บทที่ 23 ชีวิตแลกชีวิต
ในเมืองเทียนอวี่ ตระกูลเจียงควรด้อยกว่าเพียงแค่ตระกูลจีแต่ก็อยู่เหนือกว่าตระกูลหม่า แต่เนื่องจากการหายสาบสูญของผู้อาวุโสใหญ่, เจียงหยุนไฮ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทรงพลังในขอบเขตจื่อฝู่ระดับสูง ทำให้ตระกูลเจียงต้องประสบพบกับความสูญเสียอันใหญ่หลวง
ในทางกลับกันสถานะของตระกูลหม่าก็พุ่งทะยานขึ้นเมื่อสามปีก่อนเพราะการแต่งงานระหว่างคุณชายใหญ่แต่ตระกูลจี, จีนู่เจียง กับหญิงสาวผู้หนึ่งจากตระกูลหม่า และช่วงสองปีหลังจากนั้นตระกูลหม่าก็ได้เติบโตอย่างต่อเนื่องจนแทบจะอยู่เหนือตระกูลเจียง
มีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องระหว่างสมาชิกทั้งของสองตระกูลตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา เมื่อปีที่แล้วเจียงอี้ได้บังเอิญเห็นการวิวาทระหว่างเจียงหยูหลงและหนึ่งในทายาทของตระกูลหม่า แต่ละฝ่ายต่างนำคนมาด้วยไม่ต่ำกว่าสิบคน
ซึ่งเหตุการณ์นั้นทำให้ลูกหลานของตระกูลหม่าสองคนต้องนอนเป็นผักและใช้ชีวิตอยู่เพียงบนเตียงจนถึงทุกวันนี้
ในตอนนี้เจียงอี้รู้สึกหนักใจอยู่ไม่ใช่น้อย ใครจะรู้ล่ะว่าหอนางโลมเฟิงเยว่จะเป็นทรัพย์สินของตระกูลหม่า เขาหวังเพียงแค่ว่าจะไม่เกิดปัญหาก็พอ…
เมื่อสังเกตเห็นเจียงอี้อยู่ที่ประตู พ่อบ้านของหอนางโลมเฟิงเยว่ก็ยิ้มเป็นเชิงขออภัยให้กับนายน้อยตระกูลหม่าและหันมากล่าวกับเจียงอี้ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“โอ้? เจ้ามาที่นี่ก็หมายความว่าเจ้ามีตำลึงทองเพียงพอที่จะใช้หนี้แล้วอย่างนั้นรึ?”
เจียงอี้มองมาที่พ่อบ้านแต่ในขณะเดียวกันเขาก็แอบประเมินปฏิกิริยาของนายน้อยแห่งตระกูลหม่าด้วยหางตา
“ข้าเอาเงินมาให้แล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่นำป้ายคำสั่งออกมาเสียล่ะ?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
การสนทนาระหว่างเจียงอี้และพ่อบ้านไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนายน้อยตระกูลหม่าได้เลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ดื่มด่ำอยู่กับการจิบชาร้อนในมือและทำราวกับว่าเจียงอี้เป็นแค่ธาตุอากาศซึ่งไม่คู่ควรที่เขาจะเสียเวลาชายตามอง
พ่อบ้านของหอนางโลมเฟิงเยว่เองก็ไม่อยากเสียเวลาเสวนากับเจียงอี้ด้วยเช่นกัน เขาออกคำสั่งกับหนึ่งในทหารยาม
“ไปนำป้ายคำสั่งของมันมา”
หลังจากนั้นเขาก็ละความสนใจจากเจียงอี้อย่างสมบูรณ์และหันไปทางนายน้อยผู้นั้นพร้อมกับปั้นรอยยิ้มประจบประแจงบนใบหน้า
“นายน้อยเฟย ดูแล้วยังมีเวลาเหลืออีกมากทำไมไม่ให้ข้าเรียกเฟิงเซียนน้อยมาบริการท่านล่ะขอรับ? ดูเหมือนว่าเมื่อไม่นานมานี้นางเพิ่งเรียนรู้เคล็ดลับใหม่ๆมาจากเจ๊ฮวา… ข้ารับประกันได้เลยว่านางจะต้องปรนนิบัติท่านเป็นอย่างดี”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่านายน้อยเฟิงยังคงท่าทีอันสูงส่งเอาไว้ เขากล่าวขณะที่ถือถ้วยชาไว้ในมือ
“เจ้ากำลังพูดอะไร? ข้ามาที่นี่เพราะธุรกิจ แต่เจ้ากลับพูดราวกับว่าข้ามาที่นี่เพื่อแสวงหาความสุขทางกาย…?”
พ่อบ้านยิ้มอย่างชั่วร้ายและกล่าว “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นขอรับ… เพียงแต่การตรวจสอบหญิงสาวในหอนางโลมแห่งนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจไม่ใช่หรือขอรับ?”
นายน้อยตระกูลหม่ายิ้มและตบไหล่พ่อบ้านด้วยความพึงพอใจก่อนที่จะลุกขึ้นและตรงไปที่บันได
ในเวลาเดียวกันเจียงอี้ที่กำลังเคร่งเครียดก็รู้สึกผ่อนคลายลง เมื่อทหารยามกลับมาพร้อมกับป้ายคำสั่ง เขาก็ยิ่งรู้สึกโล่งอก เขาล้วงมือไปที่หน้าอกเพื่อหยิบเงินตำลึงทองส่งให้กับพ่อบ้าน
พ่อบ้านแห่งหอนางโลมเฟิงเยว่ส่งสายตาให้กับทหารยามเพื่อให้พานายน้อยตระกูลหม่าขึ้นไปยังชั้นบน จากนั้นเขาก็เดินมารับตำลึงทองจากเจียงอี้และกล่าว
“เจ้าเด็กเหลือขอ! ไสหัวไปได้แล้ว! ยังดีที่ข้ายังเห็นแก่หน้าตระกูลเจียง…”
“ตระกูลเจียง?”
นายน้อยตระกูลหม่าซึ่งกำลังจะเดินขึ้นบันไดหยุดชะงัก จากนั้นเขาก็กวาดมองมาที่ป้ายคำสั่งอย่างรวดเร็วและสังเกตเห็นตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยความประณีตลงบนป้ายคำสั่ง ‘เจียง’
“หยุดก่อน!” เขาตะโกนออกคำสั่งในทันที
บัดซบ!
เจียงอี้รู้สึกว่าสถานการณ์ได้เลวร้ายลงในพริบตา แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะช่วงชิงป้ายคำสั่งด้วยกำลัง ในเวลาเดียวกันทหารยามก็รีบดึงป้ายคำสั่งกลับมาตามคำสั่ง
เจียงอี้ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหันไปมองนายน้อยตระกูลหม่าด้วยสายตาอันเย็นชา
นายน้อยตระกูลหม่าผู้นั้นเกียจคร้านเกินไปที่จะสนใจปฏิกิริยาของเจียงอี้ เขาหันไปทางพ่อบ้านและเอ่ยถาม
“พ่อบ้านหลิว เจ้าหมายความว่ายังไงถึงตระกูลเจียง? แล้วนั่นป้ายคำสั่งอะไร?”
พ่อบ้านหลิวเดินตรงไปที่นายน้อยตระกูลหม่าและเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้น
“นายน้อยเฟย คนของเราไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงในวันนั้นและเนื่องจากเด็กหนุ่มคนนี้ยังเป็นคนของตระกูลเจียง ข้าจึงไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะไม่รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นต่อตระกูลขอรับ…”
ในไม่ช้ารอยยิ้มอันเย้ยหยันก็ปรากฏบนใบหน้าของนายน้อยเฟย หลังจากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่เจียงอี้และกล่าว
“คนของเจ้าได้ทำลายภาพวาดอันทรงคุณค่าซึ่งเป็นสมบัติของหอนางโลมเฟิงเยว่และเจ้าก็ยังทำร้ายคนของข้า เจ้าคิดว่ามันจะจบลงง่ายๆเพียงแค่ใช้หนี้ไม่กี่ตำลึงทองอย่างนั้นรึ? เหอะ ต่อให้เจียงเฮิ่นซุ่ยมาเอง ก็อย่าหวังว่ามันจะช่วยอะไรได้!”
ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้…
เมื่อเห็นการแสดงออกของหม่าเฟย เจียงอี้ก็ทำได้เพียงแค่สาปแช่งในความโชคร้ายของเขาที่ทำให้เขาต้องมาเจอกับนายน้อยเสเพลจากตระกูลหม่า
เนื่องจากเรื่องบาดหมางระหว่างทั้งสองตระกูล จะเป็นไปได้อย่างไรหากอีกฝ่ายจะยอมทิ้งโอกาสดีๆเช่นนี้ในการเล่นงานตระกูลเจียง?
แม้ว่าจะบ่นอุบอิบอยู่ในใจ แต่ต่อหน้าเจียงอี้ก็ทำได้เพียงแค่กล่าว
“นายน้อย พ่อบ้านและข้าได้ทำข้อตกลงกันในวันนั้น พวกท่านได้รับเงินชดเชยคืนไปแล้ว ด้วยฐานะของหอนางโลมเฟิงเยว่ พวกท่านคงไม่คิดที่จะกลับคำใช่หรือไม่?”
การแสดงออกของพ่อบ้านหลิวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา แน่นอนในฐานะพ่อค้า ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด นอกจากนี้ด้วยตำแหน่งพ่อบ้านของหอนางโลมเฟิงเยว่ก็ทำให้เขาค่อนข้างเป็นคนที่มีชื่อเสียง
อย่างไรก็ตามนายน้อยหม่าเฟยก็เป็นถึงทายาทสายตรงและบิดาของเขาเองก็มีอำนาจมากในตระกูลหม่า ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในคนที่พ่อบ้านหลิวไม่สามารถล่วงเกินได้และทำได้เพียงแค่หุบปากเงียบ
“สามหาว!”
หม่าเฟยยิ้มอย่างเย็นชาขณะที่มายืนอยู่หน้าเจียงอี้ จากนั้นเขาก็ชี้หน้าเจียงอี้และกล่าวด้วยความหยิ่งยโส
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? คนของเจ้าทำงานให้กับหอนางโลมของข้า นางทำลายทรัพย์สินของที่นี่ อีกทั้งเจ้ายังลงมือทำร้ายคนของเรา”
“หากข้ายอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆแล้วตระกูลหม่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! ถุ้ย เพียงแค่สิบตำลึงทองเช่นนั้นรึ? เจ้าคิดว่าตระกูลหม่าของข้าเป็นขอทานหรือยังไงกัน?! เอาป้ายคำสั่งนั่นมาให้ข้า!”
ทหารยามของหอนางโลมเฟิงเยว่รีบนำป้ายคำสั่งมามอบให้หม่าเฟยในทันที จากนั้นเขาก็โยนมันเล่นในอากาศต่อหน้าเจียงอี้และกล่าว
“เจ้าต้องการป้ายคำสั่งนี่คืนไปอย่างนั้นรึ? ไม่มีทาง!”
ไอ้…!!
เจียงอี้เกือบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่และระเบิดโทสะออกมา มันไม่ใช่เพียงแค่ป้ายคำสั่งเท่านั้น แต่ชีวิตของเจียงเสี่ยวนู๋ยังขึ้นอยู่กับมัน!
เขาขบฟันแน่นด้วยความโกรธและพยายามปลอบประโลมตัวเองให้สงบลง ในวันนี้เขาไม่สามารถที่จะสร้างบัญหาเพิ่มได้ ไม่ใช่นั่นสถานการณ์ของเสี่ยวนู๋จะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
เจียงอี้ใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะระงับความโกรธในใจ จากนั้นก็เอ่ยถาม
“ท่านต้องการอะไร?”
“ง่ายมาก!”
หม่าเฟยแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายและกล่าว “เจ้าต้องจ่ายค่าชดเชย! สิบตำลึงทองของเจ้าเพียงพอสำหรับค่าภาพวาดเท่านั้น แต่ไม่ต้องห่วงข้าจะคืนป้ายคำสั่งให้เจ้าในทันที เพียงแต่เจ้าต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับทหารยามที่ถูกเจ้าทำร้ายจนบาดเจ็บและยังต้องชดเชยค่าเสียหายที่กล้าทำลายชื่อเสียงของหอนางโลมเฟิงเยว่!”
สีหน้าของเจียงอี้มืดมนลง เขายังคงกัดฟันแน่นและเอ่ย “เท่าไหร่?!”
หม่าเฟยแสยะยิ้มและกล่าว “ก็ไม่มากไม่น้อย เท่าที่คำนวณดูก็คงประมาณหนึ่งร้อยตำลึงทองและข้าจะพิจารณาดู… ราคานี้ถือว่าข้าเห็นแก่หน้าเจียงเฮิ่นซุ่ยมากแล้วนะ”
นี่ข้าต้องตกสู่ความสิ้นหวังอีกครั้งหรือ…
เจียงอี้ก้มหน้าลง มือของเขาที่อยู่ใต้แขนเสื้อกำลังกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนราวกับกำลังจะระเบิด โดยไม่รู้ตัวร่างกายของเขาได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดูชั่วร้ายออกมาอย่างช้าๆ ราวกับราชสีห์ที่กำลังโกรธจัด
“ฮ่าๆ! เจ้าอยากจะสู้เช่นนั้นรึ? เข้ามาสิ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทุบตีเจ้ากลับ”
เมื่อเห็นเจียงอี้ตกอยู่ในสภาพนี้ก็ยิ่งทำให้หม่าเฟยรู้สึกสะใจจนอดไม่ได้ที่จะกล่าวยั่วยุออกมา สำหรับเขาแล้วเจียงอี้เป็นเพียงแค่ขยะไร้ค่าที่บรรลุเพียงขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองเท่านั้น
หากเจียงอี้กล้าโจมตีเขา มันก็จะจบลงด้วยการถูกกระแทกกลับไปเสียเอง นอกจากนี้ยังไม่นับทหารยามอีกเจ็ดแปดคนที่อยู่ในหอนางโลมเฟิงเยว่
ในความเป็นจริง เพียงแค่หม่าเฟยผู้ที่บรรลุขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ก็สามารถจัดการกับเจียงอี้ได้ในกระบวนท่าเดียว
อย่างไรก็ตามพ่อบ้านหลิวรู้ดีว่าเจียงอี้แข็งแกร่งขนาดไหน ในตอนที่เด็กหนุ่มผู้นี้ยังอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หนึ่ง เขาก็สามารถเอาชนะทหารยามที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่งได้แล้ว
แม้ว่าพ่อบ้านหลิวจะไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเจียงอี้สามารถปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงได้อย่างไร แต่เขาก็ยังคงระมัดระวังขณะที่เดินเข้ามาใกล้กับนายน้อยหม่าเฟย
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงอี้ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูสงบจนน่าประหลาดใจ จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่หม่าเฟยและกล่าว
“นายน้อยหม่า เป็นไปได้ไหมที่จะลดราคาให้ข้าสักหน่อย? ห้าสิบตำลึงทองเป็นอย่างไร? ข้ามีอยู่กับตัวพอดีและสามารถมอบให้ท่านได้เลย…”
ขณะที่พูดเจียงอีกก็ล้วงมือไปในกระเป๋า ดวงตาของพ่อบ้านหลิวรวมถึงหม่าเฟยและเหล่าทหารยามดูเป็นประกาย พวกเขามองมายังมือซ้ายของเจียงอี้
“หืม?”
อย่างไรก็ตามทุกคนกลับตกอยู่ในความตกตะลึงเมื่อสิ่งที่เจียงอี้นำออกมากลับไม่ใช่ตำลึงทอง… แต่เป็นวัตถุสีดำซึ่งถูกห่อด้วยกระดาษ เมื่อเห็นเช่นนั้นพ่อบ้านหลิวก็คาดเดาได้ในทันทีว่ามันคืออะไร จากนั้นเขาก็ตะโกนด้วยความร้อนรน
“นายน้อยระวัง!!”
“เหอะ! สายไปแล้ว… ลองชิมอาวุธลับของข้าดู! ผงพิษทะลวงล้านใจ!”
ในขณะที่ตะโกน เจียงอี้ก็โคจรแก่นแท้พลังไปที่ฝ่ามือและบีบห่อกระดาษจนแตกเป็นผงจากนั้นซัดผงสีดำไปที่พ่อบ้านหลิว, หม่าเฟยและยามสองคนที่อยู่ข้างหน้า
“ถอย!”
สีหน้าของพ่อบ้านหลิวบิดเบี้ยวด้วยความน่าเกลียดขณะที่พยายามปกป้องนายน้อยหม่าและพาเขาถอยไปด้านหลัง ทหารยอมทั้งสองเองก็ถอยร่นในเวลาเดียวกัน
ในตอนนั้นทหารยามคนอื่นก็พยายามตีวงล้อมจากทุกทิศทาง มีสองคนที่นำกริชสีดำออกมาและพร้อมที่จะห้ำหั่นกับเจียงอี้
“คิดจะหนีงั้นรึ?!”
ใบหน้าของเจียงอี้แฝงไว้ด้วยความไร้ปรานี เขาพุ่งไปยังนายน้อยหม่าและพ่อบ้านหลิวด้วยความเร็วสูงสุด
เขาจะครอบครองผงพิษเช่นนั้นได้อย่างไร ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่เนื้อตากแห้งที่ถูกขยี้จนเป็นผงซึ่งเป็นของที่เจียงเสี่ยวนู๋เตรียมไว้ให้เขาเท่านั้น…
ความโชคร้ายที่ทำให้เจียงอี้ต้องมาเจอกับนายน้อยแห่งตระกูลหม่าทำให้เขาไม่มีทางเลือก มันก็คล้ายกับตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเจียงหยูหู่บนเขาซีชานซึ่งเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสู้!
ฟับบ!
ท่ามกลางผงสีดำที่กระจายอยู่รอบๆ ร่างของเจียงอี้ก็พุ่งไปด้านหน้าในพริบตา หมัดของเขาถูกห่อหุ้มด้วยแก่นแท้พลังและกลายเป็นกำปั้นเงาทั้งหกซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่พ่อบ้านหลิวและนายน้อยหม่า
“หมัดมายา!”
หมัดมายาเป็นทักษะต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นสูงของตระกูลเจียง พลังของมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนกำปั้นเงาที่สร้างออกมา แต่เป็นความสมจริงของมัน
ด้วยพรสวรรค์อันสูงส่งของเจียงอี้ เขาสำเร็จขั้นบรรลุของหมัดมายามานานแล้ว พลังทำลายของมันยิ่งทรงพลังยิ่งขึ้นเมื่อถูกผสานด้วยแก่นแท้พลังสีน้ำเงินและสีดำ
แม้ว่าทั้งพ่อบ้านหลิวและหม่าเฟยจะเป็นผู้ฝึกยุทธในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ แต่พวกเขาประหลาดใจอย่างมากที่ไม่สามารถแยกแยะกำปั้นที่แท้จริงจากกำปั้นเงาเหล่านั้นได้
“นายน้อยเฟยถอยไป!”
พ่อบ้านหลิวตะโกนด้วยความร้อนรน เขาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันและผลักออกไปข้างหน้าจากนั้นก็สร้างเป็นม่านแก่นแท้พลังรูปดาวห้าแฉก เขาทำซ้ำไปมาเพื่อเสริมพื้นที่ด้านหน้าด้วยม่านพลัง
พ่อบ้านหลิวสัมผัสได้ถึงอันตรายจากกำปั้นเงาทั้งหกของเจียงอี้ ในขณะที่หม่าเฟยซึ่งอยู่ด้านหลังของเขาไม่กล้าที่จะทำอะไรนอกจากพยายามป้องกันตัว เมื่อทหารยามทั้งหมดลงมือเจียงอี้ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรต่อนายน้อยเฟยผู้นี้ได้อีกต่อไป
แต่แล้วความคิดของพวกเขาก็ถูกบดขยี้โดยความจริงอันโหดร้ายอย่างรวดเร็ว!
เจียงอี้กระแทกหมัดไปที่ท่อนแขนของพ่อบ้านหลิวซึ่งส่งผลให้เขาถึงกับโซเซไปด้านหลังและปราศจากโอกาสที่จะได้ป้องกันตัว
ปัก! ปัก! ปัก!
อสรพิษฟาดหางของเจียงอี้ก็ตามมาติดๆ และหวดใส่ต้นขาของพ่อบ้านหลิวพร้อมกับบังคับให้เขาถอยร่นไปด้านหลังหลายก้าว ในเวลาเดียวกัน เขาก็ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ถีบตัวเองขึ้นไปในอากาศ จากนั้นเขาก็พุ่งไปทางหม่าเฟยที่กำลังตกตะลึงและยกกำปั้นขึ้นเพื่อชกเขาเต็มแรง
“รุ่นเยาว์จากตระกูลเจียงผู้นี้มีพลังมากกว่าข้า แย่แล้ว! นายน้อยอยู่ในอันตราย!”
พ่อบ้านหลิวถูกบังคับให้ต้องถอยหลังไปเจ็ดถึงแปดก้าวก่อนที่จะตั้งหลักได้อย่างมั่นคง เมื่อมองเห็นกำปั้นที่เปี่ยมไปด้วยพลังของเจียงอี้กำลังพุ่งเข้าใส่ศีรษะของหม่าเฟย ใบหน้าของเขาก็ซีดขาวลงและคำรามอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้เจ้าเด็กตระกูลเจียงบัดซบ! หากเจ้ากล้าแตะต้องนายน้อยของข้า วันนี้เจ้าได้ตายแน่!”
คนจำนวนมากในที่แห่งนี้กำลังลงมือโจมตีเจียงอี้จากทุกทิศทาง แต่กระนั้นใบหน้าของเขาก็หาได้เปลี่ยนแปลงไม่ เขาไม่ได้ละสายตาจากร่างของหม่าเฟย ในขณะที่มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มและหัวเราะด้วยเสียงอันเย็นชา
“นายน้อยผู้นี้ไม่มีเงินหนึ่งร้อยตำลึงทอง ไม่มีอะไรเลยนอกจากชีวิตที่แสนบัดซบ แต่หากพวกเจ้าต้องการ… พวกเจ้าสามารถแลกมันกับชีวิตของนายน้อยตระกูลหม่าของพวกเจ้าได้!”