ตอนที่ 383 ให้แขกรับประทานก่อน
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**
ม่งฉีและหญิงสาวอีกสองคนเมื่อได้ฟังก็ตกตะลึง หันมองไปยังจุดที่หลงเฉินกำลังจ้องมองอยู่ ไกลออกไปจากรังนกขนาดใหญ่นี้ปรากฎเป็นภาพของสัตว์มายาระดับห้าขนาดใหญ่สองตัว กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด!
การสู้รบอันดุเดือดรุนแรงของสัตว์มายาระดับสูงนั้น แผ่พลังแรงกดดันมหาศาลที่น่าหวาดหวั่นปกคลุมไปในบรรยากาศเป็นบริเวณกว้าง จนทำให้เหล่าสัตว์มายาที่อาศัยอยู่โดยรอบ หนีเตลิดเปิดเปิงกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง พลังของสัตว์มายาระดับสูงปะทะเข้าใส่กันอย่างต่อเนื่องและหนักหน่วง ทำให้ทั่วบริเวณเกิดลำแสงสว่างเจิดจ้าและเสียงระเบิดดังกึกก้องกระจายออกไปไกลหลายร้อยลี้
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนในทันที เหล่าศิษย์ทั้งหลายทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมที่อยู่บริเวณนั้น ต่างให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนต้องเดินเข้าไปมุงดูอย่างเนืองแน่น เมื่อเวลาผ่านไปการสู้รบนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จนตอนนี้ทั่วบริเวณคับคั่งไปด้วยเหล่าศิษย์จากหลากหลายสำนักจำนวนมาก
ในที่สุดการต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตของสัตว์มายาทั้งสองนั้น ก็มาถึงจุดสิ้นสุด เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งคู่กำลังบาดเจ็บสาหัส บาดแผลฉกรรจ์น่าหวาดกลัวปรากฎทั่วทั้งร่าง ในตอนนี้พวกมันอ่อนแอถึงขีดสุดแล้ว นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะฉวยโอกาสเล่นงานพวกมัน
“ดูท่าจะยุ่งยากขึ้นมาแล้วสิ หลงเฉิน หากเจ้าต้องการนำโอสถภายในของนกมายาขนม่วงนกมายาขนม่วงออกมา ข้าเกรงว่าจะไม่ง่ายแล้วล่ะ เพราะคงจะมีคู่แข่งจำนวนไม่น้อยรอปะทะกับเจ้าอยู่” ฉู่เหย่ากล่าวออกมาด้วยความกังวลใจ
“โอสถภายในของนกมายาขนม่วงตัวนั้น ข้าจะต้องเอามาให้ได้ หากผู้ใดขัดขวาง ก็คงต้องสู้กันแล้ว” หลงเฉินถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น ดวงตาคู่คมจับจ้องไปข้างหน้า แววตาเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความเชื่อมั่น
ด้วยฐานะผู้หลอมโอสถและความทรงจำของจักรพรรดิโอสถของหลงเฉินนั้น ในเรื่องพลังเพลิงสัตว์เหล่านี้ ตัวเขาเองนับว่ามีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง เพลิงกาฬของนกมายาขนม่วงถูกจัดอยู่ในเพลิงสัตว์อันดับที่สามของสัตว์มายาธาตุไฟ แม้ว่าเขาจะเร่งพลังเพลิงกาฬของกิ้งก่าอัคคีขึ้นถึงขั้นสูงสุด ก็ยังไม่สามารถต้านทานเพลิงกาฬสีม่วงนี้ได้ โดยเฉพาะในการต่อสู้ที่กินพื้นที่เป็นวงกว้างเช่นนี้
หากถูกนกมายาขนม่วงโจมตีโดยตรงแล้วล่ะก็ ก็อาจจะกลายเป็นหมูย่างไปได้เลยทีเดียว และหากนำพลังเพลิงกาฬสีฟ้าของหลงเฉินกับเพลิงกาฬสีม่วงมาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็ถือว่ามีระดับแตกต่างกันอย่างมาก
สัตว์เพลิงระดับสูงอย่างนกมายาขนม่วงถูกจัดอยู่ในอันดับที่สาม ซึ่งเป็นรองสัตว์เพลิงเพียงสองชนิด ในขณะที่กิ้งก่าอัคคีของเขาถูกจัดอยู่ในอันดับที่สามนับจากท้ายสุด หากว่ากล่าวกันตามจริงแล้ว เพลิงกาฬของสัตว์เพลิงทั้งสองชนิดนี้ ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เลยเสียด้วยซ้ำ
ถ้าหากหลงเฉินสามารถหลอมโอสถภายในตัวของนกมายาขนม่วง พลังเพลิงกาฬของเขาจะเพื่อระดับขึ้นจนน่าหวาดกลัว การจะหลอมผลกิเลนก็จะสามารถทำได้อย่างง่ายดายแล้ว
ดังนั้นโอสถภายในของนกมายาขนม่วงตัวนั้น เขาต้องได้มาครอบครองให้ได้ ไม่ว่าจะต้องต่อสู้แย่งชิงกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากเท่าไรก็ตาม หลงเฉินคิดเรื่องนี้อย่างมาดหมาย
และเรื่องที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บันทึกแผ่นทองสมบัติล้ำค่าที่ได้จากสุสานโบราณก่อนหน้านี้ ยังคงฝังติดอยู่ในกระโหลกของนกมายาขนม่วง หากมีผู้ได้สามารถแย่งชิงนกสีม่วงตัวนั้นไปได้แล้วล่ะก็ หลงเฉินคงจะต้องเจ็บปวดใจจนกระอักเลือดออกมาเป็นแน่
“วางใจเถอะ กำลังของเจ้าที่มีอยู่ และพลังของพวกเราทั้งหมด ต้องสามารถแย่งชิงนกมายาขนม่วงมาได้แน่ๆ” ม่งฉีกล่าวด้วยท่าทีปลอบโยน
“ไม่ใช่แค่นกมายาขนม่วงนะ เจ้าสัตว์ร้ายแห่งวายุตัวนั้นข้าก็ต้องการ โอสถภายในของสัตว์ร้ายแห่งวายุตัวนั้นข้าจะเก็บไว้ให้เสี่ยวเสว่ย โอสถภายในของสัตว์มายาธาตุวายุระดับสูงมีประโยชน์กับเสี่ยวเสว่ยเป็นอย่างมาก ถ้าเสี่ยวเสว่ยได้รับเข้าไปก็จะช่วยเพิ่มพูนพลังได้อย่างมหาศาล” หลงเฉินกล่าว
“ถ้าหากอยากได้โอสถภายในของสัตว์มายาทั้งสองตัว ข้าเกรงว่าพวกเราก็คงต้องรับมือกับทุกคนที่นี่แล้วล่ะ” ฉู่เหยารู้สึกกังวลใจ
“ฝึกยุทธ์ไม่มีเส้นทางให้หันหลังกลับ หากอยากจะแข็งแกร่งขึ้น ก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ดุเดือดทุกรูปแบบ ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ วัดกันด้วยกำลังร่างกายและพลังการฝึกปรือ ไม่ใช่คุณธรรมและความเมตตา แม้แต่หลักการในเรื่องของเหตุและผลนั้น หากมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายให้ได้อย่างรวดเร็วแล้วล่ะก็ บางครั้งก็จะต้องปล่อยวางเหตุผลอันชอบธรรมลงไปบ้าง
หากจะถกถึงเรื่องเหตุผล ในครั้งนี้ ก็นับว่าพวกเรามีเหตุผลที่ชอบธรรมมากที่สุดแล้ว สัตว์มายาสองตัวนี้ถูกพวกเราพบเจอ อีกทั้งพวกเราก็ต่อสู้กับมันมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นก็ไม่ควรใส่ใจกับพวกที่มาทีหลัง และหากจะไปถกเรื่องหลักการของเหตุผลอันชอบธรรมกับคนเหล่านั้น ก็แทบไม่ต่างอะไรจากการสีซอให้ควายฟัง พวกนั้นก็ดีแต่ก่อกวนอย่างไร้เหตุผล หากมัวใส่ใจกับเรื่องเช่นนั้น สุดท้ายก็จะทำให้พวกเจ้าเกิดความเคียดแค้นชิงชัง สูญเสียเวลาและสมาธิในการฝึกปรือไปเสียเปล่า” หลงเฉินกล่าวเตือน
เมื่อได้ฟังจนจบ หญิงสาวทั้งสามคนก็พยักหน้ารับอย่างคล้อยตาม ที่หลงเฉินกล่าวไม่ผิดแม้แต่น้อย การฝึกยุทธ์นั้นแสนลำบาก มีเพียงคนอ่อนแอเท่านั้นที่จะไร้ซึ่งอำนาจวาสนา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะถูกเคารพนับถือ มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายผู้อื่น ส่วนผู้ที่อ่อนแอกว่าก็มักเอาแต่ร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตนเองอย่างสุดชีวิต เพื่อที่จะทำให้ตนเองนั้นแข็งแกร่งขึ้น
“หยุด! พวกเจ้าเป็นใครกัน เอาสมบัติที่มีอยู่ในตัวเจ้าออกมาให้หมด!”
ขณะที่หลงเฉินและหญิงสามอีกสามคน กำลังก้มดูการต่อสู้ของสัตว์มายาสองตน ผ่านช่องเล็กๆภายในรังนกอยู่ ทันใดนั้นเองทางด้านหลังของพวกเขาก็มีเสียงอุทานหลายเสียงดังขึ้น ตามมาด้วยวาจาข่มขู่
เมื่อเขาหันกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นคนกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มนั้นมีผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศผู้หนึ่ง และผู้อยู่เหนือขอบเขตอีกหกคน กำลังจ้องเขม็งมองมาที่หลงเฉินและคนอื่นๆ
“จะไสหัวไป หรืออยากจะตาย เลือกเอา”
หลังจากหลงเฉินพิจารณาคนเหล่านั้นด้วยหางตาแล้ว ก็ตอบกลับไปเพียงประโยคเดียวด้วยน้ำเสียงห้วนๆอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากนั้นก็ไม่สนใจพวกเขาอีก หันกลับไปดูการต่อสู้ของสัตว์มายาทั้งสองต่อไป
ยอดฝีมือเจ็ดคนนั้น สวมเสื้อผ้าของฝ่ายธรรมะ พวกเขาทุกคนล้วนเป็นศิษย์ในระดับสูงที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่อพวกเขาประเมินดูสี่คนตรงหน้า ก็เห็นว่าเป็นเพียงพวกผู้ฝึกยุทธ์ในระดับกลางๆไม่โดดเด่น โดยเฉพาะชายคนเดียวในกลุ่มที่ดูจะแข็งแกร่งที่สุดนั้น กลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นระดับสามเท่านั้น คงจะเป็นพวกที่หวังจะฆ่าแย่งชิงสมบัติเช่นกัน
ทันทีที่พวกเขาทั้งเจ็ดมาถึงที่นี่ ก็ได้ค้นพบรังนกขนาดใหญ่แห่งนี้ จึงรีบมุ่งหน้าไปหาอย่างรีบเร่ง และทันทีที่มาถึงก็ตรงเข้าไปค้นหาสมบัติที่อยู่ภายในอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเข้าใกล้รังนกนั้นแล้วพวกเขากลับเห็นว่า มีคนผู้ที่มีฝีเท้าเร็วมากกว่า มาถึงก่อนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและเดือดดาล รีบเตรียมการที่จะสังหารคนกลุ่มนั้นแล้วปล้นสะดม แย่งชิงเอาสมบัติมาไป
ทว่า เมื่อมาถึงก็ได้พบว่าศัตรูเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่ำเท่านั้น ทั้งยังวางมาดหยิ่งยโสโอหังเช่นนี้ ก็ทวีความโกรธเกรี้ยวมากขึ้นอีก และหนึ่งในเจ็ดคนนั้นก็อดทนไม่ได้อีกต่อไป ชักกระบี่ขึ้นมาพร้อมกับแผดเสียงดังลั่น แล้วพุ่งตัวฝ่าอากาศเข้าไปหาหลงเฉิน หมายที่จะเอาชีวิต
“หาที่ตาย!” ลู่ฟางเอ๋อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
นางยื่นมือเรียกคันศรแห่งจิตวิญญาณออกมา ยอดฝีมือผู้นั้นยังไม่ทันที่จะรู้ตัวและเตรียมการป้องกันใดใด ก็ถูกพลังรุนแรงบางอย่างพุ่งเข้าใส่จิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว เขาทำได้แต่เพียงส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด หลังจากนั้นร่างกายก็สลายกลายเป็นผุยผงอยู่ตรงพื้นดินไปในทันที
“พลังโจมตีแห่งจิตวิญญาณ! เจ้าคือผู้ฝึกสัตว์ ?”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้หนึ่งถูกสตรีผู้ฝึกสัตว์สังหารไปในชั่วพริบตา ยอดฝีมืออีกหกคนที่หลงเหลืออยู่ ต่างทำได้แต่เพียงจ้องมองอย่าตื่นตะลึง และเผลอตัวก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าว พวกเขามองลู่ฟางเอ๋อด้วยสีหน้าและแววตาที่หวาดผวา
การโจมตีทางจิตวิญญาณ เป็นการจู่โจมผ่านจิตใจของผู้คน เป็นพลังที่มองไม่เห็น และรู้สึกถึงได้ยาก หากไม่มีพลังป้องกันจิตวิญญาณหรือเครื่องมือแห่งจิตวิญญาณในการคุ้มกันตนแล้ว ก็มีแต่จะถูกสังหารอย่างรวดเร็วเท่านั้น
พวกเขาห่างไกลจากระดับของนกมายาขนม่วง ที่จะสามารถต่อต้านการโจมตีของจิตวิญญาณได้ คันศรแห่งจิตวิญญาณของลู่ฟางเออร์ ทำให้จิตวิญญาณของเขาแตกสลาย จนวิญญาณแตกสลายไปทันที
ลู่ฟางเอ๋อฆ่าผู้อยู่เหนือขอบเขตไปแล้วหนึ่งคน หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจคนอื่นๆที่เหลืออีก แต่กลับหันไปดูการต่อสู้ของสัตว์มายาที่อยู่ไกลออกไปต่อ และนั่นยิ่งทำให้ยอดฝีมือกลุ่มนั้น หน้าเปลี่ยนสี จนกลายเป็นซีดขาวราวกับไก่ต้ม นี่แสดงว่าอีกฝ่าย ไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยเช่นนั้นหรือ ทำราวกับว่าพวกเขาไร้ตัวตน ไม่ต่างอะไรจากฝุ่นผงขนาดเล็กในอากาศก็มิปาน
แต่แค่เพียงเท่านั้น ก็ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะคิดหาทางแย่งชิงสมบัติจากคนพวกนี้แล้ว ด้วยท่าทีที่ไม่ใส่ใจพวกเขาถึงเพียงนี้ นี่ไม่ใช่ว่าคนพวกนี้ไม่เห็นหัวพวกเขาเลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรอกหรือ
ในตอนนั้นเอง ผู้อยู่เหนือขอบเขตห้าคนในกลุ่มนั้นก็พร้อมใจกันมองไปที่ ผู้นำกลุ่มของตนเอง ซึ่งก็คือผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศเพียงหนึ่งเดียวผู้นั้น ทว่าเขาเองก็อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่รู้ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง แต่ในท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะยอมล่าถอยออกไป
หลังจากที่ยอดฝีมือทั้งเจ็ดคนนั้นถอยออกไปแล้ว ก็มียอดฝีมืออีกจำนวนไม่น้อยที่บุกเข้ามาด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือ หวังจะฆ่าเพื่อชิงสมบัติที่อยู่ภายในรังนกนั้น แต่ทว่าผลลัพธ์ก็คือ ภายในรังนกมายาขนม่วงในตอนนี้นั้น มีศพกองอยู่จำนวนมาก และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
การสังหารที่เด็ดขาดและรวดเร็วนั้นล้วนเป็นฝีมือของลู่ฟางเอ๋อทั้งสิ้น การส่งพลังโจมตีจากระยะไกลเช่นนี้ ลู่ฟางเอ๋อนับว่าได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง นางสามารถส่งพลังโจมตีจิตวิญญาณได้อย่างราบรื่น เพราะว่าหากพวกเขาไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมากพอหรือมีเครื่องป้องกันจิตวิญญาณ พวกเขาก็มีแต่ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
หลงเฉินไม่สงสัยอีกต่อไปแล้วว่าเพราะเหตุใดผู้ฝึกสัตว์จึงมีสถานะที่สูงส่ง นั่นก็เนื่องมาจากผู้ฝึกยุทธ์ในสายอื่นนั้น ยากที่จะต้านทานการโจมตีของพวกเขาได้ ผู้ที่ก้าวเดินในเส้นทางการฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณนั้นมีเพียงน้อยนิด และกลุ่มคนเหล่านั้นก็มีเพียงแค่คนที่มีพลังของจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งและทรงพลังมากเท่านั้น จึงจะสามารถเป็นผู้ฝึกสัตว์ได้
เนื่องจากผู้ฝึกสัตว์นั้น จำเป็นต้องแบ่งแยกพลังแห่งจิตวิญญาณส่วนใหญ่ไปใช้ในการควบคุมสัตว์มายา ทำให้มีเพียงพลังที่เหลืออยู่ส่วนน้อยที่สามารถนำมาใช้ในการโจมตีคู่ต่อสู้ แต่กระนั้นพลังอันน้อยนิดนั้นก็ยัง ถือว่าเป็นการโจมตีที่ทรงพลังสำหรับผู้ฝึกยุทธ์สายอื่นอยู่ดี
มีสัตว์มายาที่มีพลังมหาศาลคอยคุ้มกัน ทั้งยังมีพลังการโจมตีทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกสัตว์ก็คงอดที่จะรู้สึกหวั่นเกรงไม่ได้
แม้ว่าจะครอบครองสมบัติที่สามารถต้านทานพลังแห่งจิตวิญญาณได้เอาไว้ แต่ทว่าสมบัติเหล่านั้นก็ล้วนต้องใช้พลังถ่ายเทเข้าไปเพื่อใช้งาน และทุกครั้งที่มีการใช้สมบัตินั้นต้านทานพลังโจมตีทางจิตวิญญาณ ผู้ใช้งานก็จะต้องสิ้นเปลืองพลังไปอย่างมหาศาล เมื่อพลังนั้นหมดลง ก็คงจะเหลือเพียงแต่รอให้ถูกฆ่าทิ้งเท่านั้น
ครั้งก่อนที่ลู่ฟางเอ๋อตกอยู่ในอันตราย นั่นเป็นเพราะนางโชคร้ายที่บังเอิญพบกับผู้ที่มีพลังอันแข็งแกร่งผู้นั้น ซึ่งในร่างกายของคนผู้นั้นก็มีสมบัติช่วยคุ้มกันจิตวิญญาณจำนวนมากอีกด้วย ลู่ฟางเอ๋อจึงทำอะไรเขาไม่ได้ และต้องตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน อีกทั้งในตอนนั้น สัตว์มายาในครอบครองของลู่ฟางเอ๋อก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากพอ หากในตอนนั้นลู่ฟางเอ๋อมีสิงโตแดงอัคคีอยู่แล้วล่ะก็ คงจะสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย
“คนมาที่นี่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ในบรรดาคนเหล่านั้น ก็มียอดฝีมืออยู่ไม่น้อยเลย และฝ่ายเราก็มีจำนวนน้อยกว่ามากเลยนะ” ฉู่เหยากล่าวขึ้นมาอย่างกังวลใจ
คนที่แอบซุ่มอยู่ทางด้านนอกนั้น มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆแล้วในตอนนี้ ฉู่เหยาเห็นด้วยว่า มีกลุ่มผู้คนจำนวนมากซ่อนตัวอยู่อีกที่หนึ่งไม่ไกลนัก และเห็นได้ชัดเจนว่า คนกลุ่มใหญ่นี้ พวกเขามาด้วยกันทั้งหมด
“อย่าได้กังวลไปเลย สุดท้ายแล้วก็ต้องพึ่งพาความสามารถแล้วล่ะ อีกประเดี๋ยวก็คงจะมีศึกนองเลือดเกิดขึ้นแน่นอน ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็ช่วยข้าจากด้านหลังก็พอแล้ว” หลงเฉินแสดงท่าทางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างมั่นใจในที่สุด
หญิงสาวทั้งสามคนล้วนเป็นสตรี หลงเฉินไม่อยากให้พวกนางตกอยู่ในอันตราย สงครามนองเลือดไม่เหมาะกับสาวงามอย่างพวกนางแม้แต่น้อย
“ไม่ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าจะคอยคุ้มกันเจ้า หากเจ้าจะกลายเป็นปีศาจร้าย หรือฆาตกร ข้าก็จะยอมให้ตัวเองเปื้อนโลหิตไปกับเจ้าด้วย” ฉู๋เหยาส่ายศรีษะและกล่าวอย่างหนักแน่น
“หลงเฉิน ไม่ต้องห่วงพวกเรา การฝึกยุทธ์เป็นเส้นทางที่มิอาจหวนกลับ มีแต่ต้องก้าวเดินไปข้างหน้า ในเมื่อพวกเราเลือกที่จะฝึกยุทธ์แล้ว ก็ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่โหดร้าย ความใจอ่อนอาจทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่” ม่งฉีพูดอย่างจริงจัง
“งั้นข้าก็ไม่เถียงกับพวกเจ้าแล้ว พวกเราลองประเมินสถานการณ์ก่อนแล้วกัน แล้วค่อยคิดวางแผน ถ้าพวกเราร่วมมือกันจะต้องได้รับชัยชนะอย่างงดงามแน่”
มีสามสาวงามช่วยสนับสนุน หลงเฉินก็รู้สึกถึงความหึกเฮิมที่เพิ่มขึ้นมาในทันที อีกทั้งยังมีกำลังใจที่เปี่ยมล้นอีกด้วย
ม่งฉี ฉู่เหยาและลู่ฟางเอ๋อ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาที่จะได้ร่วมต่อสู้กับหลงเฉิน นี่นับเป็นเรื่องคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง จนอดไม่ได้ที่จะตั้งหน้าตั้งตารอด้วยใจจดจ่อ
การต่อสู้ของสัตว์มายาระดับห้าสองตัวในตอนนี้นั้น ยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางเปลวเพลิงที่ประทุขึ้นมา สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย มุ่งหมายเอาชีวิตอย่างดุเดือด เพลิงกาฬเผาผลาญลุกโชนไปในอากาศ คมวายุฟาดฟันไปทั่ว จนภูเขาสั่นพื้นดินสะเทือน
“สัตว์มายาสองตัวเริ่มต่อสู้กันอย่างสุดชีวิตแล้ว” หลงเฉินเอ่ย เขาเห็นว่าการโจมตีของสัตว์มายาสองตัวนี้ยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดจากการที่พวกมันเริ่มที่จะปลดปล่อยพลังจากโอสถภายในออกมาแล้ว
สัตว์มายาโบราณระดับห้าสองตัวนี้ แตกต่างจากสัตว์มายาโดยทั่วไป พวกมันมีพลังชีวิตบริสุทธิ์ซึ่งถูกรวบรวมอยู่ในโอสถภายในตัวของมัน ถ้าหากยังไม่ถึงช่วงเวลาวิกฤตที่สำคัญกับชีวิต พวกมันจะไม่มีทางใช้มันออกมาอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นนกมายาขนม่วงก็เปล่งเสียงร้องออกมาดังสะนั่น พร้อมกับพ่นลูกไฟสีม่วงออกมา ลูกไฟนั้นมีความร้อนสูงและน่าหวาดกลัว เมื่อมันพุ่งผ่านไปที่ใดก็แผดเผาไปทั่วทุกสิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินเห็นการโจมตีที่เป็นท่าไม้ตายของมัน ลูกไฟสีม่วงนั้น มีพลังความร้อนที่อัดแน่นอย่างถึงที่สุดจนทำให้แกนกลางนั้นหลอมละลายคล้ายกับลาวา ที่มีความร้อนสูงจนสามารถหลอมทุกสิ่งให้มอดไหม้สูญสลายแทบไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่านได้ ซึ่งถ้าหลากหลงเฉินถูกการโจมตีนี้เข้าไป ก็คงจะตายในทันทีอย่างแน่นอน
สัตว์ร้ายแห่งวายุที่อยู่ตรงนั้นก็รับรู้ถึงอันตรายจากลูกไฟนั้นแล้วเช่นกัน มันอ้าปากกว้างใหญ่ขึ้น แล้วปล่อยคมวายุ ออกมาจากปากของมันด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับหวีดร้องออกมาเสียงดังบาดแก้วหู
คมวายุพุ่งแหวกอากาศออกไป จนทำให้เกิดเสียงดังน่าหวาดกลัว เสียงนั้นดังในระดับที่ผู้คนไม่สามารถทนฟังได้ ในตอนนี้สัตว์ร้ายวายุเองก็ใช้การโจมตีที่เป็นไม้ตายของมันออกมาแล้ว
“ตูม”
คมวายุปะทะเข้ากับลูกไฟสีม่วงอย่างรุนแรง ไฟกับลมที่ปะทะกัน ก่อให้เกิดพลังลำลายล้างมหาศาล พลังของไฟที่แผดเผาและลมที่โหมกระพือจนทำให้ไฟทวีความร้อนแรง ส่งผลให้พื้นดินแตกระแหงไปทั่วทั้งแปดด้าน กลืนกินบริเวรรอบด้านในระยะร้อยจั้ง มอดไหม้ทุกสรรพสิ่ง
“ไม่......”
ผู้คนจำนวนหนึ่ง ที่แอบซุ่มดูการต่อสู้อยู่ในรัศมีของพลังทำลายล้างนั้น ถูกลมและไฟกลืนกิน เผาผลาญจนกลายเป็นผงเถ้าถ่านไปในทันที ภาพที่ปรากฎให้เห็นช่างน่าเวทนายิ่งนัก
ผู้ที่เฝ้าดูอยู่ในจุดที่ไกลออกไป เมื่อเห็นภาพอันน่าสยดสยองนั้น ก็ตกใจหน้าถอดสี ถ้าหากพวกเขาเข้าไปใกล้กว่านี้แล้วล่ะก็ ก็คงจะถูกเผากลายเป็นขี้เถ้าไปในพริบตาเช่นกัน
“เป็นการโจมตีที่น่ากลัวมากจริงๆ” ม่งฉีพึมพำอย่างตื่นตะลึง เปลวเพลิงจากการต่อสู้อย่างดุเดือดนั้นสามารถสังหารผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศได้ในชั่วพริบตาเดียว
เมื่อพลังเพลิงกาฬนั้นมอดดับไป สัตว์มายาที่ยิ่งใหญ่สองตัวก็ทรุดตัวลงกับพื้นดิน หยุดนิ่งไม่ไหวติง การโจมตีครั้งสุดท้ายนั้นทำให้พลังในร่างกายของพวกมันสูญสิ้นไป ตอนนี้พวกมันได้รับบาดเจ็บสาหัส จนแทบจะไม่สามารถเคลื่อนย้ายร่างกายได้
“ซูมซูมซูมซูม.......”
ในเวลานั้นเอง กลุ่มคนจำนวนมากก็พุ่งเข้าไปในสนามปะลองของสัตว์มายาทั้งสอง พวกนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเงาพล่าเลือน คล้ายกลุ่มตั๊กแตน ไต่ปีนขึ้นไปบนร่างไร้พละกำลังของสองสัตว์มายาหวังจะแย่งชิงสมบัติมาเป็นของตนเอง
“หลงเฉิน พวกเราจะลงมือเลยไหม ?” ฉู่เหยาเอ่ยถาม
“ไม่ไม่ไม่ พวกเราเป็นเจ้าบ้าน พวกเขาเป็นแขก ของอร่อยก็ต้องให้แขกทานก่อนสิ” หลงเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้มร้าย
“หลงเฉิน เจ้านี่มันช่างร้ายกาจเสียจริง” ม่งฉีและลู่ฟางเอ๋อยกมือป้องปากพร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขบขันกับวาจาของหลงเฉิน
“พรวด พรวด พรวด......”
ทั้นใดนั้น ผู้คนจำนวนหนึ่งที่พึ่งจะเข้าไปใกล้สัตว์ร้ายแห่งวายุในรัศมีที่มันมองเห็นได้ ก็ถูกหางของมันฟาดเข้าใส่อย่างจัง เสียงผู้คนกรีดร้องอย่างตกใจดังขึ้นได้เพียงครึ่งคำก็ตามมาด้วยเสียงคล้ายค้อนทุบเนื้อ คนเหล่านั้นถูกหวดกลายเป็นเนื้อบดละเอียดไปแล้ว
.
.
.
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**