บทที่ 20.1 เผยความดุร้าย
ดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นประสาทในดวงตานั้นมีความอ่อนไหวมากที่สุด
เมื่อดวงตาได้รับบาดเจ็บในขณะต่อสู้ ความเร็วในการตอบสนองก็จะลดฮวบอย่างน่าตกใจหรือแม้กระทั่งสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปอย่างสมบูรณ์
เลือดนั้นมีความเป็นด่างโดยธรรมชาติ เมื่อเลือดเข้าไปในดวงตามันอาจจะทำลายเส้นประสาทที่อยู่ในนั้นได้ซึ่งจะสร้างความเสียหายหรือทำให้ดวงตาของฝ่ายตรงข้ามถึงกับบอด
เจียงอี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากกำปั้นของผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สาม แต่เมื่อได้โอกาสเข้าใกล้เจียงหยูหู่ เขาก็รีบพ่นเลือดใส่ใบหน้าอีกฝ่าย
การกระทำนี้ไม่ต่างอะไรไปจากการเดิมพันด้วยชีวิต เป็นที่รู้กันดีว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามนั้นมีพละกำลังเทียบเท่ากับมาสามตัว
หากการโจมตีของคนผู้นั้นรุนแรงกว่านี้แม้แต่นิดเดียว เกรงว่ากระดูกสันหลังของเจียงอี้คงจะหักเป็นสองท่อนอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่ร่างของเจียงอี้ถูกส่งลอยไปในอากาศ เจียงหยูหู่กลับไม่ใช้จังหวะนั้นโอกาสนั้นโจมตีใดๆแต่เลือกที่จะยืนชมด้วยความสะใจแทน
มันเป็นโอกาสดี!
เจียงอี้พ่นเลือดออกมาจากปาก เขาโคจรแก่นแท้พลังไปยังกำปั้นข้างหนึ่งของเขาและชกไปที่ศีรษะของเจียงหยูหู่
“หมัดมายา!”
เขาคำรามออกมาขณะที่หมัดของเขาเปลี่ยนเป็นภาพเงาและกระแทกไปที่ศีรษะ, ไหล่ซ้ายและท้องส่วนล่างของเจียงหยู่หู่
เจียงหยูหู่ที่สูญเสียการมองเห็นไปชั่วคราว เขารู้สึกแสบร้อนไปทั่วดวงตาราวกับกำลังถูกแผดเผาและในขณะที่ได้ยินการโจมตีของหมัดมายา หัวใจของเขาก็แทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ในตอนแรกเขายังคงคิดว่าสามารถทนต่อการโจมตีของเจียงอี้ได้ เขาจึงนำแขนทั้งสองข้างออกมาตั้งการ์ดเพื่อป้องกันการโจมตีที่มุ่งเป้ามายังศีรษะของตน แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าเขาจะคิดง่ายเกินไป
ประกายแสงสีดำแล่นผ่านดวงตาของเจียงอี้ ดวงตาของเขาสามารถมองเห็นทุกการกระทำของเจียงหยูหู่ได้ชัดเจนและสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายจึงทำให้เขามีโอกาสกระแทกการโจมตีไปที่ไหล่ซ้ายของเจียงหยูหู่ได้
“ปังง!”
ร่างอ้วนท้วนของเจียงหยูหู่ถูกส่งลอยไปด้านหลังและชนเข้ากับต้นไม้เล็กๆอย่างจังก่อนที่จะไถลไปไกลถึงสิบกว่าเมตร
ฟึบบ!
เจียงอี้เองก็ล้มลงบนพื้นแต่เขาก็รีบยันตัวเองขึ้นมาและพุ่งเข้าหาเจียงหยูหู่ในทันที
เขารู้ดีว่าถ้าหากต้องการที่จะออกจากเขาซีชานแบบให้บาดเจ็บน้อยที่สุด เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจัดการเจียงหยูหู่เป็นอันดับแรก
ในตอนนี้เจียงอี้ได้ใช้แก่นแท้พลังสีดำไปถึงสามเส้นแล้วและเมื่อพวกมันถูกใช้จนหมด มันก็คงเป็นจุดจบของเขาเช่นกัน
ฟึบบ!
ฝูงชนที่อยู่รอบๆเริ่มตอบสนอง ทุกคนพุ่งทะยานไปทางเจียงอี้อย่างบ้าคลั่ง หัวหน้าของพวกเขาถูกโจมตี หากพวกเขายังกล้าที่จะนิ่งเฉย เกรงว่าหลังจากพ้นวันนี้ไปพวกเขาจะต้องได้รับการลงโทษอย่างหนัก
“อสรพิษฟาดหาง!”
ขาทั้งสองข้างของเจียงอี้หวดใส่ร่างของเจียงหยูหู่อย่างไร้ปรานี ยิ่งไปกว่านั้นลูกเตะของเขายังมุ่งไปที่แขนและขาของอีกฝ่าย
แม้ว่าลูกเตะแต่ละครั้งจะปราศจากพลังของแก่นแท้พลังสีดำ แต่มันก็ทรงพลังมากพอที่จะทำให้เกิดเสียงแตกร้าวในกระดูกของอีกฝ่ายได้
และทันใดนั้นเองแขนและขาอย่างละข้างของเจียงหยูหู่ก็หักเป็นสองส่วนซึ่งทำให้เขาร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา
“เจียงอี้ เจ้ากล้าดียังไง?!”
“เจียงอี้! เจ้ากล้าหักแขนและขาของพี่หู่เลยเราะ? เจ้าตายแน่!!”
“ไอ้บัดซบ!”
เมื่อเห็นกับตาว่าเจียงอี้ได้แสดงความโหดเหี้ยมและไร้ปรานีออกมา คนทั้งกลุ่มก็โกรธแค้นอย่างมาก พวกเขาพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดพร้อมไหลเวียนแก่นแท้พลังไปทั่วทั้งร่างกายและพร้อมที่จะโจมตีเจียงอี้จากทั้งสามด้าน
“เหอะ!”
เจียงอี้แสยะยิ้มด้วยความเย็นชา เขาไม่คิดจะถอยหนีแต่ใช้มือของเขาจับไปยังแขนข้างที่ไม่ได้หักของเจียงหยูหู่จากนั้นก็ยกร่างอ้วนท้วนขึ้นพร้อมกับกวาดมองไปยังกลุ่มคนด้วยสายตาอันน่ากลัว
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ไอ้ขี้ขลาด รีบปล่อยพี่หู่ซะ!”
“เศษขยะ กล้าดียังไงถึงใช้พี่หู่เป็นโล่?!”
สีหน้าของคนทั้งกลุ่มเปลี่ยนไปเมื่อเห็นว่าเจียงอี้จับเจียงหยูหู่เป็นตัวประกัน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของพวกเขาก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปและรีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขากลัวว่าการกระทำของพวกเขาจะยิ่งกระตุ้นความบ้าคลั่งของเจียงอี้ให้ลงมือทำร้ายเจียงหยูหู่อีกครั้ง
“เจียงอี้! เจ้าจบแล้ว! เจ้าจบสิ้นแล้ว! หากเจ้ามีความกล้ามาพอก็ฆ่าข้าสิ! เอาเลย! ไม่เช่นนั้นข้าขอสาบานเลยว่าหากข้ารอดไปได้ ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”
เจียงหยูหู่ยังคงสูญเสียการมองเห็น มือและขาอย่างละข้างของเขาหักครึ่ง ที่เลวร้ายที่สุดก็คือเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาถูกเจียงอี้เหวี่ยงไปรอบๆไม่ต่างอะไรไปจากขยะ
ในเวลานี้ความโกรธของเขาได้พุ่งทะยานถึงขีดสุด เขาคือหัวหน้าของกลุ่มทายาทชั้นสองของตระกูล แต่กลับต้องมามีสภาพอันน่าสังเวชต่อหน้าพวกเขาเช่นนี้ แล้วต่อไปนี้เขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน?!
“ปัง!!”
สีหน้าของเจียงอี้ยังคงเย็นชา เมื่อได้ยินคำขู่ของเจียงหยูหู่ เขาก็ทำเพียงแค่เหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายกระแทกพื้นอย่างไร้ปรานี
“หากไม่อยากให้พี่หู่ของพวกเจ้าถูกทุบตีจนตายก็ถอยห่างไปจากข้าซะ!”
โดยไม่สนใจเจียงหยูหู่ที่กำลังกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เจียงอี้ยังคงเผชิญหน้าอยู่กับกลุ่มคนทั้งหมดอย่างกล้าหาญ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่การกระทำอันบ้าคลั่งของเขาในครั้งนี้ก็ราวกับว่ามีพลังพิเศษที่สามารถสะกดผู้อื่นได้
“เจียงอี้ ปล่อยพี่หู่ซะ! บางทีเจ้าอาจจะรอด!”
“ใช่แล้ว! เจ้าต้องปล่อยพี่หู่เดี๋ยวนี้! มิฉะนั้น ด้วยสิ่งที่เจ้าทำกับเขา มันก็เพียงพอที่จะส่งเจ้าไปสู่ความตายได้!”
“เจียงอี้! รีบปล่อยพี่หู่เร็วเข้า! ไม่เช่นนั้นเจ้าได้เจอปัญหาใหญ่แน่…”
มีหลายคนที่ต้องการจะหลบหนีไปจากสถานการณ์นี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเมื่อนึกถึงโทสะของเจียงหยูหู่ที่จะลงโทษพวกเขาอย่างหนัก
ยิ่งไปกว่านั้นคนทั้งกลุ่มยังอยู่ในความตกตะลึงเมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของเจียงหยูหู่ พวกเขาไม่กล้าที่จะลงมือผลีผลามเพราะกลัวว่าลูกพี่ของตนจะได้รับอันตราย!
“ปังง!”
เสียงดังสนั่นของร่างเจียงหยูหู่ที่กระแทกใส่พื้นอย่างรุนแรงได้ปลุกสติของพวกเขาขึ้นมา
ในเวลาเดียวกัน มุมปากของเจียงอี้ก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูโหดร้ายอย่างมาก จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย็นชา
“พวกเจ้าจะไม่ยอมถอยไปใช่หรือไม่?”
กลุ่มของเจียงหยูหู่ทั้งกลุ่มตกอยู่ในความลังเล เจียงอี้ยกมือของเขาขึ้นและเหวี่ยงร่างของเจียงหยูหู่กระแทกกับพื้นอีกครั้ง… และอีกครั้ง
“จะถอยไม่ถอย?!”
“จะถอยไม่ถอย?!”
“จะถอยไม่ถอย?!”
เจียงอี้ยังคงตะโกนถามอย่างต่อเนื่องและในแต่ละครั้ง ร่างของเจียงหยูหู่ก็จะถูกกระแทกกับพื้นอย่างน่าสงสาร
ผลที่ตามมาก็คือ หลังจากผ่านไปสองสามรอบก็ปรากฏโลหิตไหลออกมาจากบาดแผลบนศีรษะของเจียงหยูหู่
หลังจากผ่านไปไม่นานนัก เจียงหยูหู่หมดสติไปเนื่องจากถูกกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงหลายครั้ง เสียงร้องโหยหวนของเขาได้หยุดลง…
“ถอย! พวกเราถอยก่อน!”
ทุกคนตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ความดุร้ายของเจียงอี้ได้สร้างความหวาดกลัวขึ้นภายในใจของพวกเขา
พวกเขายังเผลอคิดไปว่าเจียงอี้อาจจะเสียสติและทุบตีเจียงหยูหู่จนตายเนื่องจากความแค้นที่ได้สั่งสมมา แม้ว่านั่นจะทำให้เจียงอี้ต้องรับโทษประหารอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่พวกเขาเองก็ต้องได้รับการลงโทษจากตระกูลเช่นกัน
เมื่อมีคนหนึ่งถอยไป คนที่เหลือก็รีบตามเขาไปในทันที พวกเขาทั้งหมดได้เป็นพยานในความบ้าคลั่งของเจียงอี้ด้วยตาของตัวเอง แม้แต่สีหน้าอันดุร้ายของเจียงอี้ก็ยังคงประทับอยู่ในใจพวกเขา
ทำไมไอ้เศษขยะนี่ถึงได้กลายเป็นคนที่น่ากลัวเช่นนี้ได้?!
“เฮ้ออ..”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายถอยไปจนหมด เจียงอี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนั้นก็มองไปยังร่างของเจียงหยูหู่ที่นอนกองอยู่กับพื้นราวกับสุนัขจรจัดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
หลังจากที่ถูกรังแกอยู่นานหลายปีในที่สุดเขาก็ได้เอาคืนพวกมันเสียที!
หลังจากนั้นชั่วครู่ เจียงอี้ก็ปล่อยมือของเจียงหยูหู่และยกขาของเขาเหยียบไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย จากนั้นก็ก้มศีรษะไปใกล้ๆกับหูอีกฝ่ายและกล่าว
“เจียงหยูหู่เอ๋ย เจ้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของข้าหรือยัง?”
“เจ้าอยากรู้ไหมว่าทำไมข้าถึงได้ล้มเจียงหยูอิงได้ในหมัดเดียว?”
“แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าข้าจะกล้าทำกับเจ้าเช่นนี้?”
“ข้าจะบอกความจริงเจ้า ข้าจะทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และทำให้ทั้งตระกูลเจียงรู้ว่า…”
“ข้า! เจียงอี้! ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อย่างที่พวกมันเคยกล่าวหา!”
หลังจากกล่าวจบ เจียงอี้ก็ยกขาของเขาขึ้นและกระทืบลงไปยังขาอีกข้างของเจียงหยูหู่ จากนั้นเขาก็เตะไปที่ท้องและส่งร่างนั้นลอยออกไปก่อนที่จะกวาดสายตาไปยังกลุ่มคนและตะโกน
“นำเจียงหยูหู่ไปรักษาให้ทันในหนึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้น… มันได้ตายแน่!”
“พวกเจ้าทุกคนต้องจำไว้ให้ดี หากพวกเจ้าเจอนายน้อยผู้นี้ในอนาคต พวกเจ้าจะต้องหลบไปให้ไกลที่สุด ไม่อย่างนั้นหากพวกเจ้ายั่วยุข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องประสบชะตากรรมเหมือนกับไอ้หมูโสโครกนี่!”
หลังจากกล่าวจบ เจียงอี้ก็หันหลังและเดินจากไปในทันที เมื่อได้เห็นพลังที่เขาแสดงออกมาก่อนหน้านี้ก็ไม่มีลูกหลานตระกูลเจียงแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าหยุดเขาไว้
ในทางกลับกัน พวกเขามองไปยังแผ่นหลังของเจียงอี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน
“พวกเจ้ายังรออะไรอยู่อีกเล่า? รีบพาพี่หู่ออกจากภูเขาเร็ว! หากพี่หู่เป็นอะไรขึ้นมา พวกเราคงจะต้องตายไปกับเขาด้วย!”
“เจียงอี้! ข้าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้นๆ”
เมื่อมองไม่เห็นเงาของเจียงอี้อีกต่อไป กลุ่มของเจียงหยูหู่ก็เริ่มส่งเสียงสาปส่งเขา ภายในใจของพวกเขายังคงลุกไหม้ไปด้วยความโกรธและรู้สึกถูกเหยียดหยาม
“เร็วเข้า! รีบแบกพี่หู่ไป!”
“พวกเราต้องรีบไปรายงานตำหนักลงทัณฑ์! แล้วก็ต้องรายงานต่อท่านเจียงหยุนเฉอ!”
“ใช่แล้ว… หากท่านเจียงหยุนเฉอกับตำหนักลงทัณฑ์รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ เจียงอี้จะต้องโดนโทษประหารแน่!”
ในความวุ่นวาย กลุ่มคนจำนวนมากได้แบกร่างของเจียงหยูหู่และเจียงหยูอิงออกจากภูเขาซีชาน พวกเขายังคงพูดคุยกันไม่หยุดในขณะที่รู้สึกขุ่นเคืองและปรารถนาที่จะบดขยี้เจียงอี้ด้วยความเกลียดชังโดยพึ่งพาพลังของตำหนักลงทัณฑ์และบิดาของเจียงหยูหู่
“ไม่.. ไม่.. อย่าได้บอกพ่อข้า.. อย่าได้บอกเรื่องนี้กับคนในตระกูล!”
ในที่สุดเจียงหยูหู่ก็ได้สติกลับคืนมา ในขณะที่ยังคงหายใจอย่างยากลำบาก เขาก็รีบกล่าวขึ้น
“พลังของเจียงอี้เพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไป… ข้าต้องการให้มันตาย… พวกเจ้าจงจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ดี… แค่บอกว่าพวกเราปะทะกับตระกูลหม่าก็พอ”
เจียงหยูหู่ยังคงพูดติดๆขัดๆ แต่คำพูดของเขาก็ทำให้คนทั้งหมดตกอยู่ในความงงงวย
เป็นไปได้ไหมว่าสมองของเจียงหยูหู่ได้รับการกระทบกระเทือน? ตัวเขาพ่ายแพ้และอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชอย่างนี้ แล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่เขายังต้องการให้ปกปิดเรื่องที่เจียงอี้ทำเป็นความลับ
“ใช่! พี่หู่พูดถูกแล้ว! พวกเราไม่สามารถบอกคนในตระกูลได้!”
ทว่ากลับมีเพียงเจียงหยูอิงเท่านั้นที่สามารถเชื่อมโยงจุดต่างๆได้อย่างรวดเร็วและกล่าวสนับสนุนออกมา
“ความแข็งแกร่งของเจียงอี้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด หากคนในตระกูลรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ ไม่เพียงแต่มันจะไม่ถูกตำหนิเท่านั้น พวกเหล่าผู้อาวุโสอาจจะมองเห็นคุณค่าของมันอีกครั้ง!”
“ดีไม่ดี เจียงอี้อาจจะได้ตำแหน่งผู้สืบทอดหลักของตระกูลเลยด้วยซ้ำ! หากเวลานั้นมาถึง เกรงว่าคงจะเป็นพวกเราเองที่ถูกผลักลงเหวและไม่สามารถที่จะกำจัดมันได้อีกต่อไป!”
“พวกเราต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและเพียงแค่บอกคนอื่นว่าพวกเราปะทะกับลูกหลานตระกูลหม่าก็พอ พวกเราจะต้องรอให้พี่หลงกลับมาจากโถงวรยุทธก่อนแล้วค่อยขอให้เขาเป็นคนลงมือ… เพื่อจำกัดเจียงอี้!”
“พี่หลง?”
หัวใจของทุกคนรู้สึกเย็นวาบ จากนั้นพวกเขาก็ผงกศีรษะเห็นด้วยในทันที ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘พี่หลง’ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากพี่ชายของเจียงหยูหู่, เจียงหยูหลง! รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองของตระกูลเจียงและยังมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ด!
เมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งออกเดินทางไปยังโถงวรยุทธกับคุณชายใหญ่, เจียงเฮิ่นซุ่ย หากเขากลับมาและเห็นสภาพอันเลวร้ายของเจียงหยูหู่ เขาจะต้องระเบิดโทสะและสังหารเจียงอี้อย่างแน่นอน
เพื่อความไม่ประมาท เจียงหยูอิงจึงได้บอกให้ทุกคนยืนล้อมรอบเขาเพื่อที่จะเตี๊ยมคำพูดให้เหมือนกันเพื่อป้องกันความผิดพลาด จากนั้นพวกเขาก็รีบออกจากเขาซีชานและตรงกลับไปยังตำหนักตระกูลเจียง
แกร๊ก!
หลังจากที่กลุ่มของเจียงหยูหู่จากไป เงาร่างที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอก็เดินออกมาจากป่าข้างทาง เขาได้ยินทุกสิ่งที่พวกมันพูด แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของเขาก็ยังคงแสดงความโล่งอกออกมา
ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ที่พูดกับเจียงหยูหู่จะได้ผล!
เดิมที เจียงอี้ไม่ได้ต้องการที่จะสร้างความยุ่งยากโดยการบอกทุกสิ่งให้กับคนในตระกูลได้รับรู้เกี่ยวกับความสามารถที่เพิ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดของตน แต่เขาจงใจ ‘กระตุ้น’ เจียงหยูหู่ ไม่ให้ป่าวประกาศสิ่งที่เกิดขึ้นออกไป
บทสวดนิรนามเป็นทักษะลึกลับที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้ในการปรับแต่งแก่นแท้พลังสีดำ
เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นนี้ เจียงอี้ไม่ต้องการให้ใครได้รับรู้ โดยเฉพาะการตายของผู้เฒ่าหลิ่วที่ทำให้เขารู้สึกกังวล
เขากลัวว่าหากตระกูลนำเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกัน เขาจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ท้ายที่สุดแล้วนักปรุงยาผู้หนึ่งก็ยังมีความสำคัญอย่างมากต่อคนทั้งตระกูล
“เจียงหยูหลง? เหอะ! สิ่งที่ข้ากำลังขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา หากเจียงหยูหลงอยู่ในโถงวรยุทธหนึ่งหรือสองเดือนหรือมากกว่านั้น หากถึงเวลาที่ต้องต่อสู้กับนายน้อยผู้นี้ขึ้นมาจริงๆ ก็ยากที่จะบอกว่าใครคือผู้แพ้ ใครคือผู้ชนะ!”
เมื่อคิดว่าพลังของแก่นแท้พลังสีดำสามารถลบอักขระบนตราประทับได้และทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ดวงตาของเจียงอี้ก็เปล่งประกาย จากนั้นเขาก็รีบออกจากเขาซีชานอย่างรวดเร็ว…