ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 95 เข้าโรงเรียน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 97 ลาป่วย

Re-new ตอนที่ 96 ซูบผอม


ตอนที่ 96 ซูบผอม

ชายสูงอายุสองคนที่อายุราว 70 ปีกำลังต่อสู้แย่งปลากันในที่สาธารณะเหมือนกับเด็ก ๆ  เมื่อเหล่าอาจารย์ในลานรับประทานอาหารเห็นด้านนี้ของบัณฑิตชื่อดังเข้า ภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่สง่างามในใจพวกเขาก็พังครืนลงมาทันพลัน

คุณพระช่วย ! นั่นคืออาจารย์ใหญ่หยวนผู้ลึกลับและสันโดษจริง ๆ เยี่ยงนั้นรึ ? นี่มันเด็กเกเรชัด ๆ เลยมิใช่รึ !

หัวหน้าเมิ่งอาศัยช่วงที่เพื่อนของเขาผลักกันและขวางกันอยู่นั้นเดินเข้ามาด้วย เขาเพิ่งชิมเนื้อหัวหมูตุ๋นเข้าไปหนึ่งชิ้นก็ถูกผลักออกโดยเพื่อนที่พยายามปกป้องอาหารของเขา  มหาบัณฑิตหยวนโกรธจนหน้าขึ้นสีแดง เขาตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “ดี ! พวกแกขโมยอาหารของข้า ! ตาแก่ผู้นี้ ! ตาแก่ผู้นี้จะตัดขาดกับพวกแกทั้งคู่เลยเป็นเยี่ยงไร !”

เสี่ยวเฉากับพ่อของนางพากันยืนอึ้ง ถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ในโรงเรียนหรงซวน นางคงคิดว่ามหาบัณฑิตหยวนเป็นพวกหลอกลวงเป็นแน่ นี่...พวกเขา 3 คนเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของโรงเรียนหรงซวนจริง ๆ รึ ถ้าพวกเขากลายเป็นศัตรูกันเพราะอาหารตุ๋นของนาง นางคงรู้สึกบาปมากเสียทีเดียว

เสี่ยวเฉารีบเดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่หยวน ใจเย็น ๆ ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ถ้าท่านมิรังเกียจ ทุกคราที่ฉีโตวกลับจากวันหยุด ข้าจะให้เขาเอาอาหารมาให้ท่านด้วยเจ้าค่ะ...”

อาจารย์ใหญ่หยวนกำลังรอให้เสี่ยวเฉาเอ่ยเช่นนี้อยู่ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินที่นางกล่าว ความโกรธก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจ เขาตอบกลับไปว่า “เด็กดี ชายแก่ผู้นี้มองคนมิผิดจริง ๆ เจ้ามีจิตใจที่ดีมากยิ่งนัก !  ฉื่อชู เจ้ากินเสร็จแล้วหรือยัง ? ถ้าเสร็จแล้วก็พาหยูฝานไปที่หอพักของชั้นพื้นฐานแล้วช่วยจัดการเรื่องให้เขาด้วย”

ฉื่อชูประหลาดใจเล็กน้อย เด็กนั่นเป็นเพียงแค่นักเรียนใหม่ชั้นพื้นฐาน แต่อาจารย์ใหญ่กลับสั่งให้เขาที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวให้ไปหาที่พักให้เนี่ยนะ เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ใหญ่ให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มากถึงเพียงใดกัน !

แม้จะประหลาดใจมากเพียงใด แต่ฉื่อชูก็ไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกใด ๆ ออกมาทางสีหน้า เขาตอบเพียงแค่ว่า ‘ขอรับ’ แล้วก็หันไปเอ่ยกับหยูไห่และลูก ๆ ว่า “เชิญทางนี้ขอรับ !”

ผู้ช่วยส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ฉื่อชูมาถึงชั้นพื้นฐานเพื่อช่วยนักเรียนใหม่ที่ชื่อ ‘หยูฝาน’ ลงทะเบียนเข้าเรียน เขาได้หาห้องที่หอพักให้นักเรียนใหม่ด้วยตนเองอีกด้วย  ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโรงเรียนหรงซวนอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างก็อยากรู้เป็นอย่างมากว่าใครคือนักเรียนใหม่คนนั้น ถึงกับสามารถทำให้อาจารย์ฉื่อชูทำทั้งหมดนั้นให้เขาได้

ฉีโตวไม่รู้ว่าเขาได้กลายเป็นคนดังตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน ตอนนี้เขาวางกระเป๋าใบเล็กของเขาลงบนเตียงที่หอพักอย่างมีความสุข เขายื่นมือออกมาแตะเตียงใหม่ที่นุ่มกว่าเตียงที่บ้านเขาอยู่มากโข เมื่อเห็นว่าหอพักมีทั้งโต๊ะและเก้าอี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิพิเศษที่ได้มาอยู่และเรียนในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายเช่นนี้ เขาแอบตั้งปณิธานแน่วแน่ไว้ว่าจะขยันเรียนให้มาก ไม่ให้พ่อแม่กับและพี่สาวของเขาต้องผิดหวัง !

เสี่ยวเฉามองเพื่อนร่วมห้องของน้องชาย คนหนึ่งอายุประราว 10 ขวบ ส่วนอีกคนเด็กกว่าเล็กน้อย น่าจะราว ๆ 7 - 8 ขวบ ในสายตาของพวกเขาไม่ได้มีการดูถูกเหยียดหยามเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นเสื้อผ้าเก่า ๆ โทรม ๆ ที่นางกับหยูไห่สวมใส่อยู่ อายุน้อยเช่นนี้แต่กลับมีกาลเทศะมากแล้ว ทั้งยังไม่หยิ่งจองหองและไม่หุนหันพลันแล่นอีกด้วย ในใจเสี่ยวเฉาจึงผ่อนคลายลงมามาก

ฉีโตวเพิ่งวางของ เฉียนเหวินก็เข้ามาในห้องพร้อมด้วยชามกระเบื้องในมือ นักเรียน 2 คนจากชั้นพื้นฐานรีบลุกขึ้นทักทายรุ่นพี่ทันที

เฉียนเหวินพยักหน้าเล็กน้อยให้เด็ก 2 คนนั้นแล้วเอ่ยกับฉีโตวว่า “ข้าเอาอาหารมาให้เจ้า  รีบกินเสียเพราะประเดี๋ยวมีเรียนการอ่านตอนเช้า ชั้นพื้นฐานเริ่มเรียนไปประมาณ 1 เดือนแล้ว เพราะเยี่ยงนั้นถ้ามีอันใดมิเข้าใจก็มาหาข้าได้ตลอด ข้าอยู่ห้องที่สามจากทางซ้ายตรงโน้นน่ะ...”

ฉีโตวกังวลมากเมื่อได้ยินว่าเขาพลาดชั้นเรียนไปเกือบหนึ่งเดือน เมื่อได้ยินเฉียนเหวินเสนอตัวจะช่วย เขาจึงตอบกลับว่า “ขอบคุณท่านพี่เสี่ยวเหวิน ถ้าท่านพี่มิรำคาญ ข้าจะไปขอคำแนะนำจากท่านพี่บ่อย ๆ นะขอรับ ข้ากินข้าวเช้ามาแล้ว ท่านพี่เก็บไว้กินเองเถอะขอรับ”

“มื้อเย็นเริ่มประมาณยามเซิน ในเมื่อกินข้าวเช้ามาตั้งแต่เช้ามืด ถ้าตอนนี้มิกินอะไร จะทนจนถึงบ่ายได้เยี่ยงไร ? ท้องว่างก็เรียนอะไรมิรู้เรื่องหรอก !” เฉียนเหวินยื่นชามข้าวไปให้ฉีโตวแล้วเร่งว่า “กินเร็วเข้าเถอะ !”

เสี่ยวเฉาเห็นว่าข้าวในชามเป็นข้าวขาวผสมลูกเดือย แม้ว่าจะมีเพียงหัวไชเท้าและผักกาดขาวราดมาเท่านั้น แต่ผักพวกนี้ก็ได้ใช้น้ำมันในการผัด ซึ่งใกล้เคียงกับมาตรฐานความเป็นอยู่ของครอบครัวธรรมดาทั่วไป นางจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านพี่เสี่ยวเหวิน  อาหารมื้อนี้ราคาเท่าใดรึ ?”

“ข้าวขาวผสมลูกเดือยกับผัก 1 ชามราคา 1 อีแปะเท่านั้น ถ้าอยากได้ข้าวขาวอย่างเดียวกับผักก็ราคา 2 อีแปะ ข้าวขาวกับเนื้อก็ 5 อีแปะ...ถ้าไม่อยากได้ข้าวก็เปลี่ยนเป็นหมั่นโถวได้ มีหมั่นโถวที่ทำด้วยแป้งสาลี แล้วก็ธัญพืชผสม...” เฉียนเหวินเข้าใจความหมายของเสี่ยวเฉา เขาจึงบอกราคาอาหารทั้งหมดจากโรงอาหารให้นางฟัง

อย่างที่ว่ากันว่า ‘จงประหยัดที่บ้านและใช้จ่ายอย่างเสรีขณะเดินทาง’ แน่นอนว่าเสี่ยวเฉาไม่ปล่อยให้น้องชายที่ต้องเรียนอยู่ห่างจากบ้านต้องลำบาก เขามีวันหยุด 2 วันหลังจากเรียน 5 วัน นางจัดค่าอาหารให้เขาวันละ 8 อีแปะและนับเพิ่มให้อีก 10 อีแปะเผื่อเอาไว้ รวมทั้งหมดนางให้เงินฉีโตว 50 อีแปะ

เฉียนเหวินรู้สึกแปลกใจที่เห็นเสี่ยวเฉาให้เงินฉีโตว 50 อีแปะ ค่าใช้จ่ายของเขาสำหรับ 5 วันก็แค่ 30 - 40 อีแปะเท่านั้น ความเป็นอยู่ของครอบครัวเขาดีกว่าเสี่ยวเฉามาก แต่นางก็ยังให้เงินน้องชายมากถึงขนาดนั้น

ฉีโตวมองพวงเงินที่พี่สาวยื่นให้เขาแล้วปฏิเสธไม่ยอมรับ เขาเอ่ยว่า “พี่สาม ข้ากินแค่วันละ 2 อีแปะก็พอแล้ว เหตุใดถึงให้มากขนาดนี้ล่ะ ? ครอบครัวเราก็มิได้ร่ำรวย เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนให้ข้า ทุกคนในบ้านต่างก็ทำงานกันยุ่งจนไม่ได้พักผ่อนแล้ว ท่านพี่ให้ข้าแค่ 10 อีแปะสำหรับ 5 วันก็พอแล้ว”

เสี่ยวเฉาดึงเขาไปด้านข้างแล้วเอาเงินให้เขา นางเอ่ยว่า “เอาเงินไปก่อนเถอะ ถ้าใช้มิหมดก็เอาไว้ซื้อกระดาษกับพู่กันก็ได้ ฉีโตว ร่างกายของเจ้ากำลังโตนะ อย่าเอาแต่คิดเรื่องประหยัดเงินแล้วก็กินของดี ๆ บ้าง ! เจ้าน่าจะรู้ถึงความสามารถของพี่สามแล้วนี่  เงินที่ข้าได้จากการขายอาหารตุ๋นมากพอเป็นค่าใช้จ่ายให้ครอบครัวเราได้ รับเงินไปเร็วเข้า มิเช่นนั้นข้าจะโกรธเจ้าแล้วนะ...”

ฉีโตวน้อยตาแดง เขารับเงินพร้อมกับสูดจมูกและเอ่ยว่า “ท่านพ่อ พี่สาม พวกท่านวางใจเถอะ ข้าจะขยันเรียนให้มาก...”

“การเรียนเป็นสิ่งสำคัญ แต่สุขภาพสำคัญยิ่งกว่า ! เจ้ายังเด็กและมิเคยจากบ้านมาก่อน  ต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตนเองด้วย อย่าลืมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะกับอากาศ...” เสี่ยวเฉาน้ำตาไหล ราวกับนางได้ย้อนกลับไปเมื่อชาติก่อนตอนที่น้องชายของนางต้องจากบ้านไปเรียนที่อีกส่วนหนึ่งของประเทศ แต่นางไม่สามารถไปส่งเขาได้ในตอนนั้นเพราะนางต้องดูแลร้านอาหารตุ๋นของนาง ดังนั้นความกังวลและความห่วงใยทั้งหมดจึงออกมาเป็นคำเตือนอย่างต่อเนื่อง

ฉีโตวเช็ดน้ำตาและพยายามสลัดความไม่เต็มใจที่จะจากกันออกไปด้วยเสียงหัวเราะ “พี่สามนี่เหมือนท่านแม่จริง ๆ แม้แต่คำพูดก็ยังเหมือนกันราวกับแกะมิผิดเพี้ยน !”

หยูไห่ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก็เพราะแม่กับพี่เขาเป็นห่วงเจ้ามิใช่รึ...เอาล่ะ กินเร็วเข้า อย่าเข้าเรียนวิชาแรกสายเชียว” เขาหันไปหาเฉียนเหวินแล้วประสานมือพลางกล่าวว่า  “เสี่ยวเหวิน ฉีโตวยังเด็กและใหม่กับที่นี่ ได้โปรดช่วยดูแลเขาด้วยเถอะ”

เฉียนเหวินรีบโค้งคำนับกลับแล้วหัวเราะ “ท่านอาต้าไห่มิขอ ข้าก็ต้องดูแลน้องอยู่แล้วขอรับ มิต้องห่วง นอกจากอาจารย์แล้วก็ยังมีเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลชีวิตของนักเรียนในแต่ละหอพักอีกด้วย แล้วก็ยังมีหมอของโรงเรียนโดยเฉพาะ ถ้านักเรียนปวดหัวเป็นไข้ขึ้นมา  เขาจะได้รับการรักษาฟรี ท่านอาต้าไห่ ฉีโตวเป็นเด็กที่ขยันมากยิ่งนัก เขาจะมิมีปัญหาอย่างแน่นอนขอรับ”

เสี่ยวเฉาเดินออกจากโรงเรียนหรงซวนไปด้วยดวงตาที่บวมแดง ตั้งแต่นางย้ายร่างมาอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ นางก็มักจะไปไหนมาไหนกับเด็กน้อยที่แสนฉลาดคนนี้เสมอ

ตอนนางล้มป่วย เขาก็ได้เอาไข่นกมาให้ และสนทนากับนาง หัวเราะกับนาง ตอนที่พวกเขาขุดสมุนไพรป่าด้วยกัน เด็กน้อยผู้นี้ก็คอยถือตะกร้าเล็ก ๆ ไล่ตามและทำงานหนักกว่านางเสียอีก และตอนที่ไปขายอาหารตุ๋นที่ท่าเรือ ก็เป็นเขาที่คอยอยู่เคียงข้างนางเสมอ...

ในใจของเสี่ยวเฉาได้มองว่าฉีโตวคือน้องชายแท้ ๆ ของนางไปแล้ว เขาอายุเพียงแค่ 6 ขวบ แต่ต้องไปอยู่ในเมืองเพื่อเรียนหนังสือด้วยตัวคนเดียว นางไม่เต็มใจที่จะแยกจากเขาเอามาก ๆ และรู้สึกไม่มั่นใจอะไรเลย

หยูไห่มีความสุขมากกับความผูกพันอย่างลึกซึ้งของพี่น้อง เขาปลอบนางว่า “เฉาเอ้อร์ มิต้องเศร้าแล้ว อีก 5 วันก็ได้เจอน้องแล้วนี่ ตอนนั้นเรามารับเขาเร็ว ๆ กันดีหรือไม่ ไหนลูกบอกว่าอยากไปที่ตลาดวัวกับม้ามิใช่รึ ? ไปกันเถิด”

เสี่ยวเฉาเช็ดน้ำตาพร้อมกับสูดจมูก แล้วก็ทำตัวให้ร่าเริงขึ้น “ไปเยี่ยมท่านพี่ใหญ่ที่ร้านไม้กันก่อนเถอะเจ้าค่ะ...ท่านแม่ทำรองเท้าใหม่ให้ท่านพี่คู่หนึ่ง เอารองเท้าไปให้เขาก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

สองพ่อลูกเดินไปตามถนนใหญ่จนถึงร้านไม้จางจี้ คงเป็นเพราะหยูไห่มาด้วย ถึงผู้ช่วยร้านจะทำสีหน้าน่าเกลียดแต่เขาก็ไม่ได้แกล้งสร้างปัญหาให้พวกเขาอีก เขาไปเรียกหยูฮังออกมาทันที

หลังจากที่ไม่ได้เจอพี่ชายมาหลายวัน เสี่ยวเฉาก็รู้สึกว่าพี่ชายของนางผอมซูบลงไปอีก มีความอิดโรยอ่อนเพลียอยู่ในผิวสีเหลืองของเขา แม้ว่าเขาจะฝืนทำเป็นแข็งแรงต่อหน้าพวกเขา แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเขาเหนื่อยมากเพียงใด

“ท่านพี่ใหญ่ เป็นเด็กฝึกงานที่นี่เหนื่อยมากเลยรึเจ้าคะ ? หรือเพราะท่านพี่มิสบาย ? สีหน้าดูมิดีเอาเสียเลย...” เสี่ยวเฉาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ถึงเยี่ยงไรหยูฮังก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุ 12 ขวบเท่านั้น งานส่วนใหญ่ในร้านไม้ต้องใช้ความแข็งแรงทางร่างกาย จึงถือได้ว่าเป็นงานที่หนักหนาสำหรับเด็กอย่างหยูฮังมากโข

หยูฮังนั้นกลัวว่าเขาจะทำให้ครอบครัวต้องเป็นห่วงจึงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ช่วงนี้ที่ร้านของขายดีน่ะ ขนาดหัวหน้าช่างยังต้องทำงานล่วงเวลาเลย ข้าก็แค่ผู้ช่วยจึงต้องอยู่ดึกขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น ประเดี๋ยวพอผ่านช่วงเวลายุ่งวุ่นวายไปก็มิเป็นไรแล้ว !”

หยูไห่ถอนหายใจขณะมองดูลูกชายที่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ เขาอยากเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กลืนคำพูดกลับเข้าไป เสี่ยวเฉามองหยูไห่แล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ รายได้แต่ละวันของบ้านเราตอนนี้ก็ดีมากแล้วนะเจ้าคะ อีกทั้งยังขาดคนช่วยงานที่บ้านด้วย เหตุใดเราจึงมิพาพี่ใหญ่กลับบ้านล่ะเจ้าคะ ?”

หยูฮังไม่รอให้หยูไห่ตอบเขาก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันทีว่า “น้องสาม ข้ามิเป็นอะไรจริง ๆ ! หัวหน้าช่างคนไหนบ้างที่มิได้เริ่มจากการเป็นเด็กฝึกงาน ? ทนเป็นเด็กใหม่สักสองปีเดี๋ยวข้าก็จะได้เริ่มเรียนงานไม้แล้ว เจ้ามิต้องห่วง ข้าแข็งแรงดี...!”

เสี่ยวเฉายัดห่อของที่ถืออยู่ใส่มือพี่ชายแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ใหญ่ นี่เป็นรองเท้าที่ท่านแม่ทำให้ แล้วก็มีเงิน 100 อีแปะอยู่ข้างในนั้นด้วย รับไปสิ...”

หยูฮังก้มหน้ามองรองเท้าที่นิ้วเท้าโผล่ออกมา เขารีบตอบว่า “ข้าจะรับรองเท้าเอาไว้ แต่เอาเงินกลับไปเถอะ ! ครอบครัวของเรามิได้สุขสบายนี่ อาหารที่นี่มีพอกินแล้ว มิจำเป็นต้องใช้เงินหรอก”

เสี่ยวเฉายัดเงินใส่มือพี่ชายอย่างดื้อรั้นแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเหลียนกับข้าสลับกันไปขายอาหารที่ท่าเรือ พวกเราขายดีมากเลยนะ เพราะเยี่ยงนั้นสถานการณ์ของบ้านเรามิได้ลำบากอย่างที่ท่านพี่คิดหรอก เพียงเวลาแค่ไม่กี่วันพวกเราก็เก็บเงินได้มากพอเป็นค่าเล่าเรียนของฉีโตวแล้ว ฉะนั้นเงิน 100 อีแปะมิได้มากเลย เวลาอยู่ไกลบ้านก็ต้องมีเงินติดตัวไว้เผื่อฉุกเฉินสิเจ้าคะ”

หยูไห่ก็ช่วยกล่าวด้วยอีกแรง “น้องสาวของลูกกล่าวถูกนะ รับไว้เถอะ ! ตอนนี้ลูกกำลังโต เอาไว้ซื้ออาหารกินเวลาที่หิวตอนดึก ๆ น่ะ...พวกเรามิถ่วงเวลาลูกแล้ว กลับเข้าไปเถอะ”

หลังจากออกจากร้านไม้ สองพ่อลูกก็ไม่ได้สนทนากันอยู่นาน ตอนที่ใกล้จะถึงตลาดวัวกับม้า เสี่ยวเฉาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ อีกสองสามวันพวกเราไปพาพี่ใหญ่กลับบ้านเถอะ เป็นเด็กฝึกงานลำบากมากนะเจ้าคะ...”

หยูไห่พยักหน้าและตอบว่า “อืม...” หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกและได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียดออกมาเพียงเท่านั้น

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด