MS บทที่ 19 หลีชิงเถียน
MS บทที่ 19 หลีชิงเถียน
“ยินดีด้วยขอรับใต้เท้า ท่านได้ปราบพวกเฉินหนงและกำจัดพวกทรราชทั้งสองคนอย่างโชวหวูและเฉิงหลงซิงไปได้ ตอนนี้ท่านคือเจ้าผู้ครองมณฑลไถไป๋แต่เพียงผู้เดียวแล้วขอรับ” เฟิงหยวนซิงพูดชื่นชมหลีมู่
เด็กหนุ่มหยุดเดินและหันกลับมาหาเขา
“เจ้าคิดว่าข้าทำไปเพื่ออำนาจงั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ
หลีมู่มองไปที่ทหารที่กำลังคุกเข่าอยู่
“คราวนี้ข้าจะรับบทเป็นอะไรอีกดีนะ?”
คำพูดของผู้พิพากษาตัวน้อยคนนี้แสดงออกมาได้ถึงยิ่งใหญ่
“ฟังข้าให้ดีๆนะ ข้าจัดการทั้งสองคนนั่นตามขั้นตอนกฎหมายเพื่อทำให้บ้านเมืองของข้าสะอาด เพื่อปกป้องป้องไม่ให้ชาวเมืองถูกทำร้าย เพื่อดำรงไว้ซึ่งสันติภาพของเมือง...” หลีมู่พูดด้วยความตื่นเต้น “คิดว่าข้าจะจัดการกับโชวหวูและเฉิงหลงซิงจริงๆเหรอ? ถ้าเขาเป็นคนที่ห่วงใยประชาชนจริงๆน่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยมันพยายามจะใช้ข้าเป็นหุ่นเชิดด้วย”
เฟิงหยวนซิงเข้าใจในทันที
“แน่นอนขอรับใต้เท้า ท่านคือผู้อุทิศตนให้กับเมืองนี้อย่างแท้จริง ข้าน้อยช่างโง่เขลายิ่งนักที่ถามคำถามเช่นนี้ ช่างเป็นบุญของชาวเมืองจริงๆที่ได้ท่านเป็นผู้พิพากษาของมณฑลนี้”
หลีมู่ยิ้มมุมปาก
หึ! หมอนี่มันอยู่เป็นนะเนี่ย
“เอาล่ะทีนี้ก็ขอฝากท่านจัดการกับพวกที่หลงเหลือของเฉิงหลงซิงและโชวหวู แต่ต้องทำทุกอย่างให้ตรงตามขั้นตอนกฎหมายนะ แล้วก็
รบกวนท่านเฟิงช่วยทำรายงานแล้วไปรายงานต่อเบื้องสูงด้วยล่ะ”
หลีมู่พูดจบและเดินหายไป
“น้อมรับบัญชา” เฟิงหยวนซิงตอบรับเสียงดังด้วยใบหน้าดีใจ
นี่หมายความว่าผู้พิพากษาคนนี้ยอมรับเขาแล้วสินะ?
.
เคยมีผู้คนในกลุ่มเฉินหนงมากมาย
เรื่องที่เกิดขึ้นในฐานที่มั่นของพวกมันแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
หลายๆคนที่ได้ยินข่าวลือนี้ต่างก็รีบไปเข้าร่วมกับฝ่ายอื่นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
หลายสิบปีที่ผ่านมาคนจากเฉินหนงได้ทำให้งานราชการอันศักดิ์สิทธิ์ต้องแปดเปื้อน พวกมันทำทุกวิถีทางเพื่อกัดกินทุกอย่างข้างในนั้นให้เน่าเฟะ
แต่อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ผู้คนได้ยินข่าวกการปราบปรามคนเลวของผู้พิพากษาคนนี้ มันทำให้ทุกคนเริ่มมารวมตัวกันอีกครั้ง
ทุกอย่างในตอนนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากลุ่มเฉินหนงได้ล่มสลายแล้ว
ผู้คนมากมายมาที่หน้าป่าหินแต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไป
หลีมู่เองก็ประหลาดใจมากที่เห็นประชาชนมากมายขนาดนี้
“โว้ว ทำไมคนมากันเยอะแยะแบบนี้ล่ะ?”
เท่าที่เห็นดูเหมือนว่าจะมีประมาณ 5000 คนได้ และทุกคนก็เงียบกริบทันทีที่เห็นหลีมู่
เขามาแล้ว!
หัวใจทุกคนเต้นระรัวด้วยความตกใจที่ได้เห็นเด็กคนนี้
นั่นหมายความว่าข่าวลือที่ว่าหลีมู่ปราบพวกเฉินหนงลงได้นั้นเป็นความจริง แถมยังได้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยอีกต่างหาก ช่างเหนือมนุษย์อะไรเยี่ยงนี้
ทุกคนล้วนคาดหวังว่าผู้พิพากษาคนนี้จะช่วยพลิกชะตามณฑลนี้ได้
และนี่ก็เป็นข่าวร้ายสำหรับพวกที่ทำตัวผิดกฎบ้านเมืองเช่นกัน
สำหรับหลายๆคนแล้ว หลีมู่ดูเด็กกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ แม้ว่าจะมีคราบเลือดเปรอะไปตามตัวก็ตาม ดวงตากลมโตทำให้รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนและความเอื้อเฟื้อ ผิดกับพวกชนชั้นสูงที่เป็นเจ้าของตำแหน่งนี้มาก่อนมากๆ
ทุกคนแสดงสีหน้าที่ดีต่อเขา แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ
หลีมู่ควบม้าแล้วฝูงชนก็หลีกทางให้กับเขา
‘บ้าจริง นั่นควรจะเป็นโอกาสที่ดีของข้าแท้ๆ’ หลีมู่คิดแบบนั้น ตอนแรกเขากะจะโชว์พูดอะไรเด็ดๆกับชาวเมืองซักหน่อยหลังจากที่ได้ทำคุณงามความดีขนาดนี้ แต่ว่าเลือดงูในร่างของเขามันทำให้เขาต้องรีบกลับไปจัดการกับมัน
และทั้งเด็กหนุ่มและม้าก็หายวับไปตามถนน
จากนั้นไม่นาน เฟิงหยวนซิงก็นำทหารหลายนายออกมาจากป่าหิน
ข้างนอกนั่นยังมีฝูงชนจำนวนมากอยู่
ทันใดนั้นก็มีคนๆหนึ่งเดินออกจากฝูงชนมาถามเขา “ท่านเฟิง แล้วฉีกงจิ้งล่ะ? แล้วไหนจะท่านโชวกับท่านเฉิงพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”
เฟิงหยวนซิงตอบด้วยน้ำเสียงสงบ “ท่านคือ ท่านเหว่ยจากชมรมดารานภาสินะ ฉีกงจิ้งถูกสังหารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในฐานะที่ทำตัวชั่วร้ายขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองและท่านผู้พิพากษาไม่สามารถให้อภัยพวกเขาได้ ส่วนท่านโชวและท่านเฉิง... พวกเราตรวจสอบที่แห่งนี้แล้วพบว่าทั้งสองมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเฉินหนงในการสังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก พวกเขาจึงถูกไต่สวนและติดสินโทษประหารชีวิตเป็นที่เรียบร้อย”
“อะไรนะ?” เหว่ยสีหลงผู้นำของชมรมดารานภาตกใจที่ได้ยินแบบนั้น “ท่านเฟิง... ท่านพูดเล่นอยู่ใช่ไหม?”
เฟิงหยวนซิงทำหน้านิ่งเฉย “ในเวลาแบบนี้ข้าไม่คิดจะล้อเล่นกับผู้ใดหรอก”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและตะโกน “มาเถอะ มานำร่างของพวกคนชั่วทั้งสามไปมอบให้หยีฉวงกันดีกว่า คนที่เหลือไปตรวจสอบบ้านของท่านโชวและท่านเฉิงกับข้า ท่านผู้พิพากษาทีคำสั่งว่าห้ามให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสองคนนั้นเล็ดลอดไปเป็นอันขาด”
แล้วเขาก็จากไปพร้อมกับกองทหาร
และทหารอีกราวๆ 20 นายก็เข้ามานำศพทั้งสามคนนั้นออกมาจากป่า
ทุกคนที่ได้เห็นภาพนั้นก็ตกใจราวกับว่ามีคนไปแหย่รังมดเข้าให้
เหว่ยสีหลงยืนนิ่งเงียบ จ้องมองภาพนั่นด้วยความว่างเปล่า
“เป็นไปได้ยังไง?”
“ไม่จริงน่า?”
“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
นอกจากเฉินหนงแล้วก็ยังมี วัดติงหยู,สถาบันฉางเฟิง และชมรมดารานภาเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มทรงอำนาจของเมืองไถไป๋
ต่างกันแค่ว่า วัดติงหยูที่เป็นวัดพุทธ,สถาบันชิงเฟิง และชมรมดารานภานั้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับทั้งสองคนนั่นมาก แต่ก็ยังประกอบความดีอยู่บ้างถ้าเทียบกับฝ่ายเฉินหนง
เมื่อได้ยินข่าวโชวหวูและเฉิงหลงซิงตายก็ทำเอาพวกเขาคิดอะไรไม่ออก
ความหนาวเหน็บลามขึ้นมาไปถึงสันหลังของเขา
พระหลายคนจากวัดติงหยูเองก็หน้าซีดที่ได้ยินแบบนี้ก่อนที่พวกเขาจะปรึกษากันเล็กน้อยแล้วจึงออกไป
คนจากสถาบันฉางเฟิงเองก็ตกใจไม่ต่างกัน หลังจากที่ได้เห็นศพเหล่านั้นพวกเขาก็รีบหนีไปทันที
นายเหว่ยเองก็รีบหนีไปจากที่นี่เช่นกัน
เป็นความจริงที่เขย่ามณฑลไถไป๋เป็นอย่างมาก อำนาจในที่นี้จะต้องสั่นคลอนเป็นอย่างมากแน่ๆ
ชมรมดารานภาจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ?
เขาคิดเรื่องนี้ไม่ตก
ในขณะเดียวกันฝูงชนก็แตกตื่นวุ่นวายมากขึ้น
หลายๆคนไม่เชื่อในคำพูดของเฟิงหยวนซิงจนกระทั่งตอนนี้ แม้ว่าจะมีภาพยืนยันมากแค่ไหนก็ตามว่าทั้งสามได้ตายไปแล้ว แต่ทุกคนก็ยังพูดคุยลับหลังกันอย่างน่าสงสัย
ผู้พิพากษาคนนั้นเป็นคนทำทั้งหมดนี่เลยหรือ?
“หลีชิงเถียน!”
มีคนตะโกนขึ้นมาจากฝูงชน ดึงความสนใจจากทุกคนไปได้
“เจ้าสำนักชิงเถียน”
“ฮือ ขุยเอ้อ เจ้าได้ยินข้าไหมบนนั้นน่ะ ท่านผู้พิพากษาล้างแค้นให้เจ้าแล้วนะ พวกมันตายหมดแล้วนะ ฮือ...”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ฉีกงจิ้งมันตายแล้ว ท่านสบายใจได้แล้วนะ”
“ท่านผู้พิพากษาช่างเก่งกาจยิ่งราวกับพระเจ้าเลย ในที่สุดข้าราชการที่ดีก็ลงมาจุติยังเมืองนี้แล้ว”
“ความยุติธรรมกำลังจะหวนคืนนนนนน!”
“รีบไปร้องเรียนยังที่ว่าการเลยนะถ้าเจอเรื่องไม่ดีมา ท่านผู้พิพากษาต้องจัดการได้แน่”
ทุกคนพูดขึ้นด้วยความตื้นตัน
บางคนถึงกับเอาพลุมาจุดกันตรงหน้าทางเข้านี่เลยทีเดียว
เสียงพลุดังไกลออกไปหลายไมล์ พร้อมด้วยภาพที่ในใจของทุกคนเปี่ยมไปด้วยความสุข