ตอนที่แล้วตอนที่ 358 ได้พบพานกับลู่ฟางเอ๋ออีกครั้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 360 สถานการณ์ของม่งฉี

ตอนที่ 359 ทุบตีเสียงดังลั่น


* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *

**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**

เพี๊ยะ !

เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อฉาดใหญ่ดังสนั่นขึ้น ฝ่ามือนั้นประทับเข้าบนใบหน้าของสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น

ไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ทักษะการตบหน้าของหลงเฉิน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าเลยทีเดียว โหดเหี้ยมจนไม่อาจมีผู้ใดเทียบเคียงได้เลย

อีกทั้งหลงเฉินก็ยังเคยทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดมาแล้วหลายครั้ง นอกจากมุมองศาที่เหมาะสมแล้ว พลังความรุนแรงที่เสริมเข้าไป ยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลถึงความแม่นยำที่จะตบโดนเป้าหมายที่สูง เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แฝงจิตสังหารเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ก็ยังสามารถสังหารเป้าหมายได้ ยิ่งกว่านั้นแม้กระทั่งยอดฝีมือเองก็ยังยากที่จะเกิดตั้งรับได้ทัน

อีกทั้งยังนี่เป็นวิธีการโจมตีที่สร้างความอับอายให้ได้อย่างแสนสาหัส เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกาย กลับเรียกได้ว่าเป็นความเจ็บปวดที่มากมายเสียยิ่งกว่าการฆ่าแกงกันเลยทีเดียว

สุดยอดฝีมือผู้นั้น แทบไม่มีเวลาทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ก็ถูกหลงเฉินตบกรอกหูลอยไปแล้ว ตัวเขาลอยอยู่กลางอากาศสูงลิบลิ่ว ร่างกายบิดพริ้วไปตามกระแสความเร็วที่หลงเฉินซัดส่งออกไป

ร่างของสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น ลอยเข้าไปยังจุดที่หอยทากทองคำอยู่ หอยทากทองคำนั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ ก็แทบจะไม่จำเป็นที่จะต้องให้เจ้านายสั่งการเลยด้วยซ้ำ ใช้เขาอันใหญ่โต แทงเข้าไปอย่างรุนแรง

“โครม”

เขาทองที่มีขนาดใหญ่กว่าถังน้ำหลายเท่า กระแทกเข้าไปบนแผ่นหลังของสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นอย่างแรง จนถึงกับเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นตามมา

เรื่องทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นไม่สามารถมีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆได้ ยังไม่ทันจะไหลเวียนพลังคุ้มกายาขึ้น ก็ได้ถูกเขาทองกระแทกเข้าใส่อย่างจัง รู้สึกแต่เพียงกระดูกทั่วร่างแตกหักไปแล้ว พร้อมกับกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ครั้งหนึ่ง

การกระอักโลหิตออกมานี้ ยังไม่ถือว่าจบสิ้นเลยก็ว่าได้ แรงกระแทกทำให้ร่างของยอดฝีมือฝ่ายอธรรมนั้นลอยออกไปอีกทางด้านหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ก็มีเงาร่างขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่เขา

เงาร่างสายนั้นก็คือแมวหางปราณคู่นั่นเอง แมวหางปราณคู่ถือได้ว่ามีความว่องไวที่พิสดารเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งกรงเล็บที่เท้าทั้งสี่ก็ยังสามารถสาดประกายอันเย็นเยียบออกมา ทำการตะปบเข้าไปที่สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น

พริบตาเดียวหลังจากที่ถูกเขาทองคำนั้นแทงมาจากทางด้านโน้น สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมในที่สุดก็ทราบได้ถึงวิกฤติ จึงได้ทำการกระตุ้นพลังคุ้มครองร่างขั้นมานับตั้งแต่ตอนนั้น พร้อมกับมีพลองยาวอีกด้ามเพิ่มขึ้นในมือ ใช้เข้าต้านทานการโจมตีที่มาจากแมวหางปราณคู่ตัวนั้น

สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นในเวลานี้ จึงค่อยได้มีโอกาสเห็นบุคคลที่สามที่เข้ามาได้อย่างชัดเจน และทันทีที่ได้พบเห็นหลงเฉินแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเบิ่งตาโตขึ้น แล้วรีบวิ่งตะบึงออกไปยังที่ห่างไกล

ลู่ฟางเอ๋อที่เดิมทีคิดว่าวันนี้คงจะจบสิ้นแล้ว ทันใดนั้นเองเมื่อได้พบเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ต่อหน้า พร้อมทั้ง ชายหนุ่มผู้นั้นยังสามารถตบสุดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งผู้นั้นจนกระเด็นออกไปเพียงฝ่ามือเดียวได้อีก

และเมื่อในเวลาที่สุดยอดฝีมือผู้นั้น พบเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ภายในแววตาทั้งคู่ก็ได้ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาเป็นสาย ถึงกับสับเท้าวิ่งหนีไปในบัดดล

ในขณะที่กำลังมองไปที่แผ่นหลังของชายหนุ่มผู้ช่วยเหลือผู้นั้น ลู่ฟางเอ๋อกลับรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยขึ้นมาได้เป็นสาย แต่ทว่ายังไม่ทันได้พบเห็นใบหน้าที่แท้จริง แทบจะไม่อาจที่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด

“ไม่มีสัมมาคารวะเลยนะ จะไปก็ไม่ทักทายกันซักคำ เสี่ยวเสว่ย ส่งแขก!”

“อ๊าก”

เสี่ยวเสว่ยที่มีร่างกายที่ใหญ่โตนั้น ในทันทีที่ปรากฏกายออกมาได้ ก็อ้าปากกว้างขึ้น ส่งคมวายุสายหนึ่งออกมา พุ่งตรงเข้าไปหาสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น

ในช่วงแรกที่คมวายุพึ่งจะพุ่งออกมา มีขนาดความยาวเพียงแค่ไม่กี่ฉื่อเท่านั้น และในขณะที่กำลังลอยหมุนคว้างออกไปด้วยความรวดเร็วสูง ก็ได้สะสมพลัง จนทำให้ขยายขนาดใหญ่ขึ้น เพียงแค่ระยะทางร้อยจั้ง ก็ขยายใหญ่ขึ้นถึงกว่าร้อยเท่าไปแล้ว และในบริเวณที่คมวายุได้พุ่งผ่าน แม้แต่ใบหญ้าก็ต้องแหลกละเอียด ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งนัก

สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น ย่อมไม่กล้าที่จะต้านทานคมวายุของเสี่ยวเสว่ยโดยตรง จึงได้ออกแรงที่เท้า ดีดตัวกระโดดเหินขึ้นไป เพียงครั้งเดียวก็โดดขึ้นสูงถึงสิบกว่าจั้ง หลบรอดไปจากคมวายุที่ผ่านเท้านั้นไปได้

ทว่าแม้ว่าเขาจะหลบหลีกคมวายุไปได้ แต่ก็มีเสียงของสายลมดังขึ้นมาอีกระลอกในทันที วิกฤตการณ์แห่งความเป็นความตายถาโถมเข้าใส่อย่างรุนแรง สั่นคลอนไปทั้งจิตใจ และในขณะที่กำลังจะหันกลับมามองนั้นเอง

“พรวด”

ยังไม่ทันที่ยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นจะหมุนกายกลับมามองเพื่อประเมินสถานการณ์ได้สำเร็จ ทันใดนั้นร่างกายของเขาระเบิดจนละเอียด กลายเป็นเพียงละอองโลหิตฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งผืนฟ้า สุดยอดฝีมือผู้หนึ่ง จบสิ้นลงไปเช่นนี้

เมื่อสุดยอดฝีมือผู้นั้นได้ตายตกไป พลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาติของเขาก็ลอยออกมา ก่อรวมตัวกันขึ้นมากลางอากาศอย่างช้าๆ และเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ได้ลอยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าไป

ลู่ฟางเอ๋อมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน เสี่ยวเสว่ยโจมตีออกไปด้วยกันทั้งหมดแค่สองครั้ง ครั้งแรกนั้นก็คือบีบให้สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นต้องกระโดดขึ้นมา และการโจมตีครั้งที่สอง ก็ต่อเนื่องมาจากการโจมตีจากครั้งแรก หลังจากซัดพลังในครั้งแรกออกไป ยังไม่ทันให้สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นทำการหลบเลี่ยงได้เสร็จสิ้น ก็ซัดพลังโจมตีครั้งที่สองออกไปแล้ว การโจมตีทั้งสองครั้งถึงกับสามารถคร่าชีวิตสุดยอดฝีมือผู้หนึ่งไปได้ นี่มันจะไม่ง่ายดายเกินไปหน่อยหรอกหรือ

ขณะนี้ลู่ฟางเอ๋อกำลังตกตะลึงในพลังที่แข็งแกร่งของสุดยอดฝีมือผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือผู้นั้น นางจ้องมองแผ่นหลังของเขาด้วยแววตาชื่มชมระคนเลื่อมใส แต่ทันใดนั้นเองแววตานั้นก็ได้สลายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อบุรุษผู้นั้นค่อยๆหันกายกลับมา บนใบหน้าก็ได้ปรากฏรอยยิ้มสนิทชิดเชื้อพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า“คุณหนูฟางเอ๋อ ขออย่าได้ถือสาเลยนะ”

“เป็นเจ้า ? หลงเฉิน ?”

ลู่ฟางเอ๋อแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง จะอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่า คนผู้ที่กำลังอยู่ต่อหน้าในตอนนี้ ที่สามารถฟาดสุดฝีมือผู้หนึ่งให้ลอยกระเด็นไปได้ด้วยฝ่ามือเดียว จะเป็นหลงเฉินผู้นี้ไปได้

“มิผิดเป็นผู้น้อยเอง คุณหนูฟางเอ๋อ ยังคงมิลืมเลือนผู้น้อยไปสินะ” หลงเฉินอมยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว

ในส่วนของลู่ฟางเอ๋อ หลงเฉินย่อมยังคงมีความรู้สึกที่ดีด้วย เพราะเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ ลู่ฟางเอ๋อยังยินยอมที่จะเดินทางไกลนับหมื่นลี้ เพื่อที่มาส่งมอบเสี่ยวเสว่ยให้แก่เขา

ถึงแม้เสี่ยวเสว่ยนั้น จะเป็นม่งฉีที่มอบให้ แต่ทว่าเป็นลู่ฟางเอ๋อที่ลำบากลำบน ไม่ได้พักผ่อน อดหลับอดนอนสามวันสามคืน ข้ามผ่านทั้งดวงดาราและจันทรา เพื่อส่งมอบเสี่ยวเสว่ยให้เขา น้ำใจนี้หลงเฉินย่อมจดจำขึ้นใจมาโดยตลอด

“เป็นเจ้าจริงๆ ในวันนั้น……สวรรค์! หมาป่าหิมะแดงเพลิงพัฒนาเข้าสู่ขั้นที่สี่ได้อย่างไรกัน ?”

ลู่ฟางเอ๋อกำลังจับจ้องไปที่เสี่ยวเสว่ยที่อยู่ข้างกายของหลงเฉิน ในที่สุดก็จดจำได้แล้วว่า นี่ก็คือเจ้าตัวน้อยที่นางพามามอบให้แก่หลงเฉินก่อนหน้านี้นั้นเอง

เสี่ยวเสว่ยในเวลานี้ เติบโตขึ้นมาก ทั้งยังพัฒนาเข้าสู่ขั้นที่สี่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเลยก็ว่าได้ อีกทั้งตลอดทั่วทั้งร่างกายยังแผ่ซ่านไปด้วยแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งที่แปลกประหลาดเช่นกันอีกด้วย

เมื่อเสี่ยวเสว่ยปรากฏกาย สัตว์มายาทั้งสี่ตนของลู่ฟางเอ๋อ ต่างก็หมอบลงกับพื้นอย่างว่านอนสอนง่าย ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน

“เหอะเหอะ เสี่ยวเสว่ยเองก็มีวาสนาของมัน มา เสี่ยวเสว่ย ไปหาคุณหนูฟางเอ๋อเร็ว เป็นนางที่เดินทางไกลมานับหมื่นลี้เมื่อครั้งก่อน เพื่อพาเจ้ามาให้ข้าเลยนะ” หลงเฉินขยี้ขนฟูนุ่มของเสี่ยวเสว่ยไปทั่วทั้งตัว แล้วกล่าว

ในส่วนที่ประหลาดของเสี่ยวเสว่ย ถือได้ว่าเป็นดั่งความลี้ลับที่ยากจะเข้าถึงได้ในโลกของยอดฝีมือแห่งดินแดนหลิง หาใช่เป็นเพราะหลงเฉินนั้นเชื่อลู่ฟางเอ๋อ แต่ทว่าเรื่องเหล่านี้ หากไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าว ยังคงไม่เอ่ยออกมายังจะดีเสียกว่า

“โบร๋วโบร๋ว”

เสี่ยวเสว่ยเองก็ได้ใช้จมูกดมกลิ่นไปรอบๆตัวลู่ฟางเอ๋อพร้อมกับครางเบาๆออกมา แสดงท่าทีที่สนิทชิดเชื้อเป็นอย่างยิ่งออกมา

“เหอะเหอะ เสี่ยวเสว่ยบอกว่า มันยังจำกลิ่นของเจ้าได้อยู่เลยนะ” หลงเฉินยิ้มกว้างพร้อมกล่าวอธิบาย

“เป็นมันจริงอย่างนั้นหรือ”

ลู่ฟางเอ๋อเมื่อได้ทราบว่าเสี่ยวเสว่ยคือหมาป่าหิมะแดงเพลิงตัวนั้นจริง ก็แทบไม่อยากที่จะเชื่อเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังได้ลูบไปที่เส้นขนของเสี่ยวเสว่ยเบาๆ ทันใดนั้นก็ทอสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

“เจ้าถึงกับไม่ได้ลงรอยประทับจิตวิญญาณให้กับมันอย่างงั้นหรือ ?”

สัตว์มายาแต่เดิมก็เรียกได้ว่ามีความอำมหิตเป็นอย่างยิ่ง หากว่าไม่ได้ลงรอยประทับจิตวิญญาณเอาไว้ ก็พร้อมที่จะแว้งกัดได้ทุกเวลา หรือต่อให้มีรอยประทับจิตวิญญาณ แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจที่จะสามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่า สัตว์มายาจะไม่ทรยศเจ้านาย

อีกทั้งเมื่อครู่นางยังได้พบว่า เสี่ยวเสว่ยนั้นได้ถูกเรียกมาจากช่องว่างแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉิน ซึ่งการควบคุมจิตวิญญาณเช่นนั้น ย่อมต้องเป็นเรื่องถนัดของผู้ฝึกสัตว์อย่างนางเป็นที่สุดอยู่แล้ว

ดังนั้นลู่ฟางเอ๋อจึงเข้าใจขึ้นมาได้ในทันที ว่าหลงเฉินนั้น เพียงพึ่งพาแต่จิตวิญญาณ ก็สามารถที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับหมาป่าหิมะแดงเพลิงตนนี้ได้ถึงเพียงนี้ จนสามารถทำให้มีจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงถึงกันได้

ทว่าความสัมพันธ์เช่นนี้กลับถือได้ว่าอันตรายมากเหลือประมาณ ถ้าหากมีวันใดที่เสี่ยวเสว่ยคิดทรยศหลงเฉินขึ้นมา หลงเฉินก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นเองที่ทำให้ลู่ฟางเอ๋อจึงรู้สึกตกใจขึ้นมา

หลงเฉินส่ายหน้าไปมา พร้อมกับลูบไปที่หัวอันใหญ่โตของเสี่ยวเสว่ยแล้วกล่าวว่า : “เสี่ยวเสว่ยมิใช่สัตว์เลี้ยง แต่ว่ามันเป็นเพื่อนแท้ของข้า เพื่อนที่สามารถเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแทนกันได้ แล้วข้าเองก็เชื่อใจมัน”

“โบร๋วโบร๋ว”

เสี่ยวเสว่ยส่งเสียงร้องตอบรับวาจาของหลงเฉิน ออกมาเบาๆ ภายในแววตาทั้งคู่ก็ได้เปี่ยมไปด้วยกระแสความอบอุ่น และจงรักภักดี มันใช้หัวที่ใหญ่โตวางพาด อิงซบกับร่างของหลงเฉินเอาไว้ คล้ายดั่งกำลังกับเท้าคางลงไปเบาๆบนตัวของหลงเฉิน

เมื่อสัมผัสถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่แนบแน่นระหว่างหลงเฉินกับเสี่ยวเสว่ยได้ ลู่ฟางเอ๋อก็อดทอดวงตาแดงก่ำขึ้นมาไม่ได้ ด้วยพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง จึงทำให้นางสามารถสัมผัสความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างหลงเฉินกับเสี่ยวเสว่ยได้อย่างง่ายดาย

การที่เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์นั้น สำหรับพวกนางสัตว์มายาไม่ได้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังถือได้ว่าเป็นดั่งสหายของพวกนางก็ว่าได้ แต่ทว่าด้วยลักษณะนิสัยที่ดุร้ายของสัตว์มายา ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยอกล้อเล่นกับพวกมันได้ จึงได้แต่พึ่งพาพลังแห่งจิตวิญญาณอันแกร่งกล้า ตีตราทาสให้กับพวกมัน หากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ตนเองก็อาจจะต้องตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเวลา

“เจ้าก็ช่างคล้ายกับม่งฉีเกินไปแล้ว ม่งฉีนางตั้งใจที่จะจับสัตว์มายาที่แข็งแกร่งในแดนลับแห่งนี้ซักหลายตัว จนถึงกับว่า ในช่วงที่ยังอยู่ที่โลกภายนอกนั้น นางได้ทำการปลดรอยประทับให้กับสัตว์มายาที่นางมีอยู่เดิมไปจนหมดสิ้นด้วย” ลู่ฟางเอ๋อถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว

“อา ? เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่มีสัตว์มายาคอยคุ้มกันด้วยสิ เช่นนั้นมิใช่ว่านางกำลังตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างยิ่งหรืออย่างไร ?” หลงเฉินตกใจขึ้นมา

ผู้ฝึกสัตว์ที่ไม่มีสัตว์มายาคอยคุ้มกัน ก็คล้ายกับหอยทากที่ไร้ซึ่งเปลือกกระดอง ทั้งยังกลายเป็นอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาภายในขอบเขตแดนลับนพเก้า ซึ่งมีอันตรายรอบด้านอยู่ทุกหนแห่งเช่นนี้

“ใช่ อันตรายเป็นอย่างยิ่งเลยละ แต่ว่าเจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป ม่งฉีนางมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งกล้าอย่างไร้เทียมทาน การคุ้มครองตนเองย่อมไม่ถือว่าเป็นปัญหาอยู่แล้ว” ลู่ฟางเอ๋อก็ได้กล่าวปลอบขึ้นมา

เมื่อได้ยินลู่ฟางเอ๋อกล่าวเช่นนั้น หลงเฉินก็วางใจได้ไม่น้อย ลู่ฟางเอ๋อและม่งฉีถือได้ว่าเปรียบเสมือนพี่น้องท้องเดียวกัน นางย่อมต้องไม่หลอกลวงเขาอย่างแน่นอน

“เป็นเจ้า หลงเฉินเป็นเจ้าจริงๆ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่พบกันเพียงแค่ปีเศษ เจ้าถึงกับเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปแล้ว

แม้แต่สุดยอดฝีมือ ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ถูกเจ้าฆ่าตายได้ในฝ่ามือเดียว นี่ช่างแข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว” ลู่ฟางเอ๋อมองสำรวจหลงเฉิน ภายในดวงตาคู่งามก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

“เหอะเหอะ ความดีความชอบต่างก็เป็นของเสี่ยวเสว่ย อีกทั้งเสี่ยวเสว่ยยังเป็นลู่ฟางเจี่ยเจีย มอบให้แก่น้องผู้นี้ จะว่าไปแล้ว นี่ก็ต้องเป็นความดีความชอบของเจี่ยเจียแล้ว” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว

“เจ้านะเจ้า ปากหวานเช่นนี้นี้ ในช่วงที่ผ่านมานี้ คงจะล่อลวงหญิงสาวไปไม่น้อยเลยสิท่า” ลู่ฟางเอ๋อยิ้มแล้วกล่าว

“มีที่ไหนกัน” หลงเฉินมีใบหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วกล่าวตอบ

“ความจริงแล้วม่งฉีก็คอยเฝ้าดูเจ้ามาโดยตลอดเช่นกัน ตอนที่อยู่ที่หมู่ตึกจิตวายุ ก็มักจะคอยอ้อนวอนมาโดยตลอด ให้มาคอยจับตาดูเจ้า

สุดท้าย พอเจ้าได้เข้าไปยังหมู่ตึกพลิกสวรรค์แล้ว ทางด้านนี้ก็ได้พบกับเรื่องบางอย่างเสียก่อน จึงทำให้ขาดข่าวสารของเจ้าไป

คิดไม่ถึงว่า เจ้าจะอยู่ที่หมู่ตึกพลิกสวรรค์มาแล้วระยะหนึ่ง อีกทั้งยังพัฒนาไปมาก และเรื่องราวก็ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายถึงเพียงนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจเหลือเกิน” ลู่ฟางเอ๋อก็ได้กล่าวขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจ

ในตอนที่อยู่ในจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง หลงเฉินนั้นเป็นเพียงแค่ผักปลาที่อยู่ในขั้นก่อรวมตัวเล็กๆคนหนึ่ง เมื่อต้องมาเทียบสถานภาพกับม่งฉี ก็ช่างต่างกันราวฟ้ากับดินเลยจริงๆ

แต่ว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆเพียงแค่หนึ่งปี หลงเฉินถึงกับมีการพัฒนาได้ถึงเพียงนี้แล้ว แม้แต่ลู่ฟางเอ๋อก็ยังคิดที่จะคอยจับตามอง

หลงเฉินเมื่อได้ยินว่าม่งฉีใส่ใจตัวเขาถึงเพียงนี้ ภายในจิตใจก็เกิดความอบอุ่นขึ้นมาเป็นระลอกแล้วระลอกเล่า ที่แท้น่าก็คอยเป็นห่วงเป็นใยตัวเขามาโดยตลอดนั่นเอง

“แต่ว่า หลงเฉินเจ้าน่ะ ได้ไปล่วงเกินผู้คนมาบ้างสินะ มีคนได้บันทึกภาพเหมือนของเจ้าไว้ และเผยแพร่ออกไปไม่หยุดด้วยสิ” ลู่ฟางเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

หลงเฉินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทอสีหน้าดำคล้ำเคร่งเครียดขึ้นมา ตัวโง่งมเหล่านี้ ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาซะเลย คิดจะใส่ร้ายเขาอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเขาจะกระโดดลงแม่น้ำฮวงโหวก็ยังไม่อาจที่จะชำระมลทินนี้ได้สิ้น

“เจ้าพวกตัวโง่งมพวกนั้น อยากจะเล่นอะไรก็ช่างมันเถอะ”

แล้วหลงเฉินก็ได้ทำการเล่าเรื่องราวทั้งหมด ให้แก่ลู่ฟางเอ๋อฟังไปรอบหนึ่ง ต่อให้เป็นคนโง่เขลา ก็ยังมองออกว่า ภาพบันทึกที่เกิดขึ้นนั้นไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ ยังไงก็ต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน

แต่ว่าภายในฝ่ายธรรมะกลับมีตัวโง่งมมากมายจนเกินไปแล้ว โดยเฉพาะยังมีคนบางส่วนที่คอยยุยงส่งเสริมในทางลับ จนทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ขณะนี้ราวกับว่าทั่วทั้งฝ่ายธรรมะ ต่างก็ทราบแล้วว่าหลงเฉินนั้นเป็นปีศาจราคะที่ขวัญกล้าเทียบฟ้า และเป็นดั่งเป้าหมายอันดับหนึ่งของการสวมบทบาทเป็นผู้ผดุงธรรมจากทุกผู้คน

“ยินหวูซวงผู้นั้นเหตุใดถึงได้โหดเหี้ยมอำมหิตได้ถึงเพียงนั้นกัน นี้มิใช่เพียงแต่จะทำให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งยังคิดที่จะฆ่าเจ้าอีก และทำให้เจ้าต้องมากลายเป็นหินรองเท้าให้แก่ผู้อื่นอีก” เมื่อได้ยินหลงเฉินเล่าเรื่องที่ผ่านมาจบ ลู่ฟางเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ

“หินรองเท้า เหอะเหอะ เช่นนั้นข้าก็จะเป็นหินรองเท้าให้ซักครั้งก็แล้วกัน ข้าอยากเห็นว่าจะมีผู้ใดกล้าที่จะมาเหยียบหินรองเท้าเช่นข้า !” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ภายในดวงตาทั้งคู่ฉายแววโหดเหี้ยม

“หลงเฉิน นี้แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการหาที่ตายเลยนะ เจ้าอย่าได้วู่วามไป” ลู่ฟางเอ๋อกล่าวเตือนขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

หลงเฉินในเมื่อต้องมาตกอยู่ในแผนการเลวร้ายของผู้อื่น ที่ทำให้ต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของฝ่ายธรรมะด้วยกันเอง โดยที่ไม่สามารถเอาคืนได้เลย เพราะหากทำเช่นนั้นก็คงจะมีแต่กลายเป็นยิ่งถูกผู้อื่นกล่าวหา ดังนั้นเท่ากับว่าแม้แต่โอกาสล้างมลทินก็ยังไม่มีแล้ว

“เรื่องนี้ ข้าจะหาวิธีจัดการเอง วางใจเถอะ ลู่ฟางเจีย เจ้าลองเล่าเรื่องของฟ่งเซียวจื่อผู้นั้นให้ฟังหน่อยเถอะ”

.

.

.

* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *

**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด