บทที่ 21 ข้อตกลง
คำพูดของชายชราผมขาวทำให้ผู้ดูแลหยางตื่นเต้นมาก เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะจากไปแต่หันมาเอ่ยถามอีกครั้ง
“แล้วท่านผู้เฒ่าเฟ่ยคิดว่าพวกเราควรที่จะเชิญเด็กคนนั้นให้มาเข้าร่วมกับโถงวรยุทธหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่จำเป็น!”
ผู้เฒ่าเฟ่ยยืนขึ้นและเดินไปยังประตูทางออก จากนั้นเขาก็หยุดชั่วครู่และกล่าว
“อายุของเด็กคนนั้นปาเข้าไปสิบห้าสิบหกปีแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองเท่านั้น เขาพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการบ่มเพาะพลังไปแล้ว”
“สิ่งนี้จะทำให้ความสำเร็จในอนาคตของเขานั้นถูกจำกัดไว้ แม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธและมีปฏิกิริยาการตอบสนองที่ค่อนข้างดี แต่ความเร็วในการบ่มเพาะพลังช่างเชื่องช้านัก หากปราศจากพลังทุกอย่างก็ไร้ค่า…”
“โถงวรยุทธไม่ควรเสียทรัพยากรให้กับคนที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้”
“ช่างน่าเสียดายนัก…”
“ขอรับ!”
ผู้ดูแลหยางประสานมือและโค้งคำนับด้วยความเคารพเพื่อน้อมส่งผู้เฒ่าเฟ่ยที่กำลังจากไป
หลังจากที่ชายชราจากไป ผู้ดูแลหยางก็เดินกลับไปยังกำแพงและใช้ฝ่ามือที่ห่อหุ้มไปด้วยแก่นแท้พลังกดไปที่ก้อนอิฐ
ทันใดนั้นภาพฉายที่อยู่บนกำแพงก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์และถูกแทนที่ด้วยกำแพงที่มีสีขาวราวกับหิมะอีกครั้ง
“ใครก็ได้ไปเรียกหมาป่าเดียวดายมาพบข้าที!”
ผู้ดูแลหยางนั่งลงและออกคำสั่งกับยามที่ยืนอยู่หน้าประตู หลังจากนั้นไม่นานนักเจียงอี้ก็ถูกนำตัวเข้ามา แม้แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความสับสน
“ผู้ดูแลหยาง มีอะไรจะคุยกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
เจียงอี้เพิ่งเริ่มบ่มเพาะพลังได้ไม่นานก็ถูกขัดจังหวะ หลังจากนั้นก็ถูกนำตัวมาที่นี่ในขณะที่ยังคงงุนงง
ผู้ดูแลหยางโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ยามออกไป จากนั้นเขาก็หันมามองเจียงอี้และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หมาป่าเดียวดาย ข้าขอพูดโดยไม่ต้องอ้อมค้อมเลยละกัน ในนามของโถงวรยุทธ… ข้าอยากที่จะทำข้อตกลงกับเจ้า”
ภายใต้หน้ากากหมาป่า คิ้วของเจียงอี้เลิกขึ้น เขาเอ่ยถามด้วยโทนเสียงต่ำ
“ข้อตกลง?”
ผู้ดูแลหยางหยักหน้าและกล่าว “ถูกต้อง ทางโถงวรยุทธจะเป็นผู้สนับสนุนทางด้านทรัพยากรให้กับเจ้าในการบรรลุขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ให้ได้ภายในสองเดือนโดยที่ไม่สนว่าต้องจ่ายไปเท่าใด”
“แต่ต้องแลกกับการที่เจ้าต้องทำงานอยู่ที่นี่เป็นเวลาห้าปี แน่นอนว่าพวกเราไม่คิดจะเอาเปรียบเจ้า เรายังคงจ่ายเงินเดือนที่สอดคล้องกับพลังให้เช่นเดิม”
“นั่นก็คือเมื่อพลังของเจ้าอยู่ในระดับเดียวกับคู่ซ้อมประลองป้ายเงิน เจ้าก็จะได้รับเงินสิบตำลึงเงินต่อวันและในขณะเดียวกัน หากเจ้าไต่ขึ้นไปถึงระดับคู่ซ้อมประลองป้ายทอง เงินเดือนของเจ้าก็จะขึ้นเป็นหนึ่งตำลึงทองต่อวัน”
ดวงตาของเจียงอี้เผยถึงความลังเลและตัดสินใจที่จะเอ่ยปากถาม “หน้าที่ของข้ามีเพียงแค่เป็นคู่ซ้อมประลองและไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรนอกเหนือกว่านั้นใช่หรือไม่?”
“ถูกต้องแล้ว!” ผู้ดูแลหยางสัมผัสได้ถึงความกังวลของเจียงอี้และกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“โถงวรยุทธของเราให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่ง พวกเราย่อมรักษาคำพูดที่เคยให้ไว้เสมอ เรื่องนี้เจ้ามั่นใจได้เลย”
เจียงอี้ก้มศีรษะลงเล็กน้อยขณะครุ่นคิด เขายังคงรู้สึกสับสนและกังวลใจ เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะได้ลาภลอยเข้าให้แล้ว?
ผู้ฝึกยุทธต่างก็ทราบดีถึงความยากเย็นในการยกระดับของขั้นพลัง ยิ่งระดับสูงขึ้น จำนวนของทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
โถงวรยุทธจะต้องเตรียมเม็ดยาคุณภาพสูงให้กับเจียงอี้จำนวนมากเพื่อที่จะทำให้เขาทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ให้ได้ภายในสองเดือน แต่ที่น่าสงสัยก็คือ ทำไมพวกเขาถึงต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเขาด้วย?
ดูเหมือนว่าโถงวรยุทธจะต้องการให้เขาอยู่ทำงานให้จริงๆ นอกจากนี้พวกเขายังไม่คิดที่จะเอาเปรียบเขาโดยการลดเงินเดือนให้ต่ำกว่าคู่ซ้อมประลองคนอื่น… ข้อเสนอดีๆเช่นนี้ มันมีอยู่ในโลกจริงๆหรือ?
หากผู้ที่ยื่นข้อเสนอให้กับเจียงอี้ในตอนนี้ไม่ใช่ผู้ดูแลของโถงวรยุทธ เขาจะหันหลังและจากไปในทันทีโดยที่คิดว่าอีกฝ่ายคงแค่ต้องการเล่นตลกกับเขาเท่านั้น
คำถามที่ผุดขึ้นภายในใจของเขาก็คือ โถงวรยุทธถือว่าเป็นราชาในหมู่กลุ่มการค้าขนาดใหญ่ในทวีปและไม่เคยปรากฏเรื่องอื้อฉาวมาก่อนในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เจียงอี้ก็เป็นเพียงแค่คนตัวเล็กๆที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร ทำไมโถงวรยุทธถึงได้ให้ความสำคัญกับเขานัก?
เขายังคงนิ่งเงียบอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยออกมาในที่สุด
“ผู้ดูแลหยาง หากข้าทำงานให้กับท่าน… ข้าจะสูญเสียอิสรภาพหรือไม่?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ผู้ดูแลหยางหลุดหัวเราะออกมาและกล่าวอธิบาย
“หมาป่าเดียวดาย เจ้าเพียงแค่ได้รับการว่าจ้างจากโถงวรยุทธเท่านั้นซึ่งนั้นไม่นับว่าเจ้าเป็นคนของเราเสียทีเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าทำงานของเจ้าไป ส่วนทางเราก็มีหน้าที่จ่ายเงินให้เจ้า”
“คู่ซ้อมประลองระดับป้ายทองอีกสองสามคนในโถงวรยุทธก็ได้ทำข้าตกลงในลักษณะนี้กับพวกเราเช่นกัน… หมาป่าเดียวดาย ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไร แต่เชื่อเถิด เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องคิดอะไรที่มันซับซ้อนขนาดนั้น”
“หากให้พูดตรงๆ ข้ามีความสนใจในศักยภาพของเจ้า เจ้ามีความสามารถในการต่อสู้และยังมีความเร็วในการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม เพียงแค่สองอย่างนี้ ข้าก็ยินดีที่จะลงทุนกับเจ้าในด้านทรัพยากรและช่วยเจ้าขัดเกลาทักษะแล้ว แน่นอนว่าทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อโถงวรยุทธ ความสามารถของเจ้าจะช่วยให้พวกเราสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล!”
“หากเป็นเช่นนั้น…”
ในเมื่อผู้ดูแลหยางเปิดเผยความตั้งใจของเขาออกมาแล้ว หัวใจของเจียงอี้ก็สงบลง หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความแน่วแน่ จากนั้นเขาก็ยิ้มและเอ่ย
“ข้าไม่มีปัญหาในการทำงานที่นี่เป็นเวลาห้าปี แต่ข้ามีข้อเสนออยู่สองข้อ”
ผู้ดูแลหยางโบกมืออย่างไม่สะทกสะท้านและกล่าว “พูดมาเลย ตราบใดที่มันไม่มากเกินไปข้าก็ไม่มีปัญหา”
เจียงอี้พยักหน้าและเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ประการแรก ข้าไม่สามารถที่จะอยู่ในโถงวรยุทธได้ทั้งวัน แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อพวกท่าน ส่วนประการที่สอง ข้า… ข้าอยากได้ค่าจ้างล่วงหน้า!”
เรื่องปัญหาหนี้สินของหอนางโลมเฟิงเยว่ได้สร้างความทุกข์ใจให้กับเจียงอี้อยู่เป็นเวลานาน ในเมื่อเวลานี้โถงวรยุทธให้คุณค่ากับเขามาก ดังนั้นเขาจึงบังเกิดความคิดที่จะขอเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อมาชำระหนี้ก่อน
ในเวลานี้ สีหน้าของผู้ดูแลหยางปรากฏความลังเลเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าไม่มีปัญหากับคำขอแรกของเจ้า ข้าจะจ่ายให้เจ้าในอัตราจ้างต่อวัน หากเจ้ารับหน้าที่เป็นคู่ซ้อมประลองสี่ยก ซึ่งก็หมายความว่าในหนึ่งวันเจ้าต้องเป็นคู่ซ้อมประลองแค่สี่ยกเท่านั้น แต่ข้าจะจ่ายให้เจ้าเท่ากับจำนวนของคนที่ทำงานทั้งวัน”
“ส่วนข้อที่สอง… เจ้าจำเป็นต้องใช้เงินเท่าใด?”
เจียงอี้ยังคงอยู่ในความประหลาดใจ เมื่อถูกเรียกสติกลับมาเขาก็รีบกล่าวตอบ
“สิบตำลึงทอง!”
มุมปากของผู้ดูแลหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจากนั้นก็กล่าว “ไม่มีปัญหา หากเจ้าทำงานที่นี่ครบสิบวัน ข้าถึงจะยอมจ่ายเงินล่วงหน้าให้ เจ้ายังมีคำถามอื่นอีกหรือไม่? หากไม่มี ข้าก็หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมธุรกิจกันอย่างราบรื่น”
“เอ่อ..”
เจียงอี้ยังคงกระพริบตาปริบๆ จากนั้นเขาก็เอ่ยถาม “ข้าไม่มีคำถามแล้ว เพียงแต่ว่า… เราไม่จำเป็นต้องลงนามในข้อตกลงหรือ?”
“ฮ่าๆ!”
ผู้ดูแลหยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและกล่าวตอบด้วยท่าทีภาคภูมิใจ
“ไม่จำเป็น! เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือโถงวรยุทธ? ใครกันที่จะกล้าผิดสัญญากับพวกเรา? เพียงแค่คำพูดก็เพียงพอสำหรับการยืนยันข้อตกลงในครั้งนี้แล้ว”
“เช่นนั้นก่อนอื่น เจ้าก็รับขวดยานี้ไป จากนั้นก็ตรงไปยังห้องโถงใหญ่และเริ่มบ่มเพาะพลังเสีย ในช่วงไม่กี่วันต่อจากนี้ หากไม่จำเป็นจริงๆ ข้าจะไม่ส่งเจ้าไปเป็นคู่ซ่อมประลอง ภารกิจหลักของเจ้าในตอนนี้ก็คือเพิ่มพูนพลังไปให้ถึงขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ให้เร็วที่สุด!”
เจียงอี้รับขวดยามาไว้ในมือ เมื่อฝาขวดเปิดออกเขาก็มองเห็นเม็ดยาวิญญาณสามเม็ดอยู่ด้านใน ซึ่งมันทำให้เขาอดคิดถึงความร่ำรวยและฟุ่มเฟือยของโถงวรยุทธมิได้
แต่ในขณะที่เจียงอี้ยังอยู่ในความยินดีนั้น จู่ๆเขาก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“ท่านผู้ดูแล… หากว่ายังไม่ถึงห้าปีแล้วข้าตัดสินใจที่จะเลิกทำงานหรือหากมีสถานการณ์คับขันที่บังคับให้ข้าต้องจากไปเป็นการชั่วคราว มันจะเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่ารอยยิ้มของผู้ดูแลหยางกลับแฝงไปด้วยความเย็นชา
“ง่ายมาก มันถือเป็นการละเมิดสัญญา เจ้าจำเป็นต้องชดใช้ให้กับทางเราหนึ่งร้อยเท่า หากให้คำนวณ เจ้าจะเป็นหนี้โถงวรยุทธเกือบหนึ่งหมื่นตำลึงทอง แน่นอนว่าหากเจ้าตาย สัญญาณนี้ก็จะเป็นโมฆะ”
“หมื่นตำลึงทอง!”
เจียงอี้ยังคงอยู่ในสภาพเหม่อลอยขณะที่เดินออกมาจากห้อง แม้ว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์จำนวนมาก แต่เขาต้องทำงานอยู่ที่นี่ถึงห้าปี นอกจากนี้หากผิดสัญญาก็จะต้องถูกตามล่าโดยโถงวรยุทธอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อคิดได้ว่าทุกเมืองในทวีปเทียนชิงล้วนแต่มีสาขาย่อยของโถงวรยุทธตั้งอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาด้วยความกลัว
เมื่อสลัดความคิดด้านลบออกไปจนสิ้น เจียงอี้มาที่ห้องโถงใหญ่ด้วยความตื่นเต้นและเริ่มนั่งขัดสมาธิในทันที แลกกับเวลาห้าปีเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาทั้งหมดก็ไม่นับว่าเป็นทางเลือกที่เลวร้ายนัก
ด้วยเงินสิบตำลึงที่จะได้รับในอีกสิบวันข้างหน้า เขาก็สามารถไปยังหอนางโลมเฟิงเยว่และไถ่ป้ายคำสั่งคืนมาได้
สำหรับเจียงหยูหลง เจียงอี้ไม่ได้นำเรื่องของชายผู้นี้มาคิดให้รกสมอง ปัจจุบันเขามีผู้สนับสนุนด้านทรัพยากรรายใหญ่ก็คือโถงวรยุทธที่จะช่วยผลักดันให้เขาทะลวงระดับพลังได้ในเวลาอันสั้น
ตราบใดที่ระดับพลังของเจียงอี้พุ่งทะยานถึงขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่ง เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเจียงหยูหลงอีกต่อไป
เจียงอี้เริ่มการดูดซับเม็ดยาอย่างเงียบๆในขณะที่เข้าสู่ห้วงสมาธิ นอกจากนี้ผู้ดูแลหยางยังกล่าวอีกว่าจะยังไม่ให้เขาต้องเป็นคู่ซ้อมในช่วงไม่กี่วันนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลถึงเรื่องที่แก่นแท้พลังสีดำจะถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองในการต่อสู้
ความเร็วในการบ่มเพาะพลังในโถงวรยุทธเร็วกว่าภายนอกสองเท่า ด้วยขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองและแก่นแท้พลังสีดำ หลังจากที่ดูดซับพลังจากเม็ดยาไปเพียงไม่นาน เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังของแก่นแท้พลังสีน้ำเงินที่พวยพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ สิ่งเหล่านี้ทำให้เจียงอี้รู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่อาจที่จะควบคุมได้
บ่มเพาะพลัง! ต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้!
แม้ว่าจะไม่ได้ทานอาหารกลางวัน เจียงอี้ก็ไม่ได้รู้สึกหิวแค่อย่างใด ในทางกลับกัน ความสนใจของเขาทั้งหมดมุ่งไปที่การบ่มเพาะพลังเพียงเท่านั้น
ในช่วงบ่าย เหล่าทายาทจากตระกูลต่างๆเดินทางมาหาคู่ซ้อมอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้นผู้ดูแลหยางก็ยังไม่ได้เรียกเจียงอี้ออกไปเหมือนกับที่เขากล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อยามราตรีมาเยือน เจียงอี้ถึงติดสินใจหยุดบ่มเพาะพลัง จากนั้นเขาก็ย้ายจิตเข้าไปสำรวจภายในตันเทียน เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายในดวงตาของเขาก็ลุกโชนไปด้วยความปลื้มปิติ
เจียงอี้เพิ่งเริ่มฝึกในช่วงบ่ายเท่านั้น แต่ปริมาณพลังที่เขาได้รับกลับเทียบเท่ากับการที่เขาฝึกฝนปกติตลอดทั้งเดือน
ความเร็วในการบ่มเพาะแก่นแท้พลังเพิ่งขึ้นอย่างมากเมื่ออยู่ในโถงวรยุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากแก่นแท้พลังสีดำและเม็ดยา ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาก็ยิ่งพุ่งทะยานราวกับติดปีก
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่อักขระบนผนึกกำลังหายไปอย่างต่อเนื่อง ความเร็วระดับนี้เป็นสิ่งที่ตัวเจียงอี้ในอดีตทำได้เพียงแค่ฝันถึง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่าทายาทจากตระกูลใหญ่จะมีพัฒนาการที่รวดเร็วกว่าคนธรรมดาอย่างเทียบไม่ติด! ก่อนหน้านี้ เจียงอี้เคยรู้สึกอิจฉาเมื่อต้องเทียบตัวเองกับทายาทเหล่านั้น
เจียงอี้เคยตกตะลึงเมื่อเจียงเฮิ่นซุ่ยมีความเร็วในด้านการบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่งแม้ว่าเขาจะมีอายุมากกว่าเจียงอี้เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น ตอนนี้ระดับพลังของเขาอยู่ในขั้นที่แปดของขอบเขตฉูติ่ง
แต่ไม่ว่ายังไงเจียงเฮิ่นซุ่ยก็มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อรวมกับปริมาณเม็ดยาที่เขาใช้และยังได้เข้ามาฝึกในโถงวรยุทธ มันก็คงเป็นเรื่องแปลกหากว่าเขาไม่สามารถพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด
ในทำนองเดียวกัน หากเจียงอี้มีทรัพยากรให้ใช้ตามต้องการ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาจะเชื่องช้ากว่าคนอื่นได้เยี่ยงไร?
ความมืดย่างกรายเข้ามาปกคลุมท้องฟ้า เจียงอี้อยู่ที่นี่เพียงชั่วครู่ก่อนที่จะกลับบ้านเพราะหากไม่รีบกลับไปมีหวังเจียงเสี่ยวนู๋ได้ออกมาตามหาเขาด้วยความกังวลแน่
เจียงอี้เริ่มมองไปรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางครั้งเขาก็มองเห็นนายน้อยหรือคุณหนูบางคนเดินออกจากห้องฝึกซ้อม บางครั้งก็มองเห็นคู่ซ้อมประลองคลานออกมาและอาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้
หลังจากที่สังเกตอยู่ชั่วครู่ เจียงอี้ก็พอจะเข้าใจในสถานการณ์รอบตัวอยู่บ้าง โถงวรยุทธมีคู่ซ้อมระดับป้ายทองเพียงแค่สามคน พวกเขามีระดับพลังอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้าหรือหก
นอกจากนี้ก็มีคู่ซ้อมระดับป้ายเงินอยู่สี่ถึงห้าคน ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามหรือสี่ ส่วนที่เหลืออีกแปดเก้าคนก็เป็นคู่ซ้อมระดับทองแดงทั้งหมด
ในปัจจุบันมีทายาทจากตระกูลใหญ่อย่างน้อยยี่สิบถึงสามสิบคน ในแต่ละวันจะมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มคนเหล่านี้ที่จะขึ้นสู้กับคู่ซ้อมประลองไม่หนึ่งก็สองยก
จากที่เจียงอี้ประเมิน จำนวนคู่ซ้อมประลองดูแล้วค่อนข้างที่จะไม่สมดุลหรือพูดง่ายๆก็คือค่อนข้างขาดแคลน มีหลายคนที่ถูกทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสและถูกหามออกไป
เป็นเรื่องธรรมดาที่นายน้อยและคุณหนูเหล่านั้นจะไร้ความปรานี สำหรับเขาแล้วคู่ซ้อมประลองเป็นเพียงแค่เครื่องมือให้พวกเขาใช้เพื่อยกระดับความสามารถเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงอี้ก็มากล่าวอำลากับผู้ดูแลหยางและในตอนที่จะเตรียมเดินทางกลับบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านนอกของทางเดิน ม่านตาของเขาก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็รีบกลับไปยังที่นั่งเดิมในทันที
เขามองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่เป็นสอง!
มีกลุ่มคนสี่คนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอันหรูหราเดินอยู่บนทางเดิน พวกเขาประกอบไปด้วยบุรุษสามคนและสตรีอีกหนึ่ง
หญิงสาวผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองและมีใบหน้าที่งดงามราวกับดอกไม้ นางก็คือคุณหนูแห่งตระกูลจี, จีทิงยวี่ และหนึ่งในบรรดาบุรุษทั้งสามที่มีการแสดงออกที่น่าประทับใจ คนผู้นั้นก็คือเจียงเฮิ่นซุ่ย
“ฮ่าๆ คุณหนูทิงยวี่ ความแข็งแกร่งของท่านอยู่ในอันดับต้นๆของรุ่นเยาว์ในเมืองเทียนอวี่ ด้วยขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดของท่าน ไฉนเลยคู่ซ้อมประลองของที่นี่จะช่วยเหลือท่านได้? ให้ข้าเป็นคู่ซ้อมให้กับท่านเป็นอย่างไร?”
“ใช่แล้ว คู่ซ้อมประลองชั้นต่ำเหล่านี้จะคู่ควรกับคุณหนูทิงยวี่ได้เช่นไร? ข้า นายน้อยหม่าผู้นี้ เพิ่งจะพัฒนาทักษะต่อสู้ระดับพิภพมาหมาดๆ มันคงจะดีที่สุดหากให้ข้าเป็นคู่ซ้อมของท่าน!”
เสียงสนทนาและเสียงหัวเราะของพวกเขาดังไปตลอดทั้งทาง ในที่สุดกลุ่มของจีทิงยวี่เดินมาถึงมาห้องโถงใหญ่ ตลอดทาง เจียงเฮิ่นซุ่ยแทบจะไม่ได้เปิดปากกล่าวอะไรออกมา แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่จีทิงยวี่ด้วยความลุ่มหลง
ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปด, คุณหนูแห่งตระกูลจีและยังมีอำนาจของหอสมบัติอยู่ในมือ ด้วยพลังและสถานะเช่นนี้ มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจียงเฮิ่นซุ่ยและชายหนุ่มที่มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่อีกสองคนจะเกาะติดกับนางเหมือนกับแมลงวัน
เจียงอี้แอบสงสัยว่า หากเขาเข้าไปทักทายจีทิงยวี่ในตอนนี้ นางจะมีปฏิกิริยาเช่นไร?
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อจีทิงยวี่ใช้สายตากวาดมองไปทั่วทั้งห้อง นางได้สบตากับเจียงอี้โดยบังเอิญซึ่งทำให้เจียงอี้รีบก้มศีรษะลงต่ำเพราะกลัวว่าจะถูกนางจำได้ แต่จู่ๆจีทิงยวี่ก็ยกมือที่เรียวขาวราวกับหิมะของนางชี้ไปทาเจียงอี้ จากนั้นก็เอ่ยออกมาเบาๆ
“ทุกท่าน ข้าคิดว่าสุภาพบุรุษท่านนี้ดูมีความตั้งใจดีและข้า จีทิงยวี่ อยากให้ท่านผู้ดูแลหยางโปรดช่วยจัดการซ้อมประลองระหว่างข้ากับคู่ซ้อมประลองที่สวมหน้ากากหมาป่าผู้นี้ให้ข้าด้วย”