกรรมที่ผิดปกติของตระกูลหม่าไม่ได้เป็นที่สนใจของตระกูลอื่น
เพราะพวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวลูกหลานของพวกเขาด้วยความหวังว่าจะได้เข้าสำนักจิตอสูรในฐานะลูกศิษย์หรือได้รับความโปรดปรานจากผู้บัญชาการกองทัพทหารตะวันตกและอย่างน้อยก็สามารถเข้าไปเป็นศิษย์ได้
จากข่าวที่ว่า ทั้งกองทัพทหารตะวันตกและสำนักจิตอสูรจะมาเยี่ยมเมืองเทียนอวี่เพื่อรับสมัครผู้มาใหม่ในอีกสามเดือน ทั่วทั้งตระกูลเจียงก็มีชีวิตชีวาด้วยความกระตือรือร้น หัวหน้าตระกูลเจียง, เจียงหยุนซานได้ออกคำสั่งเป็นการส่วนตัว เพื่อให้ลูกหลานทุกคนไปบำเพ็ญเพียร เพื่อที่จะได้เหมาะสมกับการคัดเลือกครั้งใหญ่ที่สุดในสามเดือนที่จะถึงนี้
ในขณะเดียวกันเจียงหยุนซานก็ได้สั่งให้คนของเขากว้านซื้อสมบัติและสิ่งของที่หายากมาให้ได้มากที่สุด เพื่อเตรียมการติดสินบนเจ้าหน้าที่กองทัพทหารตะวันตกเมื่อพวกเขามาถึงเมืองเทียนอวี่ เขาหวังว่าการติดสินบน ลูกหลานของตระกูลเจียงจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในกองทัพมากขึ้น
มันเป็นเรื่องยากที่กองทัพทหารตะวันตกจะมารับสมัครทหารที่เมืองเทียนอวี่ โดยปกติแล้วเจียงหยุนซานตั้งใจจะคว้าโอกาสให้กับตระกูลเจียง เขาหวังว่าเขาจะสามารถมีเส้นสายเพียงพอสำหรับทายาทตระกูลเจียงหลายสิบคนเพื่อลงทะเบียนกองทัพทหารตะวันตกแม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำให้กองทัพเก่งขึ้นได้
เจียงอี้โชคดีที่เขาออกมาจากตระกูลเจียงเร็ว ไม่งั้นเขาจะถูกกักบริเวณภายในตำหนักเป็นเวลาหลายเดือนจนกว่าจะสิ้นสุด ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถรายงานกลับไปที่โถงวรยุทธ แต่เขาจะไม่ได้ฝึกฝนและบรรลุขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่งเมื่อสองวันก่อนด้วย
ในแง่เดียวกัน เจียงอี้ก็โชคร้ายเช่นกัน เขาเพิ่งได้รับคำสั่งจากคุณหนูและนายน้อยสองคนที่มากับนาง
จีทิงยวี่ได้ออกจากการบำเพ็ญอีกครั้ง และสิ่งแรกที่นางทำคือเดินตรงไปที่ห้องฝึกซ้อมโดยสั่งให้เจียงอี้มาจับคู่ซ้อมอย่างเจาะจง
ตระกูลหม่า นายน้อยหม่าเฮยฉี, ตระกูลหลิ่ว นายน้อยหลิ่วเหอ, ตระกลูเหลิ่ง นายน้อยเหลิ่งเชียนจวิน,และตระกูลเจียง เจียงเฮิ่นซุ่ย... นายน้อยทั้งสี่จากสี่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่คอยตามเกี้ยวจีทิงยวี่มาเป็นเวลาหลายปี
แต่ทว่านางไม่มีความสนใจในสิ่งเหล่านั้นเลย แถมนางยังคงเรียกคู่ซ้อมนี้ครั้งที่สองเพื่อหนีพวกเขาอีกหรือ? ที่สำคัญไปกว่านั้น ... เขาเป็นเพียงจอมยุทธระดับป้ายทองแดง มันแปลกจริงๆ เขาครุ่นคิดอยู่นาน
“หมาป่าเดียวดาย ทำไมเจ้าไม่เข้ามาข้างใน?”
จีทิงยวี่เข้าไปในห้องซ้อมประลอง เมื่อนางเห็นว่าเจียงอี้ไม่ตามมา นางก็หันมาและถามด้วยน้ำเสียงที่สงบ ด้วยการเหลือบมองที่หม่าเฮยฉีและหลิ่วเหอ คิ้วของนางสวยราวกับภาพวาด กำลังขมวดเล็กน้อย
"ทิงยวี่ ข้าจะปล่อยเจ้าไปทำธุระของเจ้า แล้วตามหาเจ้าทีหลัง" หม่าเฮยฉีเป็นบุรุษรูปงาม รูปลักษณ์ของเขาอยู่ในระดับเดียวกับเจียงเฮิ่นซุ่ย แม้ว่าจะมีโทนสีผิวเข้มกว่าก็ตาม ในชุดผ้าไหมที่มีการแต่งแต้มด้วยสีดำเขาดูเหมาะสมเหมือนคุณชายผิวน้ำผึ้งที่มีเสน่ห์ และรู้สึกถึงความไม่พอใจของจีทิงยวี่ เขาจึงเลือกที่จะหันหลังกลับไปอย่างฉลาด
หลิ่วเหอเขาด้อยกว่าหม่าเฮยฉีเล็กน้อยในแง่ของรูปลักษณ์ อย่างไรก็ตาม ด้วยไหล่ที่กว้างและเอวที่เพรียวบาง รูปร่างของหลิ่วเหอนั้นเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ
เขาก็ไม่โง่เขลาเช่นกันและกล่าวคำอำลาด้วยรอยยิ้มเบาๆ "แม่นางทิงยวี่ แล้วพบกันพรุ่งนี้!"
เจียงอี้มุ่งหน้าไปที่ห้องซ้อมประลอง เขารู้สึกก่อกวนใจเมื่อเหลือบมองหม่าเฮยฉีและหลิ่วเหอก่อนที่พวกเขาจะจากไป
"ปัง!"
เมื่อประตูปิดลง จีทิงยวี่เห็นความโกรธเคืองในดวงตาของเจียงอี้ นางยิ้มเบาๆ "นายน้อยอี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลทิงยวี่จะไม่ยอมให้นายน้อยหม่าและนายน้อยหลิ่วทำให้ท่านต้องลำบาก"
เจียงอี้ยิ้มอย่างขมขื่น "คุณหนูจี ข้าไม่ชอบให้สิ่งใดมารบกวนข้า ข้าชอบที่จะมีชีวิตที่สงบสุขมากกว่า... "
คำพูดของเจียงอี้นั้นคลุมเครือ แต่สำหรับคนที่ฉลาดอย่างจีทิงยวี่ ความหมายที่คลุมเครือนั้นชัดเจน: เขาไม่ชอบคบค้าสมาคมกับนายน้อยและคุณหนูเช่นนางและตราบใดที่จีทิงยวี่มีปฏิสัมพันธ์กับเขา ปัญหาต่างๆก็จะตามมา
"นายน้อยอี้ มีเพียงคนสามัญเท่านั้นที่ไม่ดึงดูดความอิจฉาเช่นผู้อื่น มีสิ่งมหัศจรรย์มากมายในโลกนี้ที่ควรค่าแก่การมองหาในสิ่งที่ทุกคนต้องการ แน่นอนว่ามันสร้างการแข่งขันและปัญหาที่ไม่หยุดหย่อน
แต่ลองจินตนาการว่าชีวิตที่ไม่สมบูรณ์นั้นจะไร้สาเหตุได้อย่างไร ชั่วชีวิตนั้นยาวนานนัก แต่เพียงไม่กี่ทศวรรษก็หายลับไป ความงามและความเป็นผู้เยาว์จะหมดไปในทันที! เจ้าชอบเวลาในช่วงทศวรรษที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและมีชื่อเสียงหรือไม่?"
“อืม....”
เจียงอี้นั่งลงกับพื้น เขาไม่ได้คาดหวังว่าคุณหนูที่สง่างามคนนี้ซึ่งอายุน้อยเท่าเขาจะมีความคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิต เขาเกิดความงุนงงและนิ่งงัน
จะมีผู้ใดที่สามารถหนีจากอำนาจ ความมั่งคั่ง และผู้หญิงที่สวยงามอย่างแท้จริงได้หรือไม่ ใครจะหลีกเลี่ยงจากการเคารพและความกลัวของคนนับพัน ใครจะไม่ชอบชีวิตที่ยิ่งใหญ่และมีสง่าราศี?
ในท้ายที่สุดก็ยังมีไฟแห่งความหลงใหลที่ฝังลึกอยู่ภายในตัวเขา เมื่อปะทุขึ้น ไฟนี้อาจทำให้เกิดไฟลุกไหม้จนราบได้ เท่าที่เห็นก็เป็นตอนที่เขาเอาชนะเจียงหยูหู่ที่เขาซีชานและเมื่อไม่นานมานี้เมื่อเขาทำลายตันเทียนของหม่าเฟยไป
อย่างไรก็ตามเมื่อเขานึกถึงเจียงเสี่ยวนู๋และร่างที่ผอมบางของนาง เขาก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว"คุณหนูจี ท่านจะไม่มีวันเข้าใจชีวิตของผู้คนอย่างเรา เพราะท่านเป็นผู้เยาว์ที่อยู่เหนือพวกเราที่เป็นคนสามัญธรรมดา อืมมม....อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้กันเลยขอรับ ท่านมาหาข้าด้วยเหตุผลอันใดหรือขอรับ?"
ความผิดหวังเกิดขึ้นในดวงตาของจีทิงยวี่ นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดเบาๆ "ข้าออกมาจากการบำเพ็ญและได้ยินว่าเจ้ายังคงเป็นคู่ซ้อมที่นี่ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจที่จะแวะมาเยี่ยมเจ้าเพื่อพูดคุยกับเจ้า นายน้อยอี้, เม็ดยาที่เจ้านำมาครั้งที่แล้วนั้นน่าทึ่งมาก นักปรุงยาที่กลั่นกรองเม็ดยาพวกนั้นจะมีพลังมากในเวลาต่อมา
"ข้าแค่อยากให้เจ้าติดตามนักปรุงยานั่นแทนที่จะเสียเวลาของเจ้าที่นี่ ความเร็วในการบ่มเพาะนั้นจะเร็วกว่าในโถงวรยุทธ แต่เจ้าผ่านช่วงอายุที่เหมาะสำหรับการบ่มเพาะไปแล้ว และแน่นอน ข้าอยากจะแนะนำตัวเองกับนักปรุงยาผ่านเจ้าและสร้างความสัมพันธ์กับเขา หากเจ้าสามารถช่วยข้าได้ ข้าอาจจะพูดตรงไปตรงมาเกินไป หวังว่านายน้อยอี้จะไม่รังเกียจ"
เป็นเช่นนี้นี่เอง!
เจียงอี้ก้มศีรษะของเขาลงโดยไม่พูดอะไรแม้ว่าเขาจะหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ข้างใน โลกโหดร้ายจริงๆ หากไม่ใช่เพราะแก่นแท้พลังสีดำและเม็ดยาที่เขาทำหรือความจริงที่ว่าเขาสามารถช่วยให้กระบวนท่าวรยุทธของคนอื่นประสบความสำเร็จได้อย่างน่าประหลาดใจ จีทิงยวี่และอี้หลิงเสวี่ยจะแลเขาอย่างรวดเร็วเช่นนี้หรือไม่? พวกนางอาจลดเกียรติลงมาเป็นเพื่อนกับเขาเพราะเขามีประโยชน์กับพวกนาง และเขาสันนิษฐานอย่างไร้เดียงสาไปเองว่าพวกนางปฏิบัติกับเขาอย่างจริงใจเหมือนเพื่อน
ท่านแม่ ท่านปู่และเสี่ยวนู๋ ในโลกนี้มีเพียงแค่พวกเขาใช่หรือไม่ที่จะแสดงความจริงใจต่อข้าจริงๆ
เจียงอี้ถอนหายใจยาวแล้วเงยหน้าขึ้นมองจีทิงยวี่ "คุณหนูอี้ขอรับ, ข้าเกรงว่าข้าจะต้องทำให้ท่านผิดหวัง ท่านคงไม่สามารถเห็นเม็ดยาเหล่านั้นได้อีก ไม่อย่างนั้นข้าคงจะไม่ต้องมาที่นี่เพื่อทำงานเป็นคู่ซ้อม ท่านเข้าใจไหม นักปรุงยาท่านนั้น...เขาเสียชีวิตแล้ว."
"อะไรนะ?"
ใบหน้าที่สวยงามของจีทิงยวี่ซีดไปในทันที นางจับจ้องไปที่เจียงอี้และถามว่า "นายน้อย นี่เป็นความจริงหรือ?"
"มันเป็นความจริงอย่างแน่นอน!"
เจียงอี้พยักหน้าอย่างจริงจัง เขาไม่ได้โกหก..เม็ดยานั้นถูกกลั่นโดยการละลายเม็ดยาที่ไร้ประโยชน์จากผู้เฒ่าหลิ่ว ในขณะที่เจียงอี้เองก็ยังไม่รู้วิธีการแปรสภาพเม็ดยานั่นอย่างแน่ชัด
"ช่างน่าเสียดายจริงๆ เขาน่าจะเป็น ... "น้ำเสียงจีทิ่งยวี่เต็มไปด้วยความผิดหวัง นางส่ายหัวของนาง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เจียงอี้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะนางออกไปข้างนอกโดยไม่พูดจาอะไร นางเปิดประตูและออกไปทันทีโดยไม่หันหลับมา หลังจากนั้นเจียงอี้ก็ออกไปพร้อมความเงียบงันและกลับไปที่ห้องของเขาเพื่อฝึกฝนต่อ
วิธีที่หม่าเฮยฉีและหลิ่วเหอมองเขาในวันนี้เหมือนเป็นระฆังปลุกความรู้สึกภายในใจของเขา เขามีชีวิตที่ย่ำแย่มามากพอแล้ว การที่เขาสามารถพ่ายแพ้ต่อความตายได้ทุกเวลา มันชัดเจนสำหรับเขาว่าเพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่ไม่มีใครกล้ามารบกวน มีเพียงวิธีเดียวคือการแข็งแกร่ง แข็งแกร่งให้มากกว่าที่ทุกคนจะเป็นได้!!
บางทีอาจเป็นเพราะการดูถูกเหยียดหยามของจีทิงยวี่ในวันนี้ที่ปลุกเขา เขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองกับผู้หญิงคนนี้ ผู้ที่มีความงามที่อาจทำให้เมืองล่มสลายได้
ว่าเขา…ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์.