GE338 ขอบเขตหลีกหนีความจริง [ฟรี]
เมื่อเห็นผู้เยาว์ที่ทั่วร่างอาบโชกไปด้วยโลหิต แม้แววตาของผู้เยาว์คนนั้นจะไม่กริ่งเกรงศัตรูเบื้องหน้า แต่ก็ทำให้เป่ยเหยาปวดใจเป็นอย่างมาก
นางไม่รู้ว่าหนิงฝานต้องประสบกับสถานการณ์ที่ร้ายแรงขนาดไหน ถึงได้บาดเจ็บหนักขนาดนี้
นางไม่ได้อยากให้หนิงฝานต้องเป็นแบบนี้ ไม่อยากให้เขาต้องประสบกับชะตากรรมเช่นนี้
ภาพหนิงฝานเบื้องหน้าทำให้นางไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึก
“เขาจะตายหรือเปล่า...”
“แต่ถ้าเกิดเขาตาย...”
นางสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ความกลัว ความห่วงใย ทั้งหมดทำให้นางไม่กล้ามองหนิงฝาน
นางไม่กล้าแม้กระทั่งสัมผัสกายเขา เพราะสภาพร่างของหนิงฝานตอนนี้ แทบไม่เหลือผิวหนังให้นางได้สัมผัส
นางขบริมฝีปากแน่นจนเลือดไหล แววตาเผยถึงความเศร้าโศกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หยาดน้ำตาไหลรินไม่อาจควบคุม
“ทำไมเจ้าทำแบบนี้… ทำไมเจ้าต้องทุ่มเทขนาดนี้เพื่อปกป้องข้า...”
อาการบาดเจ็บของหนิงฝานหนักมากจนเขาแทบจะกระดิกนิ้วไม่ได้ ไม่อาจยกมือขึ้นมาเช็ดโลหิตที่อาบหน้าได้
“เป่ยเหยาน้อย… เจ้าออกมาช้ามากเลยนะ ถ้าเกิดข้าตาย คงปกป้องเจ้าไม่ได้อีก!”
“ฮึ่ม! ใครจะยอมให้เจ้าเป็นแบบนั้น!”
แม้แววตาจะเศร้าหมอง หยาดน้ำตาไหลริน แต่นางยังยิ้มกับคำกล่าวของหนิงฝาน
เด็กนี่ช่างน่าโมโห… บาดเจ็บขนาดนี้ ยังจะล้อนางได้อีก
เพียงแต่ยามนี้ นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายปราณที่คุ้นเคยจากตัวหนิงฝาน แต่นางส่ายหน้า ยามนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้
แค่หนิงฝานไม่ตาย นางก็สบายใจแล้ว...
เมื่อนางสงบใจได้ นางหันมองอสูรมิติด้วยแววตาเย็นชา
“ขอบคุณ… เจ้าปกป้องข้ามาตลอด ถึงคราวที่ข้าต้องปกป้องเจ้าบ้างแล้ว!”
แววตาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง นางไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน
แม้จะถูกอสูรมิติตามล่า แม้ว่าพวกมันจะด่าทอนางขนาดไหน นางไม่สนใจ
แต่เมื่อเห็นหนิงฝานบาดเจ็บปางตาย นางกลัวโกรธแค้นจนไม่อาจทนได้
“เจ้าไม่ควรทำให้ข้าโกรธ… เมื่อครู่เป็นเจ้าใช่มั้ยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้?”
เป่ยเหยาก้าวเท้าไปเบื้องหน้าอย่างแผ่วเบา แต่เงาร่างของนางกลับหายไป ปรากฏกายเบื้องหน้าอสูรมิติทั้ง 3 แรงกดดันที่รุนแรง ทำให้พวกมันทั้งหมดกระอักโลหิตอย่างรุนแรง
“บัดซบ! นางฟื้นพลังแล้ว หนีเร็ว! พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้นาง!”
บุรุษที่มาทั้งสองเร่งเปิดประตูมิติเพื่อจะหนี อสูรมิติที่ต่อสู้กับหนิงฝานสั่นสะท้าน เป่ยเหยาที่ฟื้นฟูพลังเต็มเปี่ยม ไม่ใช่ผู้ที่มันจะสู้ด้วยได้
เพียงแต่ก่อนที่พวกมันจะหนี เป่ยเหยายกเท้ากระทืบ พลังมิติที่รุนแรงเข้าทำลายประตูมิติทั้งสองจนพังทะลาย
พวกมันทั้งสามกระอักโลหิต อสูรมิติที่บาดเจ็บหนักอยู่แล้วไม่อาจทนพลังเป่ยเหยา จนร่างของมันระเบิดเหลือไว้เพียงดวงจิต!
มันหวาดกลัวนางอย่างที่สุด ดวงจิตที่ร่างมนุษย์ของมันเร่งคุกเข่าก้มหัวเพื่ออ้อนวอนขอชีวิต
“ท่านเป่ยเหยาไว้ชีวิตข้าด้วย ยกโทษให้ด้วยที่พวกข้าทำร้ายท่าน!”
บุรุษอีกสองคนที่เหลือมองหน้ากัน พวกมันพร้อมใจกระตุ้นยันต์ประจำตัว
“ปลดผนึกยันต์!”
พวกมันทั้งสองเตรียมใจที่จะสู้ตายกับเป่ยเหยา
เมื่อยันต์ถูกกระตุ้นปลดผนึก พลังงานที่รุนแรงก็แผ่ไปทั่ววังสวรรค์
เป่ยเหยาขยับมือเป็นท่าทาง ปราณที่ทรงพลังแผ่ออกจากร่าง เข้าหักล้างพลังจากยันต์ของบุรุษทั้งสองจนหายไป ทำให้พวกมันกระอักโลหิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส
แม้พวกมันทั้งสองจะเป็นเซียน แต่กลับไม่อาจรับมือเป่ยเหยาได้แม้แต่น้อย
เหล่าคนจากแดนสวรรค์เฝ้ามองการต่อสู้ผ่านสมบัติ ล้วนตกตะลึงกับฉากที่เห็น
“นางเป็นใครกัน… นางทรงพลังมาก กระทืบเท้าแค่สองครั้ง สามคนนั้นก็หมดฤทธิ์!”
“ระดับพลังของนางสูงส่งมาก ต่อให้พวกข้าทำยังไงก็ไม่อาจสัมผัสได้”
“ทำให้อสูรมิติคุกเข่าขอชีวิตได้… ระดับพลังของนางสมควรเหนือกว่าขอบเขตเซียน!”
“แต่ข้าเห็นนางออกมาจากกระเป๋าของลู่เป่ย… หรือว่านางจะเป็นผู้อาวุโสของลู่เป่ย?”
เมื่อกล่าวถึงขอบเขตพลัง ขอบเขตในช่วงแรกมีด้วยกัน 7 ระดับ เริ่มตั้งแต่ขอบเขตเปิดเส้นชีพจรไปจนถึงขอบเขตไร้แบ่งแยก เมื่อบรรลุถึงขอบเขตไร้แบ่งแยก ผู้เชี่ยวชาญทุกคนจะสัมผัสได้ถึงพลังมิติ เมื่อบรรลุพลังมิติแล้ว ก็สามารถทะลวงไปยังขอบเขตเซียนที่อยู่ในช่วงระดับพลังถัดไป
ในขอบเขตเซียนจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง… ช่วงที่ 1 คือ ‘ขอบเขตเซียนแห่งชีวิต’ ขอบเขตนี้มีด้วยกันสองขอบเขตย่อย หนึ่งคือ ‘เซียนมนุษย์’ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในชีวิต... อีกหนึ่งคือ ‘เซียนภูติ’ เป็นผู้ที่เข้าใจในความตาย… เมื่อบรรลุระดับพลังสูงสุดของขอบเขตเซียนภูติ คนผู้นั้นจะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ แต่ต้องแลกกับการที่ต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์
ขอบเขตที่เหนือยิ่งกว่าเซียนแห่งชีวิต คือ ‘เซียนแห่งความจริง’ เป็นขอบเขตที่ต้องเข้าถึงสัจธรรมของสรรพสิ่ง ขอบเขตนี้แบ่งออกเป็น 3 ขอบเขตย่อย เริ่มจาก ‘ขอบเขตก้าวผ่านความจริง’ จากนั้นคือ ‘ขอบเขตหลีกหนีความจริง’ แต่ขอบเขตสุดท้าย… ยังคงเป็นปริศนา
อสูรมิติทั้งสามที่มา อยู่ในขอบเขตก้าวผ่านความจริง แต่เป่ยเหยาอยู่ในขอบเขตหลีกหนีความจริง! แม้จะห่างกันเพียงหนึ่งขอบเขตย่อย แต่พลังของทั้งสองขอบเขตกลับแตกต่างกันราวกับนรกกับสวรรค์
เหมือนกับขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มและขอบเขตไร้แบ่งแยก ที่ขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มไม่อาจเอาชนะขอบเขตไร้แบ่งแยกได้
ดังนั้น อสูรมิติทั้งสามจึงไม่สามารถเอาชนะเป่ยเหยาได้! และในทางกลับกัน นางก็สามารถสังหารพวกมันได้ราวกับบี้มดเช่นกัน
คนจากแดนสวรรค์ที่เฝ้ามอง ไม่รู้ว่าเป่ยเหยาเป็นผู้นำวิหารสาบสูญ และพวกมันก็ไม่รู้ว่าเป่ยเหยาที่พวกมันคิดว่าเป็นผู้อาวุโสของหนิงฝาน แท้จริงแล้วเป็นสตรีของเขา!
“ลู่เป่ยเป็นใครกันแน่! หรือว่ามันเป็นคนของ 10 ตระกูลใหญ่ที่นำมาไว้ในโลกมนุษย์? ถ้าไม่ใช่ ทำไมถึงได้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลีกหนีความจริงคุ้มครอง… แบบนี้แล้ว ใครยังจะกล้ายั่วยุลู่เป่ยอีก!”
“ท่านแม่ บรรพบุรุษของตระกูลเราอยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ ท่านพ่อได้รับสืบทอดพลังและวิชามา ข้าก็ว่าท่านพ่อเก่งกาจมากแล้ว แต่ลู่เป่ยกลับมีผู้เชี่ยวชาญหลีกหนีความจริงคอยคุ้มกัน ใครจะกล้าลงมือกับมันอีก!”
คนจากแดนสวรรค์ที่เฝ้ามองล้วนตกตะลึง เหล่าบุรุษหวาดกลัวหนิงฝาน แต่เหล่าสตรีกลับตกหลุมรักเขามากกว่าเดิม
ในสายตาของพวกนาง แม้ระดับพลังของหนิงฝานจะยังอ่อนด้อย แต่เขากลับหน้าตาดี กล้าหาญและเข้มแข็ง เขาดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
แม้ระดับพลังจะอ่อนด้อย แต่กลับมีผู้เชี่ยวชาญหลีกหนีความจริงคอยปกป้อง!
ยามนี้ คนจากแดนสวรรค์เตรียมรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปยังนิกายหรือขุมกำลังของตน
แต่เมื่อพวกมันกำลังจะส่งกระบี่บินเพื่อแจ้งข่าว กระบี่ทั้งหมดกลับถูกทำลาย พร้อมกับเสียงที่เย็นชาของสตรีนางหนึ่งดังมา
“ห้ามใครก็ตามรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น… ใครฝ่าฝืน ข้าจะฆ่าให้หมด!”
คนจากแดนสวรรค์หวาดกลัวจนขนลุกซู่ พวกมันกำลังถูกผู้เชี่ยวชาญหลีกหนีความจริงขู่ฆ่า!
“พวกเจ้าทั้งหมดกลับได้แล้ว! ในขณะที่กลับ หากใครก็ตามพยายามแจ้งข่าว ข้าจะฆ่ามันให้หมด!” ชายชราในขอบเขตกึ่งไร้ดัดแปลงคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงข่มขู่
ชายชราผู้นั้นรู้ว่าเป่ยเหยาเอาจริง มันจึงข่มขู่คนจากแดนสวรรค์คนอื่นๆ เพราะให้อยากให้คนเหล่านั้นถูกเป่ยเหยาสังหาร
“ผู้อาวุโสท่านนั้นกล่าวถูก หากใครก็ตามที่กล้าแพร่งพรายเรื่องนี้ ข้าจะเป็นอีกคนที่ตามไปสังหารมันเอง!”
“ข้าด้วย!”
คำกล่าวของเป่ยเหยาราวกับเป็นประกาศิต ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าขัดขืน
เมื่อคนจากแดนสวรรค์ทั้งหมดจากไป ก็เหลือเพียงอสูรมิติทั้งสาม
“หยวน...”
“ข้าชื่อเป่ยเหยา!” นางหันมองหนิงฝานด้วยความกังวล นางกลัวว่าหนิงฝานจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง เหตุที่นางไม่กล้าบอก เพราะกลัวว่าหนิงฝานจะตีตัวออกห่างนาง
แต่ยามนี้ ที่นางไม่อยากบอก เพราะกลัวหนิงฝานจะเป็นภัย แม้ยามนี้ทั้งสองจะปกป้องซึ่งและกันได้ แต่หากจากกันไป นางคงไม่อาจปกป้องหนิงฝานได้...
อสูรที่ตามล่านางมาตั้งแต่ต้นยังคงคุกเข่า ส่วนอสูรมิติอีกสองตนขบฟันแน่น ก่อนจะทรุดเข่าลงเช่นกัน
“ท่านเป่ยเหยา… พวกข้าผิดไปแล้ว ที่ตามล่าท่านเพราะเป็นคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่...”
“ผู้อาวุโสใหญ่...” นางขบฟัน นางเดาไม่ผิดว่าเป็นฝีมือของผู้อาวุโสใหญ่
นางหันมองหนิงฝาน สภาพร่างของเขาตอนนี้ทำให้ปวดใจ
นางไม่เคยเป็นสตรีที่โหดเหี้ยม แต่วันนี้ นางจะยอมเป็น!
“พวกเจ้าไม่ต้องคุกเข่าให้ข้า… แต่จงคุกเข่าและโขกศีรษะให้กับลู่เป่ย!” นางจ้องมองพวกมันด้วยสายตาเย็นชา
“ว่าไงนะ! พวกข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญก้าวผ่านความจริง จะไปคุกเข่าขอโทษให้กับมดปลวกแบบนั้นได้ยังไง!”
*เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง*
นางโบกมือ ใบหน้าของอสูรมิติทั้งหมดถูกฟาดเข้าอย่างแรงจนปรากฏรอยฝ่ามือ กระดูกบนใบหน้ากว่าครึ่งแตก
“เจ้าดูถูกข้าได้… แต่ห้ามดูถูกเขา!”
“บัดซบเอ้ย!”
พวกมันเป็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่ หากให้ก้มหัวต่อเป่ยเหยา...พวกมันยอม แต่หากให้คุกเข่าต่อหนิงฝาน พวกมันยอมตายดีกว่า!
แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น พวกมันเลือกที่จะรักษาชีวิต ขบฟันแน่น ก่อนหันหาหนิงฝาน คุกเข่า และก้มหัวให้
นางจ้องมองพวกมันด้วยสายตาเย้ยหยัน
เป็นครั้งแรกที่นางทำเช่นนี้ ก่อนหน้านี้นางตำหนิหนิงฝานที่โหดเหี้ยมกับคนของนิกายปีศาจขาว
แต่วันนี้นางเข้าใจแล้ว… หากคนสำคัญของตนถูกทำร้าย นางก็จะโหดเหี้ยมกับผู้ที่ทำเช่นกัน!
“ต่อให้พวกเขาคุกเข่าก้มหัว ข้าก็ไม่มีทางปราณีพวกเจ้า! แม้ข้าเกลียดการสังหาร แต่ข้าเกลียดที่พวกเจ้าทำร้ายเขายิ่งกว่า! พวกเจ้าทำให้เขาต้องทาสไป 2 ตน วันนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้ด้วยการเป็นทาสแทน!”
นางชี้นิ้วไปหาพวกมัน ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้ว ก่อนจะแยกเป็นสามสายทะลวงเข้าร่างของอสูรมิติทั้งหมด!
เปลวเพลิงสีม่วงลุกโหมทั่วร่างพวกมัน พวกมันทั้งเสียใจและเกลียดชังที่ต้องมาเผชิญกับความตายเช่นนี้
“เจ้า...ไม่รักษาคำพูด! พวกข้าคุกเข่าให้แล้ว...”
“ข้าไม่เคยบอกว่าจะปล่อยพวกเจ้าไป! จงกลายเป็นทาสซะ!”
ดวงจิตของพวกมันมอดไหม้ เหลือเพียงร่างกายที่แข็งแกร่งทรงพลัง
ทุกคำกล่าวทุกการกระทำของนาง เขาไม่ขัด เขาคอยเฝ้ามองนางเงียบๆ เหตุที่นางเปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นทาส ก็เพราะอยากจะชดใช้ให้เขา
“ท่านไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้… การไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบการเข่นฆ่า”
“แต่พวกมันทำร้ายเจ้า...” นางหันมองหนิงฝานด้วยแววตาอ่อนโยน สับสน และสั่นเครือ
นางเสียใจอย่างที่สุด นางตำหนิตนเองที่ทำให้หนิงฝานมีสภาพแบบนี้ นางหวาดกลัว...กลัวว่าหากหนิงฝานตาย นางอาจจะคุ้มคลั่ง
แต่แล้วนางกลับกระอักโลหิต ใบหน้าซีดขาวไร้โลหิต เพลิงที่เผาร่างของอสูรมิติทั้งสามมอดดับ คงไว้เพียงร่างที่ยังไม่กลายเป็นทาสอย่างสมบูรณ์
จริงๆแล้วนางยังไม่ได้ฟื้นฟูพลังเต็มที่ นางรู้ว่าหนิงฝานกำลังจะประกับความตาย จึงยอมหยุดฟื้นฟูพลัง ทุ่มพลังแลกกับอาการบาดเจ็บ เพื่อที่จะทำให้นางทรงพลังมากขึ้น
“เป่ยเหยา!”
หนิงฝานเร่งตรงเข้าหานางและประครองร่างของนางไว้ เมื่อตรวจสอบร่างกายของนาง เขาจึงรู้ว่านางยังฟื้นฟูพลังไม่สมบูรณ์ แต่ฝืนออกมาช่วยเขา
“ข้าขอโทษ… ขอโทษที่เปลี่ยนพวกมันเป็นทาสไม่สำเร็จ”
นางเกลียดที่ตนเองล้มเหลว อีกไม่นาน นางจะต้องจากลาหนิงฝาน และอาจจะไม่ได้พบกันอีก ก่อนจะไปนางจึงหวังจะสร้างทาสในขอบเขตเซียนให้หนิงฝาน แต่นางก็ทำไม่สำเร็จ
ทาสที่สร้างไม่สมบูรณ์ในยามนี้ อยู่เพียงขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นต้น แต่นั่นก็เพียงพอที่จะคุ้มกันหนิงฝาน
“ทาสทั้งสามตนนี้ถูกใจข้ามาก ด้วยระดับพลังของข้าในตอนนี้ เหมาะสมที่จะควบคุมทาสในขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นต้น หากควบคุมทาสที่มีระดับสูงกว่านี้ คงเป็นภัยกับข้าแทน”
หนิงฝานสัมผัสข้อมือนางเพื่อตรวจเส้นชีพจร กล่าวชมนาง และเก็บทาสทั้งสามไป
เมื่อหนิงฝานสัมผัสกายนาง นางรู้สึกราวกับมีกำลังขึ้นมาอีกครั้ง
“ที่ผ่านมาจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าร่วมรักกับเจ้า… อย่าได้คิดทำแบบนั้นกับข้าอีก!”
นางโกรธที่มีคนทำร้ายหนิงฝาน แต่หนิงฝานที่บาดเจ็บเจียนตายยังกล้ามองนางด้วยสายตาคลุมเครือ นางย่อมไม่พอใจ
“ขอบคุณที่ปกป้องข้า… หากเจ้ามีโอกาสไปแดนสวรรค์เหนือ ข้าจะตอบแทนเจ้า!” นางกล่าวอย่างจริงจัง
เรื่องทาสที่นางมอบให้ นางไม่นับรวมว่าเป็นการตอบแทนหนิงฝาน
“ตอบแทน?” หนิงฝานก้มมองหน้าอกของนางอย่างจงใจ
“ไม่!” นางเร่งเอามือมั้งสองข้ามาปิดหน้าอกของตนไว้
นางจะไม่ยอมให้มีครั้งที่สามเด็ดขาด ครั้งแรกทำเพราะนางไม่รู้… ครั้งที่สองทำเพราะจำเป็น… แต่ครั้งนี้...ไม่มีอีกแล้ว!...