ตอนที่ 355 การพบกันกับศิษย์พี่ฉีอีกครั้ง
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**
“เจ้าหนู อย่าเอาแต่หลบซ่อน หากอยากรู้จักข้าก็รีบโผล่หัวออกมาซะ บางทีข้าอาจจะเมตตาไว้ชีวิตสุนัขๆ ของเจ้า”
ทันใดนั้น ก็ได้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นต่อหน้าหลงเฉิน คนผู้นี้ ดูไปแล้วมีอายุราวยี่สิบกลางๆ รูปร่างสูงโปร่ง โครงหน้าได้รูป เมื่อมองดูก็ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์อยู่บ้าง แต่ทว่ากลับไม่อาจซ่อนเร้นความอวดดีเอาไว้ได้เลยแม้แต่น้อย และความอวดดีที่ปรากฎอยู่ระหว่างคิ้วนั่น ก็ทำลายคุณสมบัติดีงามที่เขามีไปจนหมดสิ้น
สภาวะร่างกายของชายหนุ่มผู้นี้ บ่งบอกชัดเจนว่า เขาได้บรรลุถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายไปแล้ว ซึ่งนั่นถือได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่มากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แม้เขาจะเพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ แต่กลับสามารถทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาได้เลยทีเดียว นั่นนับว่าเป็นการกดดันฝ่ายตรงข้ามในรูปแบบหนึ่ง ที่อาศัยเพียงแค่พลังแห่งจิตวิญญาณที่มีอยู่เป็นปกติอยู่แล้วเท่านั้น
เมื่อหลงเฉินมองเห็นชายหนุ่มผู้นั้นอย่างชัดเจน บนใบหน้าของเขาก็ได้ปรากฏรอยยิ้มยินดีชนิดหนึ่งขึ้น เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างเนิ่นนาน พร้อมทั้งยังกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงชิดเชื้อเป็นอย่างยิ่งว่า
“พี่ ‘อาจมฉี’ ไม่พบเจอกันนานเลยนะ”
คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น เมื่อครั้งที่อยู่จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงก่อนหน้านี้ ในยามที่กำลังจะแยกกับม่งฉี ชายหนุ่มผู้นี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ซึ่งลู่ฟางเอ๋อเรียกขานเขาว่าศิษย์พี่ฉี
ในเวลานั้น หลงเฉินยังเป็นเพียงแค่ผักปลาที่มีพลังอยู่ในขอบเขตขั้นก่อรวมผู้หนึ่งเท่านั้น ส่วนศิษย์พี่ฉีในยามนั้นเป็นถึงยอดฝีมือผู้ที่มีสัตว์มายาขั้นที่สองเป็นพาหนะแล้ว
ในครั้งนั้น หลังจากที่ม่งฉีแยกจากไป ศิษย์พี่ฉีผู้นี้ก็ได้ลงมือจัดการกับหลงเฉิน หมายที่จะทำให้เขากลายเป็นคนพิการไป ยังดีที่ม่งฉีนึกสังหรณ์ใจเอาไว้แต่แรกแล้ว สั่งให้ลู่ฟางเอ๋อคอยสอดส่องระวังป้องกันให้เขา จึงทำให้หลงเฉินรอดพ้นจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้นไปได้
เมื่อตอนนั้นหลงเฉินเกิดโทสะอย่างหนัก เขาและศิษย์พี่ฉีผู้นี้ไม่เคยมีบุญคุณความแค้นต่อกันมาก่อน พึ่งจะพบหน้ากันเพียงไม่กี่ลมหายใจ ก็หมายที่จะทำให้เขากลายเป็นคนพิการไปเสียแล้ว
หลงเฉินในตอนนั้นสาบานเอาไว้ว่า ถ้าหากวันใดได้พบกับศิษย์พี่ฉีอีกครั้ง เขาจะต้องกลายเป็นพี่ ‘อาจมฉี’ อย่างแน่นอน
ดังนั้นในยามนี้หลงเฉินได้พบศิษย์พี่ฉีอีกครั้ง เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง นี่เป็นดั่งปรากฏการณ์ที่น่าตกใจระคนดีใจที่สวรรค์ประทานมาให้เลยทีเดียว
“เจ้ารู้จักข้าด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อได้เห็นหลงเฉินทอสีหน้าตกใจระคนดีใจมองมาที่ตนเอง ศิษย์พี่ฉีก็ได้เกิดความสงสัยขึ้นมา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถาม
“เหอะเหอะ ย่อมต้องรู้จัก ย่อมต้องรู้จักอย่างแน่นอน ข้าจดจำท่านได้ดียิ่ง ตัวท่านติดตราตรึงฝั่งแน่นอยู่ในใจข้าเลยทีเดียว” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว
“แต่ข้าจดจำเจ้าไม่ได้ซักนิด เจ้าอย่ามาเล่นลูกไม้กับข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างอเนจอนาจอย่างแน่นอน” ศิษย์พี่ฉีส่งเสียงดังเชอะออกมาอย่างเย็นชา แล้วข่มขู่หลงเฉินด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้ยความโอ้อวดถือดี
เพราะศิษย์พี่ฉีนั้น ไม่ว่าจะมองหลงเฉินอย่างไร ก็รู้สึกว่าเขาดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้นึกไม่ออกเลยว่าจะเคยพบเจอกับคนตรงหน้ามาก่อน
“ต้องการให้ข้าย้ำเตือนความจำด้วยหรือไม่ ? บนยอดเขาสูง ณ จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง พร้อมกับคุณหนูม่งฉี นึกขึ้นมาได้หรือยัง ?” หลงเฉินเอ่ยอธิบายและวาดไม้วาดมือประกอบคำพูดด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
ศิษย์พี่ฉีเองก็ตกใจขึ้นมาไม่น้อย ในที่สุดก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนหุบเขาเมฆาคล้อยขึ้นมาได้ ในสายตาของเขาในเวลานั้น เห็นเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงแค่แมลงตัวหนึ่งเท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าจากกันมาเพียงปีเศษ จะถึงกับมีความรุดหน้าได้ถึงเพียงนี้ อยู่ในระดับพลังขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเช่นเดียวกันกับเขาแล้ว อีกทั้งยังได้เข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้าอีกด้วย
“จดจำข้าได้แล้วใช่หรือไม่ ? เหอะเหอะ ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีวาสนาต่อกันอย่างแท้จริงนะ” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยทางท่ายินดี
“มีวาสนาต่อกันงั้นหรือ ? เหอะ ! ไม่เลว ช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ ครั้งที่แล้วที่กำลังจัดการกับตัวบัดซบอย่างเจ้าอยู่ กลับถูกลู่ฟางเอ๋อขัดขวางเสียได้ ครั้งนี้ข้าจะดูว่าเจ้าจะหลบหนีไปได้ถึงไหน” ศิษย์พี่ฉีเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
หลงเฉินเกิดอาการ ‘ตกใจ’ ขึ้นมา เขากล่าวออกมาด้วยความไม่เข้าใจว่า “เหตุใดถึงอยากฆ่าข้ากัน ?”
“เจ้าหนู ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะแกล้งบื้อ หรือว่าจะบื้อจริง วันนี้เจ้าจะต้องตายสถานเดียว ตอนนี้ไม่มีคนช่วยเจ้าได้อีกแล้ว
ทำความเข้าใจกันหน่อย บอกข้ามา เจ้าเป็นคู่หมั้นของม่งฉีใช่หรือไม่ ? ตอบมาตามตรง แล้วข้าจะทำให้เจ้าตายสบายๆ แต่ถ้าหากไม่บอกออกมา……เหอะ เจ้าไม่ได้ตายดีแน่ ! ” ศิษย์พี่ฉีก็ได้ข่มขู่หลงเฉินด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลงเฉินพยักหน้าไปมา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูไปแล้วครั้งที่แล้วที่ม่งฉีมาขอถอนหมั่นเขา จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยอย่างแน่นอน
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ศิษย์พี่ฉีคิดจะจัดการกับเขาก่อนหน้านี้นั้น จะมีสาเหตุมาจากเรื่องของม่งฉี เพียงแต่ไม่ทราบว่า การกระทำของเขานั้น เกิดขึ้นด้วยตัวเขาเองหรือว่ามีคนเป่าหูเขาอยู่กันแน่
“ใช่แล้ว ข้าก็คือคู่หมั่นของม่งฉี และเป็นบุรุษในอนาคตของนางอย่างไรล่ะ” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
“ฮ่าฮ่า เจ้ายังคิดที่จะสู่ขอศิษย์น้องม่งฉีอยู่อีกอย่างนั้นนหรือ ? ช่างไม่เจียมกะลาหัวตัวเองเลยจริงๆ ตัวโง่งมอย่างเจ้าน่ะอย่าได้คิดฝัน นี่แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขอยากกินเนื้อห่านฟ้าเลย” เมื่อเห็นท่าทีที่ภาคภูมิใจของหลงเฉิน ศิษย์พี่ฉีก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย้ยหยั่นออกมาไม่หยุด
“ในหมู่ตึกจิตวายุของพวกเรา ศิษย์น้องม่งฉีนั้น เป็นดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ทั้งยังมีพรสวรรค์ที่เปี่ยมล้นเป็นอย่างยิ่ง มีสุดยอดฝีมือจำนวนไม่น้อย ที่ยินยอมซบอยู่แทบชายกระโปรงของนาง
กับไอ้หนูที่มีพลังอยู่แค่ในขั้นขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่หนึ่งอย่างเจ้า คิดจะสู่ขอนางฟ้าในดวงใจของพวกเรา ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันยิ่งนัก
ทว่าเห็นแก่ที่เจ้าเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมา จนทำให้ข้ามีความเบิกบานไม่น้อย ข้าเป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว จะให้โอกาสแก่เจ้าสักครั้ง ส่งมอบแหวนมิติออกมา จากนั้นก็ทำลายพลังฝีมือของตนเองซะ แล้วเจ้าก็ฉวยโอกาสนี้ ……”
“ผัวะ”
หลงเฉินเดิมทีคิดที่จะปล่อยให้เขากล่าววาจาออกมาอีกซักหลายประโยค เพราะถ้าหากเขาได้ลงมือขึ้นมา ก็เกรงว่าจะไม่อาจยับยั้งพลังของตนเองเอาไว้ได้ คงต้องบดขยี้เขาจนแหลกเหลวเหลือเพียงก้อนเนื้อเละๆไปในคราเดียว
เดิมทีหลงเฉินคิดจะรอดูให้จบว่าอีกฝ่ายจะสบประมาท ท้าทายเขาอย่างไร กระนั้น แม้สมองจะคิดว่ายังพอจะควบคุมความโกธรได้อยู่ แต่ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง ฟาดเข้าไปที่ใบหน้าแสนเหย่อหยิ่งของศิษย์พี่ฉีนั้นไปเสียได้
ฝ่ามือที่ฟาดเข้าไปนั้น พูดได้คำเดียวว่า โหดเหี้ยมยิ่งนัก ถ้าหากมิใช่เป็นเพราะศิษย์พี่ฉีมีระดับพลังบรรลุถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายแล้วละก็ ฝ่ามือนี้ของหลงเฉินก็คงจะทำให้หัวสมองของศิษย์พี่ผู้นี้แหลกเละไปแล้วก็ได้
ดูราวกับว่า เพียงแค่กระบวนท่าเดียวนั้นยังไม่ทันจะทำให้หลงเฉินมีสติรู้ตัวกลับคืนมาได้ทัน ในสภาวะที่ปฏิกิริยาทางร่างกายไร้การกลั่นกรองด้วยสติปัญญา ทำให้หลงเฉินกลับยังคงตบกรอกปากศิษย์พี่ฉีอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ฟันในปากหลุดกระจายออกมา
“ซูม”
หลงเฉินไม่รอให้ศิษย์พี่ฉี ได้ลุกขึ้นยืนได้ เพียงแค่เขายกตัวขึ้นมา ก็จับยึดศีรษะของศิษย์พี่ฉีไว้ พร้อมกับกระแทกหัวเข่าเข้าไปที่จมูกของศิษย์พี่ฉีอย่างรุนแรง
“กร๊อบ”
เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้น พร้อมกับเสียงร้องอันเจ็บปวด เสียงนั้นทำให้แทบทุกคนที่ได้ยินต้องเกิดอาการเสียวสันหลังวาบ ทว่าเสียงอันเจ็บปวดนั้นก็มีเพียงเสียงของศิษย์พี่ฉีเท่านั้น ตลอดเวลาที่ทั้งสองคนปะทะกัน หลงเฉินเป็นผู้กระทำทั้งหมดแต่เพียงฝ่ายเดียว
“พรวด”
พลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวของหลงเฉิน ทำให้ร่างของศิษย์พี่ฉีลอยสูงขึ้น ลอยคว้างเป็นเส้นโค้งอย่างงดงาม ท่ามกลางละอองโลหิตที่สาดกระจายไปทั่ว
หลังจากนั้นชั่วครู่หลงเฉินก็ได้สติรู้ตัวกลับมา เขาได้แต่มองไปที่มือทั้งสองข้างของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่เขาขาดสติถึงกับลงมือทุบตีผู้คนไปเสียแล้ว
นี่ก็เท่ากับว่าความอดทนของเขายิ่งนานวันก็ยิ่งลดน้อยถอยลง การใช้กำลังอย่างโง่เขลาเพื่อตัดสินปัญหากลับกลายเป็นยิ่งมากขึ้นงั้นหรือ ? เขาลงมืออย่างไร้สติไปได้อย่างไรกัน
“ตัวบัดซบ ไปตายซะ”
ศิษย์พี่ฉีลุกขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่โชกไปด้วยเลือด เขารู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนเองแทบจะไม่อยู่ในสภาพหน้าเดิมอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกเพียงแต่ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังไหลออกมาจากเบ้าตาลงมาจนถึงจมูก แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ราวกับว่าผิวหนังไร้ซึ่งความรู้สึกไปเสียแล้ว
ในสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว กลับต้องมาถูกเจ้าหนูที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่หนึ่งผู้หนึ่งลอบทำร้าย ผู้ฝึกสัตว์ที่สูงศักดิ์ ต้องมาได้รับบาดเจ็บอย่างน่าอับอายเฉกเช่นนี้ไปเสียได้ นี่ทำให้ทั่วทั้งใบหน้าของเขาร้อนผาวขึ้นมา
“สัญญาการเรียกหา”
ศิษย์พี่ฉีก็ได้พลิกทั้งสองแขนขึ้นเสมออก พร้อมทั้งคำรามออกมาเสียงดัง บรรยากาศเกิดการสั่นไหวขึ้น สัตว์มายาขนาดใหญ่สามตน ก็ได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของศิษย์พี่ฉี
สิ่งที่ทำให้หลงเฉินรู้สึกตื่นตกใจก็คือ สัตว์มายาทั้งสามตนนั้น สองตนเป็นพยัคฆ์ขาวตาขวาง อีกตนเป็นงูเหลือมยักษ์เกล็ดศิลา
พยัคฆ์ทั้งสองตนถือได้ว่าเป็นสัตว์มายาระดับสูงสุดในหมู่สตว์มายาขั้นที่สาม พวกมันมีลำตัวยาวกว่าสิบจั้ง แฝงเอาไว้ด้วยสภาวะที่แข็งแกร่ง และงูเหลือมยักษ์เกล็ดศิลาตนนั้น เป็นถึงสัตว์มายาระดับที่สี่ มีขนาดตัวยาวถึงร้อยจั้ง และถึงแม้ว่าจะอยู่ในระดับสี่ขั้นต้น แต่ก็เทียบได้กับสุดยอดฝีมือผู้หนึ่งได้เลย
“ไม่แปลกใจเลย ที่ว่ากันว่า ผู้ฝึกสัตว์นั้นถือเป็นการดำรงอยู่ที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่ามีพลังอยู่แค่ขั้นขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น แต่กลับสามารถควบคุมสัตว์มายาระดับที่สี่ได้แล้ว”
สัตว์มายาระดับที่สี่นั้น สามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธ์ในระดับยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์มายานั้นมีพลังทางกายภาพที่รุนแรงอย่างไร้ที่เปรียบ รวมไปจนถึงพลังป้องกันที่สุดยอด หากว่าเป็นยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ที่มีพลังอยู่ต่ำกว่าขอบเขตปรือกระดูก ก็แทบจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์มายาเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
และศิษย์พี่ฉีก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกสัตว์สามัญผู้หนึ่ง แต่ยังถึงกับสามารถควบคุมสัตว์มายาระดับที่สี่ได้ นี่ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกได้เลยทีเดียว
“ตัวบัดซบ เจ้าถึงกับกล้าที่จะลงมือต่อผู้ฝึกสัตว์อันสูงส่ง วันนี้เจ้าไม่ได้ตายดีแล้ว ข้าจะเอาวิญญาณของเจ้าออกมา แล้วจัดการทรมานไปนับร้อยปี” ศิษย์พี่ฉีที่ตอนนี้บนใบหน้ามีรอยยุบ อีกทั้งบนจมูกยังเป็นบี้แบนและบุบลงไปหลุมขนาดใหญ่ ในเวลานี้ก็ยิ่งทวีความเกี้ยวกราดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในตอนนี้ สิ่งที่ศิษย์พี่ฉีคิดจะกล่าวก่อนหน้านี้ ก็ไม่อาจที่จะกล่าวออกมาได้แล้ว เพราะว่าฟันของเขานั้นหายไปทั้งหมด ดังนั้นในขณะที่เอ่ยวาจาจึงมีลมลอดผ่านช่องที่เคยเป็นฟัน จนทำให้ไม่อาจที่จะฟังได้รู้เรื่อง
ในขณะที่กำลังฟังวาจาของศิษย์พี่ฉี หลงเฉินก็รู้สึกว่าห้วงสมองของตนเองเกิดเสียงดัง ดั่งลมผ่านเข้ามาที่มากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบที่รับมือแทบไม่ทัน
ศิษย์พี่ฉีผู้นี้ถือได้ว่าแข็งแกร่งเกินไปแล้ว เพียงชั่วพริบตา ก็สามารถที่จะพลิกวิกฤตที่ตนเองประสบมาเป็นโอกาสในการควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
“บุก”
ศิษย์พี่ฉีกลืนโอสถรักษาอาการบาดเจ็บลงไปเม็ดหนึ่ง แล้วออกคำสั่งแก่สัตว์มายาให้เข้าโจมตีหลงเฉินด้วยเสียงที่ฟังดูอู้อี้ยิ่งนัก และทันใดนั้นสัตว์มายาสามตนนั้น ก็ได้คำรามขึ้นมาเสียงดังกึงก้อง จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าใส่หลงเฉิน
“เสี่ยวเสว่ย เอาพวกมันให้ตาย”
หลงเฉินไม่เอ่ยอะไรออกมา เพียงแต่ชักนำเสี่ยวเสว่ยออกมาในทันที เพราะเขาไม่กล้าที่จะลงมืออีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเกรงว่าครั้งต่อไปเขาก็จะยังคงไม่อาจที่จะควบคุมตัวเองเอาไว้ได้อีก
“กัซ”
ทันทีที่เสี่ยวเสว่ยปรากฏตัวขึ้น ก็มาพร้อมกับเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังสนั่นไปทั่วทั้งผืนฟ้า แผ่กระจายไปทุกสารทิศ เส้นขนหนาเงางามที่ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างก็ลุกชันขึ้น พร้อมกับพลังสภาวะที่รุนแรงน่ากลัวแผ่พุ่งออกมา
ทันทีที่เสี่ยวเสว่ยปรากฏกายออกมา ก็ได้หันเข้าไปเผชิญหน้ากับสัตว์มายาทั้งสามตน และในทันทีที่สัตว์มายาทั้งสามกำลังจะขยับร่างกาย พวกมันก็สัมผัสได้ถึงพลังแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวที่แผ่ออกมาจากตัวของเสี่ยวเสว่ย
หากเทียบกับการต่อสู้ระหว่างเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นั้น เรียกว่าแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง พลังการต่อสู้ของสัตว์มายานั้นถือได้ว่าตรงไปตรงมามากยิ่งกว่า นอกเหนือไปจากสัตว์มายาจำพวกที่มีการโจมตีด้วยพิษแล้ว โดยส่วนมากต่างก็ดูเพียงว่าสัตว์มายาตัวใดมีพลังกดดันที่รุนแรงกว่ากัน สัตว์มายานั้นก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
เมื่อมีพลังในการควบคุมเช่นนี้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับระดับความเร้นลับของความสามารถของสัตว์แต่ละตนแล้ว ซึ่งสัตว์มายาทุกตัวล้วนมีระดับพลังติดตัวมานับตั้งแต่กำเนิด และจะอย่างไรก็ไม่อาจที่จะหลุดพ้นจากสิ่งนี้ไปได้
ดังนั้นทันทีที่เสี่ยวเสว่ยปรากฏกายขึ้นมา ก็ปลดปล่อยพลังสภาวะของตัวมันเองออกมา เพื่อทำการควบคุมสัตว์มายาทั้งสามตนในทันที แม้แต่งูเหลือมยักษ์ระดับสี่ตนนั้น ก็ยังไม่มีข้อยกเว้น
“ซูม”
ทันใดนั้นในบรรยากาศก็เกิดการสั่นไหวขึ้น เสี่ยวเสว่ยอ้าปากกว้างออก พร้อมกับพ่นคมวายุขนาดใหญ่ออกมาสายหนึ่ง ดุจดั่งคมมีดมรณะจากยมฑูตแหวกอากาศเข้ามา แล้วฟันเข้าไปยังทางด้านของสัตว์มายาทั้งสามตน
ที่และสิ่งที่ทำให้หลงเฉินรู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือ พยัคฆ์ตาขวางทั้งสองตนนั้น ภายในแววตาทั้งสองข้างกลับเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ถึงกับตัวแข็งค้าง ไม่สามารถหลบเลี่ยงคมวายุนั้นได้เลยด้วยซ้ำ
ที่หลงเฉินไม่ทราบคือระดับชนชั้นพลังในโลกของสัตว์มายา สิ่งนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง สัตว์มายาระดับที่สี่อย่างไรเสียก็ย่อมเป็นผู้ที่กุมชะตากรรมของสัตว์มายาระดับสามได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
ก็คล้ายกันกับในเวลาที่หลงเฉินได้ชักนำสัตว์ร้ายแห่งวายุ วิ่งตะลุยไปทั่วทุกสารทิศ ในตอนนั้นได้พบพานกับสัตว์มายาระดับสูงสุดขั้นที่สี่อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทว่าทันทีที่ได้พบเห็นสัตว์ร้ายแห่งวายุ สัตว์มายาขั้นสี่ต่างก็ต้องหลบหนีกันกระเจิดกระเจิง เพื่อเอาชีวิตรอด
“พรวด”
พยัคฆ์ตาขวางทั้งสองตนนั้น แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะหลบหลีกก็ยังไม่สามารถมีได้ ก็ถูกคมวายุตัดแยกออกเป็นสองท่อนไปในทันที โลหิตสาดกระจายไปทั่วทั้งผืนฟ้า ส่วนงูเหลือมยักษ์ตนนั้น มีพลังการป้องการที่แข็งกล้ากว่าพยัคฆ์ตาขวางถึงหนึ่งขุม จึงยังพอที่จะสามารถต้านทานการโจมตีจากเสี่ยวเสว่ยได้บ้าง
แต่ว่าการโจมตีของเสี่ยวเสว่ย มิใช่จะสามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น เมื่อคมวายุซัดลอยเข้าปะทะงูเหลือมยักษ์ตัวนั้นชั่วขณะหนึ่ง ก็ได้ฉีกร่างของงูเหลือมยักษ์ออกเป็นชิ้นๆ เลือดสาดกระจายไปทั่ว
“สัตว์มายาประหลาดงั้นหรือ ?”
ศิษย์พี่ฉีมีแววเจ็บปวดปรากฎอยู่บนใบหน้า แล้วก็ได้ทอสีหน้าที่ตื่นตะลึงจ้องมองเสี่ยวเสว่ย เห็นได้ชัดว่าด้วยสถานะผู้ฝึกสัตว์ย่อมสามารถระบุตัวตนของเสี่ยวเสว่ยได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่กำลังพยายามระบุตัวตนของเสี่ยวเสว่ยให้ได้ เขากลับยิ่งต้องทวีอาการตื่นตะลึงขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิม เพราะยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า สัตว์มายาจะสามารถที่จะทะลวงพลังขีดจำกัดในสายโลหิตได้ นอกเสียจากว่าจะได้พบพานกับปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดมา
และสัตว์มายาที่ประหลาดนั้น ในรอบหลายหมื่นปี ใช่ว่าจะสามารถปรากฏขึ้นมาได้ซักตน แต่ว่าขณะนี้มันได้ปรากฏตัวขึ้นอยู่เบื้องหน้าของเขาได้แล้ว
ศิษย์พี่ฉีจับจ้องพิจารณาเสี่ยวเสว่ยอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นภายในดวงตาทั้งสองก็ได้ปรากฏความละโมบขึ้นมา ถ้าหากเขาสามารถครอบครองสัตว์มายาที่ประหลาดถึงเพียงนี้ได้ บวกกับการบ่มเพาะที่พิเศษของเขา จะต้องกลายเป็นการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างแน่นอน
“เจ้าหนูไปตายเสียเถอะ หมาป่าหิมะแดงเพลิงตัวนี้เป็นของข้าแล้ว”
ศิษย์พี่ฉีคำรามลั่น พร้อมทั้งผสานมือทั้งสองข้าง ทันใดนั้นก็ได้ปรากฏศรแห่งจิตวิญญาณออกมาเล่มหนึ่ง พวยพุ่งเข้าใส่หลงเฉินในทันที
.
.
.
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**