Re-new ตอนที่ 100 มาเยือน
ตอนที่ 100 มาเยือน
ในตอนที่พวกเขาออกจากเมือง หยูไห่เห็นพ่อค้าหาบเร่ขายขนมเปี๊ยะจึงเข้าไปซื้อมา ทุกคนในบ้านต่างก็เคยชินกันแล้วที่เสี่ยวเฉาต้องกินอาหารครบทั้งสามมื้อ เมื่อถึงบ้านก็น่าจะเลยเวลากินมื้อกลางวันแล้ว ลูกสาวของเขาคงจะหิวมากเป็นแน่
เสี่ยวเฉานั่งเอนหลังพิงถุงผ้าฝ้ายอยู่บนเกวียนลา นางห้อยขาลงด้านข้างเกวียนพร้อมกับเล็มกินขนมเปี๊ยะไปด้วย ดูเอ้อระเหยสบายใจเอามาก ๆ
“น้องต้าไห่ เสี่ยวเฉา ! ข้าจองที่ไว้ให้พวกเจ้า 2 ที่แล้ว ขึ้นมาเร็วเข้า !” นอกประตูเมือง นางฟางกำลังรออยู่บนเกวียนวัวของเฒ่าจาง ดูเหมือนวันนี้การค้าของนางจะเป็นไปได้ด้วยดีเนื่องจากตะกร้าในมือของนางว่างเปล่าทั้งหมดแล้ว ทั้งไข่และไก่ถูกขายไปจนหมด
เฒ่าจางอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นหยูไห่เดินนำเกวียนลาเข้ามา เขาเคาะกล้องยาสูบที่เพลาเกวียนแล้วเอ่ยว่า “ต้าไห่ ! เกวียนลานี่มาจากที่ใดกัน ? พวกเจ้าซื้อมันมาจริง ๆ เหรอ ? มิใช่ว่าจะค่อนแคะวิจารณ์อันใดหรอกนะ แต่ตอนซื้อลาเจ้าควรเลือกตัวที่อ้วนและสุขภาพแข็งแรง...ลาตัวนี้ เจ้าแน่ใจรึว่ามันจะรอดน่ะ ?”
หยูไห่ยิ้มและตอบว่า “ท่านลุงจาง ถึงลาตัวนี้จะผอมแต่มันก็กระฉับกระเฉงดีนะขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าเคยใช้เวลาอยู่กับคนที่มีความรู้ทางด้านการรักษาสัตว์อยู่หลายวัน พอเห็นลาตัวนี้ว่ามันไม่ได้เสียหายอะไรร้ายแรง ข้าจึงรู้ว่ามันจะมิเป็นอะไร หากคอยดูแลรักษาสักสองสามวันมันก็จะหายแล้วขอรับ ถ้าลาตัวนี้มิผอมถึงเพียงนี้ ข้าจะซื้อมันมาในราคาถูกได้เยี่ยงไร ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฒ่าจางก็ถามว่าพวกเขาซื้อลากับเกวียนมาเท่าใด พอเสี่ยวเฉาบอกว่าพวกเขาซื้อมาในราคาแค่ 3 ตำลึง ชายชราก็พยักหน้า “3 ตำลึงนับว่ามิแพง คาดว่าจะราคาเดียวกับค่าจ้างทำเกวียนลา ต่อให้ลามิรอดพวกเจ้าก็คงมิได้ขาดทุน...ต้าไห่ เจ้าซื้อเกวียนลามาเพราะเหตุใดกัน...”
เมื่อใดก็ตามที่เฒ่าจางไม่ได้ขนฟืนไปที่เมือง เขาจะรับคนจากหมู่บ้านไปส่งที่เมืองโดยคิดค่าจ้าง ในบางวันเขาสามารถทำเงินได้ 20 - 30 อีแปะ เมื่อเขาเห็นเกวียนลาของหยูไห่ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของเขาก็คือ ‘หยูไห่จะมาตัดกิจการรับส่งคนของเขาเยี่ยงนั้นรึ ? ถึงเยี่ยงไรเกวียนลาก็เร็วกว่าเกวียนวัวอยู่แล้ว’
เสี่ยวเฉายิ้มและรีบชี้แจงให้กระจ่างทันที “ท่านปู่จางเจ้าคะ ตอนนี้ฉีโตวเรียนที่โรงเรียนในเมืองแล้ว ถ้ามีเกวียนลาพวกเราก็จะสามารถไปเยี่ยมเขาได้ง่ายขึ้น อีกทั้งพวกเราได้ปลูกผักไว้ที่สวนหน้าบ้านกับหลังบ้าน วันหน้าข้าจะได้เอาผักไปขายในเมืองได้ง่ายขึ้นเจ้าค่ะ”
เมื่อเฒ่าจางได้ยินเด็กหญิงเอ่ยถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้โดยไม่ได้พูดอะไรที่เกี่ยวกับการใช้เกวียนลาส่งคนเข้าเมือง เขาจึงขจัดความกังวลทิ้งไปได้
ระหว่างทางกลับบ้าน หยูไห่กลัวว่าถ้าเจ้าลาทำงานหนักเกินไปมันจะหมดแรงเอาได้ เขาจึงไม่ยอมขึ้นไปนั่งบนเกวียนเลย ไม่ว่าเสี่ยวเฉาจะพยายามเกลี้ยกล่อมเขายังไงก็ไม่สามารถโน้มน้าวเขาได้ นางจึงทำได้เพียงแค่ประนีประนอมกับเขาด้วยการให้เขานั่งบนเกวียนวัวของเฒ่าจาง เจ้าลานั้นฉลาดเป็นอย่างมาก มันเดินตามเกวียนวัวต้อย ๆ นอกจากพักดื่มน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ระหว่างทางเพียงแค่ครู่เดียว มันก็เดินไปต่อได้โดยไม่ล้มพับลงเพราะความเหนื่อยอย่างที่หยูไห่กังวล
ครอบครัวของเสี่ยวเฉาอาศัยอยู่ที่เชิงเขาตะวันตก ดังนั้นพวกเขาต้องเดินทางผ่านหมู่บ้านมากกว่าครึ่งหมู่บ้านในตอนที่กลับจากเมือง ข่าวที่ครอบครัวของหยูไห่ซื้อเกวียนลาแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านก่อนที่ทั้งสองคนจะกลับไปถึงบ้านเสียอีก
นางหลี่วิ่งเหยาะ ๆ กลับบ้านทันที นางเล่าเรื่องที่พบให้แม่สามีฟังพร้อมกับใส่สีตีไข่เข้าไปด้วย หลังจากแผนการเล่นงานบ้านสองของนางล้มเหลวเมื่อคราที่แล้วนางก็ได้บทเรียน ครานี้นางตัดสินใจทำให้แม่สามีไปเล่นงานบ้านสองด้วยการอ้างว่าพ่อสามีคอยช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาแยกออกจากบ้านใหญ่ได้ไม่นาน เป็นไปได้เยี่ยงไรที่จะซื้อเกวียนลาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ !
เมื่อนางจางได้ยินข้อกล่าวหาของนางหลี่ คิ้วบาง ๆ ของนางก็ขมวดเข้าหากันทันที “พวกนั้นซื้อเกวียนลารึ ? เจ้าแน่ใจรึ ?”
นางหลี่พยักหน้าอย่างแรงและตอบว่า “แน่ใจที่สุดเจ้าค่ะ ทั้งหมู่บ้านรู้กันหมดแล้ว พวกนั้นแค่มิยอมบอกพวกเราเท่านั้นเอง ! ท่านแม่ลองคิดดูสิ ลาตัวหนึ่งราคา 5 - 6 ตำลึง ตอนที่น้องรองแยกบ้านขาของเขาก็เจ็บอยู่ด้วย แล้วเขาจะไปหาเงินมาซื้อลากับเกวียนได้เยี่ยงไร ? บางทีท่านพ่ออาจจะแอบ...”
นางหลี่จงใจไม่พูดต่อ แต่นางจางก็เข้าใจดีว่านางหมายถึงอะไร หญิงชรากล่าวอย่างลังเลว่า “ข้าดูแลเงินทั้งหมดในบ้าน ถ้าเจ้าบอกว่าตาเฒ่ามีเงินอยู่ในมือสัก 10 อีแปะยังพอน่าเชื่อถือ แต่บอกว่าเขามีเงินไปช่วยลูกรองตั้งสองสามตำลึงนี่ ข้ามิคิดว่ามันจะเป็นไปได้ !”
เมื่อนางหลี่เห็นว่าแม่สามีไม่ได้โกรธอย่างที่นางอยากให้เป็น นางก็เริ่มกระวนกระวาย “ท่านแม่ ถ้ามิใช่เพราะท่านพ่อแอบช่วยพวกนั้น ครอบครัวของน้องรองก็คงจะมิมีอาหารพอกินด้วยซ้ำ พวกเขาจะมีเงินซื้อเกวียนลาได้เยี่ยงไร ? ช่วงนี้พวกเราจับปลาได้น้อยลง แต่ก่อนหน้านี้ล่ะ ? ตอนที่ขาของน้องรองยังดีอยู่ เขามักจะให้เงินที่หาได้จากการล่าสัตว์กับท่านพ่อเสมอ ถ้าท่านพ่อมิได้เอาให้ท่านแม่ทั้งหมดล่ะ แล้วมีเงินอยู่กับตัว 8 - 10 ตำลึง บางที...”
“อะไรกัน !” เมื่อนางจางคิดว่าชายชราแอบให้เงินกับครอบครัวของลูกรองลับหลังนาง นางก็ระเบิดความโกรธออกมาทันที หญิงชราเขวี้ยงผ้าที่เย็บอยู่ในมือลงตะกร้าแล้วกรีดร้อง “คิดอยู่แล้วเชียวว่าตอนที่พวกเราแยกบ้านแล้วลูกรองมิได้โวยวายอันใดเลย ที่แท้ก็แอบเก็บให้เงินกันไว้นี่เอง ! ข้ามิยอม พวกนั้นต้องคายทุกอย่างที่เอาไปคืนข้ามาทั้งหมด !”
นางจางกระทืบเท้าปึงปังไปตามถนนที่นำไปสู่บ้านเก่าของครอบครัวหยู นางหลี่ยิ้มเยาะอย่างภูมิใจขณะที่เดินส่ายสะโพกอ้วน ๆ ขางนางตามหลัง เมื่อนางหลิวลูกสะใภ้ใหญ่ของหยูลี่ชุนเห็นสีหน้าของคนทั้งสอง รวมถึงทิศทางที่พวกนางมุ่งหน้าไป นางก็รู้ได้ทันทีว่านางจางและนางหลี่จะต้องไปสร้างปัญหาให้หยูไห่อย่างแน่นอน นางหลิวสาปแช่งอยู่ในใจแล้วรีบกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อไปตามหาเฒ่าหยูซึ่งกำลังเล่นหมากรุกอยู่
เมื่อนางจางกับนางหลี่มาถึงบ้านของเสี่ยวเฉา คนในบ้านทุกคนกำลังยุ่งกับการเตรียมหัวหมูและเครื่องในหมู นางหลิวเงยหน้าขึ้นและเห็นนางจางพุ่งเข้ามาอย่างโกรธจัด ในใจของนางบีบรัดด้วยความเจ็บปวด นางรีบลุกขึ้นและเอ่ยด้วยความขลาดกลัวว่า “ท่านแม่ มาตั้งแต่เมื่อใดรึเจ้าคะ ?”
นางหลี่จ้องมองอ่างไม้ที่เต็มไปด้วยลำไส้หมูเหม็น ๆ และจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่นางพยายามหาเรื่องพวกเขากลับเป็นการทำให้ตนเองเดือดร้อนแทน เมื่อนางกลับมาถึงบ้านในตอนนั้น นางก็ซักเสื้อผ้าที่เปื้อนขี้หมูอยู่หลายครา แต่ไม่ว่าจะซักบ่อยเพียงใด นางก็ยังรู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นน่าขยะแขยงติดอยู่บนเสื้อผ้าตลอดเวลา นางหลี่พลันสังเกตเห็นว่ามีไส้หมูอยู่ในมือของเสี่ยวเฉาซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับนางพร้อมด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
นางรีบถอยไปอยู่ด้านหลังนางจางทันทีและเอ่ยว่า “ท่านแม่มาเยี่ยมมิได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ? เจ้าจะบอกว่าพวกเราต้องนัดก่อนที่จะมาที่บ้านของน้องรองรึเยี่ยงไร ?”
นางจางตะคอกอย่างขุ่นเคือง “ได้ยินว่าบ้านลูกรองโชคดีได้รางวัลใหญ่แล้วซื้อเกวียนลามา ข้าเป็นแม่จะมิมาแสดงความยินดีได้รึ ?”
ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็บิดเบี้ยว “เมียลูกรอง บอกความจริงมา ! พวกเจ้าแอบเอาเงินมากขนาดนั้นไปจากตาแก่นั่นได้เยี่ยงไร ? ข้าก็สงสัยอยู่แล้วว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงได้ยอมตกลงแยกบ้านอย่างง่ายดาย แท้ที่จริงก็ซ่อนแผนอื่นเอาไว้นี่เอง ! ข้าจะบอกไว้เลยนะ ถ้าพวกเจ้ามิบอกข้าว่าตาแก่นั่นซ่อนเงินเอาไว้ที่ใด ข้าสาบานเลยว่าข้าจะทำให้พวกเจ้าได้อยู่อย่างมิเป็นสุข !”
นางหลิวตกใจกับข้อกล่าวหาและรีบตอบว่า “ท่านแม่หมายความว่าเยี่ยงไร ? พวกเราไปเอาเงินจากท่านพ่อที่ไหนกัน ? ตอนเราแยกบ้านพวกเราก็ได้มาแค่ 2 ตำลึงแล้วยังต้องยืมเงินจากบ้านท่านแม่ของข้ามาซ่อมแซมบ้านอีกด้วย ท่านพ่อมิมีเงินอยู่กับตัวหรอกเจ้าค่ะ คนอื่น ๆ อาจมิรู้ว่ามีเงินอยู่ที่บ้านเท่าใด แต่ท่านแม่จะมิรู้ได้เยี่ยงไรกัน ?”
“ก็เห็นอยู่นี่ว่าข้ามิรู้ว่าเงินอยู่ที่ใด ! ถ้าไม่ใช่เพราะตาแก่นั่นแอบเอาเงินให้พวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะหาเงินมาซื้อเกวียนลาได้เยี่ยงไรในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ ? ดูพวกแกสิ คนหนึ่งก็ขาเสีย อีกคนก็ขี้โรค ที่เหลือต่างก็เป็นเด็กเล็กทั้งนั้น !”
เมื่อนางจางรู้ว่าเกวียนลาราคาราว 5 - 6 ตำลึง นางก็รู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกมา ชายชรากับลูกชายคนโตของนางออกไปจับปลาทุกวัน แต่จำนวนปลาที่พวกเขาจับได้นั้นน้อยกว่าเมื่อก่อน จำนวนเงินที่พวกเขาทำได้จึงแทบไม่พอใช้จ่ายภายในครอบครัว ตาแก่นั่นแอบเก็บเงิน 5 - 6 ตำลึงเอาไว้นานแค่ไหนแล้วกัน ?
นางหลิวมีนิสัยอ่อนโยน นางจึงไม่สามารถโต้เถียงนางจางได้ นางสะเทือนอารมณ์มากเสียจนน้ำตาเกือบไหลออกมา และพยายามอธิบายเสียงเบา “ท่านแม่ เงินที่พวกเราใช้ซื้อลาเป็นเงินที่เสี่ยวเฉาหามาได้จากการขายหัวหมูตุ๋นกับไส้หมูตุ๋นที่ท่าเรือ ถ้าท่านแม่มิเชื่อไปถามที่ท่าเรือก็ได้ ทุกคนรู้จักเนื้อตุ๋นห่อละ 1 อีแปะของพวกเราเป็นอย่างดี”
เสี่ยวเฉาตบหน้าผากตนเองและคร่ำครวญเงียบ ๆ ว่า ‘ตายแล้วท่านแม่ ! ท่านแม่จะซื่อสัตย์เกินไปแล้ว ไม่กี่ประโยคก็ขายครอบครัวเราหมดแล้ว อ่า...’
“เนื้อห่อละ 1 อีแปะ ? น้องสะใภ้รอง เจ้าพยายามจะกุเรื่องหลอกใครกัน ? เนื้อหมู 1 ชั่งก็ 20 อีแปะแล้ว ราคาเยี่ยงนั้นจะได้เนื้อสักกี่ชิ้นกันสำหรับห่อละ 1 อีแปะน่ะ ? มิพอแหย่ขี้ฟันด้วยซ้ำมั้ง ! ภายนอกเจ้าก็ดูซื่อสัตย์จริงใจดีหรอกนะ แต่ใครจะคิดว่าเจ้าจะพยายามหลอกท่านแม่ได้ !” นางหลี่ทำสีหน้าพอใจในตนเองขณะที่กล่าวถากถางอยู่ข้าง ๆ
“พี่สะใภ้ ข้ามิได้จะหลอกท่านแม่นะ ! ถ้าท่านพี่ใช้เครื่องเทศต้มไส้หมูกับหัวหมู มันจะได้รสชาติดีจริง ๆ นะ พวกเราขายมันได้ประมาณ 20 - 30 อีแปะต่อวันเลย... ถ้ามิใช่เพราะสิ่งนี้ ครอบครัวของพวกเราคงอดตายไปแล้ว...” นางหลิวก็ไม่ได้ซื่อขนาดบอกความจริงทั้งหมด ที่ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาได้เงินประมาณ 200 - 300 อีแปะต่อวัน
อย่างไรก็ตาม การได้เงิน 20 - 30 อีแปะต่อวันก็มากพอที่จะทำให้นางจางกับนางหลี่น้ำลายหกด้วยความอิจฉาได้ ! นางจางขยับเข้าไปใกล้อ่างไม้ที่เต็มไปด้วยไส้หมูสกปรกน่าขยะแขยง เหมาะที่จะเอาไว้ให้หมากินเท่านั้น แล้วก็ต้องผงะถอยกลับไปด้วยกลิ่นเหม็นของมัน นางหัวเราะเยาะและเอ่ยว่า “ใครกันที่จะซื้อของน่ารังเกียจเหม็น ๆ พวกนี้ ? คิดว่ายายแก่ผู้นี้โง่เง่าหลอกง่ายรึเยี่ยงไร ? ต่อให้พวกเจ้าได้เงินประมาณ 20 - 30 อีแปะต่อวันแล้วมิได้ใช้ซื้ออาหารหรือน้ำเลยรึ เก็บแค่ 10 วันมันก็ยังมิพอซื้อเกวียนลาอยู่ดี !”
หยูไห่อยู่ที่สวนหลังบ้าน กำลังเอาลาไปไว้ใต้เพิง พอได้ยินเสียงเอะอะวุ่นวาย เขาจึงรีบเดินเข้าไปและเอ่ยกับนางจางว่า “ท่านแม่ ข้าซื้อลาที่ป่วยมากจนเกือบตายมา เจ้าของเก่ามิอยากเอามันไว้แล้ว เราก็แค่จ่ายเงินให้พอค่าเกวียนเท่านั้น ทั้งหมดก็แค่ 3 ตำลึง ถ้าท่านแม่ไม่เชื่อก็ไปดูที่สวนหลังบ้านก็ได้...”
ที่หลังบ้าน เจ้าเทากำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างสบายหลังจากดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอีก จากมุมมองของนางจาง นางเห็นแค่ลาที่ผอมจนเหลือแต่กระดูกกำลังนอนซึมอยู่บนพื้น นางคิดว่ามันไม่มีแรงมากพอที่จะลุกขึ้นยืนได้ด้วยซ้ำ จึงเริ่มเชื่อคำพูดของหยูไห่ขึ้นมาบ้าง
แต่นางจะมาที่นี่โดยไม่ได้อะไรกลับไปเลยก็คงไม่ได้ เธอมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยว่า “ลูกรอง ครอบครัวของเจ้านี่เก่งนะ แถมขยันทำงานจนหาเงินได้ 20 - 30 อีแปะต่อวัน แต่พวกเจ้ามิรู้จักช่วยเหลือพ่อกับแม่ได้เยี่ยงไร แม่กับพ่อมีอาหารแทบจะไม่พอกิน แต่เจ้ากลับโยนเงินทิ้งด้วยการซื้อลาป่วยใกล้ตายมารึ มิกลัวผู้อื่นด่าว่าอกตัญญูหรือเยี่ยงไร ?”
เสี่ยวเฉาโกรธจนหน้าขึ้นสีและไม่สามารถสงบปากสงบคำเอาไว้ได้อีก นางจึงโต้กลับว่า “ท่านย่าเจ้าคะ อย่าลืมนะว่าพวกเราแยกบ้านกันแล้ว ! ตอนที่เราแยกบ้าน พวกเราก็ได้ที่ดินมาเพียงแค่ 3 แปลง เงินเพียง 2 ตำลึง กับบ้านเก่า ๆ พัง ๆ ที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ อีกทั้งตอนแยกบ้านพวกเราก็เขียนสัญญาเอาไว้ชัดมากแล้วนี่เจ้าคะ ในแต่ละปีพวกเราต้องให้ธัญพืชท่านย่า 500 ชั่ง หรือเงิน 1 ตำลึง 500 อีแปะเท่านั้น ตอนนี้พวกเรายังมิได้ปลูกมันเทศเลย พวกเราจะช่วยท่านย่าได้เยี่ยงไร ?”
นางจางเก็บเงิน 300 ตำลึงที่หยูไห่เสี่ยงชีวิตได้มาเอาไว้ แต่ก็ยังอ้างสิทธิ์ยืนยันอย่างมั่นใจโดยไม่ละอายเลยสักนิดว่า “พวกเจ้าขายเครื่องในหมูหาเงินมิใช่รึ ? เยี่ยงนั้นก็เอาสูตรหัวหมูตุ๋นกับเครื่องในตุ๋นมาให้พวกข้า อย่าได้คิดจะปิดบังข้าเชียว ถึงพวกเราจะแยกบ้านกันแล้ว แต่พวกเราก็ยังเป็นตระกูลเดียวกันอยู่ แบ่งปันผลประโยชน์ให้พวกเราดีกว่าให้คนนอกรู้มิใช่รึ...”
เสี่ยวเฉารู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย พวกเขาพยายามตัดหนทางอยู่รอดเพียงอย่างเดียวของครอบครัวนาง ! นางแอบนึกดีใจที่วันนี้อากาศเย็น ผักทั้งหมดในสวนหลังบ้านจึงถูกคลุมเอาไว้ด้วยเสื่อฟาง