MS บทที่ 13 ชัยชนะเหนือกลุ่มเฉินหนง
MS บทที่ 13 ชัยชนะเหนือกลุ่มเฉินหนง
“อ่า...” นางกำนัลทั้งหลายเริ่มกรีดร้องพร้อมกับรีบหาที่หลบด้วยความหวาดกลัว
ฉีกงจิ้งปาเข็มเล็กใส่พวกนาง ด้วยพิษของมันทำให้พวกเธอทั้งหลายละลายกลายเป็นน้ำสีเขียว
พวกเธอทั้งหมดตายอย่างน่าสงสารเพียงเพราะฉีกงจิ้งไม่อยากให้พวกเธอกลายเป็นนางกำนัลของหลีมู่
“ฉีกงจิ้ง เตรียมตัวตาย!”
ประตูหน้าถูกทลายลง
ท่ามกลางเศษฝุ่นที่กระจายไปทั่วจากการทำลายล้าง ร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทีราวกับปีศาจ
นั่นคือหลีมู่
“ฆ่าหลีมู่!”
เสียงตะโกนดังกึกก้องปลุกกำลังใจพวกเฉินหนงทั้งหมด
เหล่าสาวกทั้งหลายที่ติดอาวุธครบมือตั้งแต่ธนูไปจนถึงปืนและมีดปังตอ ต่างก็กรูเข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างบ้าคลั่ง
หลีมู่เตะแผ่นหินใต้เท้าของเขาพุ่งกระแทกพวกเขาด้วยแรงอันมหาศาลจนกระดูกหักไปหลายท่อน เลือดสีแดงกระจายออกมาจากปากทุกคนพร้อมกับเสียงกรีดร้องโวยวาย
นี่ขนาดยังไม่ได้ต่อสู้จริงจัง พวกสาวกก็ถูกกวาดล้างไปเกือบครึ่ง
หลีมู่นั้นไม่ชอบการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ดังนั้นเขาจึงหาวิธีจัดการพวกมันให้เร็วที่สุด และด้วยพลังที่เขามีในร่างมันทำให้พวกศัตรูที่ใส่เกราะนั้นเมื่อเทียบกันแล้วช่างดูบอบบางไม่ต่างอะไรกับกระดาษที่ช่วยให้พวกเขาตายเร็วขึ้น
ฉีกงจิ้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นโศกเศร้าทันทีที่เขารู้ตัวว่าไม่สามารถสู้พลังหลีมู่ได้
เขาถอยไปหยิบธนูใหญ่จากกำแพง
ธนูนั่นมีสีเงินที่ดูเหมือนว่าจะถูกร้อยขึ้นมาจากเถาวัลย์ 7 สายมัดเข้าด้วยกันช่างดูเหมือนกับงู 7 ตัวพันกันเอง มันถูกขึ้นสายด้วยเชือกรัดสีขาวนวลทำให้มันดูแปลกตาและทรงพลังกว่าธนูใดๆ
แน่นอนว่ามันต้องโคตรมีน้ำหนักที่มากด้วย
แม้แต่ผู้นำที่เก่งกาจอย่างฉีกงจิ้งก็ยังไม่อาจถือมันไว้ได้อย่างมั่นคง
“ข้าจะใช้ธนูสังหารเทพนี่ส่งเจ้าไปลงนรก!”
เขาบ่นพึมพำกับตัวเองและมองไปยังหลีมู่ที่กำลังต่อสู้อยู่ตรงกลางห้อง
ลูกธนูหัวพิเศษที่ทำจากเขี้ยวหมาป่าถูกทาบลงไปบนคันศร ฉีกงจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆประสานปราณเข้าด้วยกัน เกิดเป็นชั้นสีเขียวขึ้นที่แขนของเขา ในฐานะของปรมาจารย์ด้านการใช้ปราณร่วม เขาสามารถเร่งกำลังของตนได้ผ่านทางวิธีนี้
ฉีกงจิ้งง้างสายธนูด้วยกำลังทั้งหมดที่มีพร้อมกับเล็งไปยังหลีมู่ที่ในตอนนี้ฆ่าสาวกของเขาไปมากกว่า 2 ใน 3 แล้ว
ด้วยการฝึกพลังเชียนเถียนที่มากพอ ทำให้ประสาทสัมผัสของเขาไวจนคนปกติไม่อาจตามได้ทัน พวกสาวกถูกหักกระดูกและทำลายกล้ามเนื้อทุกส่วนหลังจากที่ถูกแตะแค่เพียงหมัดจากหลีมู่... ดูยังไงก็ 1 รุม 10 ชัดๆ
“ตายห่าไปซะ!”
ฉีกงจิ้งรอจังหวะที่สวยงามที่สุดและปล่อยมือที่ดึงสายธนูอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเสียดสีกับลม
ลูกศรพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็วที่แม้แต่คนธรรมดายังไม่อาจมองตามได้ทัน
ในจังหวะเดียวกันหลีมู่ที่สัมผัสได้ถึงอันตรายก็ได้พยายามป้องกันร่างกายของตนเอง
ตู้ม!
ร่างของเด็กหนุ่มถูกศรปักเข้าที่หัวไหล่ซ้าย แรงอัดกระแทกส่งเขากระเด็นออกไปไกลและกระแทกเข้ากับกำแพงถ้ำเกิดเสียงดังสนั่นขึ้น
หลีมู่ถูกตรึงอยู่บนกำแพงนั่น
โฟ่ว! โฟ่ว! โฟ่ว!
ขนนกตรงปลายศรส่งเสียงดังอย่างประหลาด
ความรู้สึกร้อนผ่าวเกิดขึ้นบนหัวไหล่ของเด็กหนุ่ม เมื่อเขาหันไปเห็นมันจากนั้นจึงอ้าปากหายใจอย่างรุนแรง เพื่อเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ข้างในที่มันรุนแรงเสียจนเขาเกือบจะสลบไป
“ฮ่าฮ่า รีบไปฆ่ามันเร็ว!”
ฉีกงจิ้งหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
สาวกที่เหลืออยู่ราวๆ 5 ถึง 6 คนพุ่งดาบของพวกเขาไปหาหลีมู่ทันที
เด็กชายเริ่มสติขาดผึ่ง จิตใจของเขากำลังตกอยู่ในความคุ้มคลั่ง เขากระแทกขาเข้ากับกำแพงเพื่อพาตัวเองออกมาโดยที่ยังมีลูกศรนั่นปักอยู่บนหัวไหล่
ความรวดเร็วที่ดูเหมือนจะธรรมดา
แต่ทว่า!
มันเร็วเกิน! เร็วเกินไปแล้ว!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ร่างของสาวกที่ยังเหลืออยู่อีก 5 คน พวกเขาทำได้แค่มองเป็นเงาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเข้ามาหาเขาแล้วจากนั้นร่างของพวกเขาก็แตกสลายกลายเป็นเศษเนื้อ
หลีมู่พุ่งตรงไปยังฉีกงจิ้ง
ชายวัยกลางคนหวาดกลัวมากและใช้พลังปราณดึงร่างของเขาให้ถอยไปด้านหลังพร้อมกับง้างธนูยิงกลับไป
แต่ทว่าเด็กหนุ่มกลับเตรียมตัวมาพร้อมดีกว่าคราวก่อน
ด้วยความเร็วที่เหนือมนุษย์หลีมู่หลบศรพวกนั้นกลางอากาศได้สามครั้งอย่างฉิวเฉียด ทิ้งความร้อนของการเสียดสีระหว่างอากาศกับศรีษะของเขาได้ดี
“เจ้ามันสวะแท้ๆ ใช่ไหมฉีกงจิ้ง?”
เด็กหนุ่มถามด้วยเสียงดังก้อง
ฉีกงจิ้งไม่ตอบและใช้ปราณดึงร่างของเขาให้หลบอยู่ตลอดเวลา และมือของเขาก็เรียกธนูออกมาใช้อยู่เรื่อยๆ เขาพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้ประชิดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเขารู้ดีว่าหากปะทะกันตรงๆยังไงเขาก็พ่ายแพ้
หลีมู่หยุดตัวเองลง และใช้ประสาทสัมผัสอันแหลมคมคว้าลูกศรกลางอากาศไว้ได้แล้วจากนั้น
ตู้ม!
หลีมู่ส่งพลังลงไปยังขาของเขา เกิดรอยร้าวขึ้นใต้เท้าที่เขายืนอยู่ แล้วตัวเขาก็พุ่งออกไปข้างหน้าราวกับกระสุนปืนใหญ่ใส่ฉีกงจิ้ง และกระแทกเข้าที่พุงเขาอย่างจัง
ตู้ม!
ฉีกงจิ้งกระอักเลือดออกมาจากปาก เครื่องในของเขาแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี โชคยังดีอยู่บ้างที่เขาใส่เกราะอยู่ไม่งั้นร่างของเขาน่าจะกลายเป็นชิ้นเนื้อไปแล้ว เขากระเด็นไปข้างหลังหลายเมตรก่อนที่จะกระแทกกับกำแพงถ้ำจนกลายเป็นรอยฝังลึกบนกำแพง
ชายวัยกลางคนไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป เลือดกองใหญ่ถูกพ่นออกมาจากปาก
หลีมู่ค่อยๆย่างก้าวไปหาเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฮ่า...” ฉีกงจิ้งรู้ตลอดเวาลาว่าเขาเดินเกมนี้พลาด
เขาพลาดตั้งแต่ที่อยากจะฆ่าหลีมู่ด้วยความเกลียดชัง ถ้าเขาหนีไปตั้งแต่แรกนั่นก็อาจจะทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่เขาก็ดันเห็นศักดิ์ศรีที่สำคัญกว่า ซึ่งนั่นก็นำพาเขาไปจนถึงจุดจบในชีวิตตัวเอง
“สวะอย่างเจ้าควรจะตายซักหมื่นครั้งนะ บอกข้ามาซิว่าเจ้าอยากจะตายแบบไหน?”
“แบบไหนงั้นเหรอ?” ฉีกงจิ้งรู้ดีว่าเขาไม่น่ารอดแล้ว เขามองไปที่หลีมู่แล้วหัวเราะออกมา “ข้าเห็นคนตายมานักต่อนักแล้ว ตั้งแต่ทารกไปจนถึงคนแก่... ฮ่าฮ่า ข้าฆ่าทุกคนที่เข้ามาในชีวิตข้าจนในที่สุดความตายก็เข้ามาหาข้าแล้วสินะ ในโลกที่แสนเน่าเฟะแห่งนี้ไม่ว่าใครๆก็ต้องตายลงซักวัน ไม่เว้นแม้แต่จักรพรรดิด้วยซ้ำ ข้ามีชีวิตอยู่อย่างคุ้มค่าแล้ว แล้วเจ้ากลับมาถามว่าข้าอยากจะตายแบบไหนงั้นเรอะ?”
เขายังคงหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้า อยาก จะ ตาย ไป พร้อม กับ เจ้า... มังกรมรกต! จงออกมา!”
สิ้นสุดคำพูด ก็เกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกับแสงสีเขียวพุ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำ
มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร้วและรัดร่างของหลีมู่เอาไว้ มันคืองูอนาคอนด้าขนาดใหญ่ที่มีจุดสีเขียวอยู่ตามร่างกาย หัวของมันมีรูปร่างที่ดูน่ากลัวราวกับเป็นมังกร
“บ้าจริง!”
มันรัดร่างของหลีมู่ไว้ก่อนที่เขาจะทันตอบโต้ เขาใช้แขนทั้งสองข้างจับปากทั้งบนและล่างของมันไว้เพื่อไม่ให้มันกัดเขา
ทันใดนั้นมือของเขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความเหน็บชาไร้เรี่ยวแรง
มีพิษงั้นเหรอ?
สีหน้าของหลีมู่เปลี่ยนไปชัดเจน
“ฮ่าฮ่า ยอมแพ้ซะเถอะ มังกรตัวนี้เป็นสายพันธ์พิเศษของเทือกเขาไถไป๋ที่สามารถกลืนกินเสือได้ทั้งตัว ข้าจ่ายไปเยอะเพื่อให้ได้ตัวมันมาแล้วเลี้ยงมันด้วยสารพัดสมุนไพรจนกลายเป็นแบบนี้ยังไงล่ะ... เจ้าไม่รอดแล้วล่ะ มันปล่อยพิษออกมารอบๆตัวตลอดเวลา ลาก่อน... แล้วเจอกันในนรก!”
ฉีกงจิ้งหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะยิ้มและกระอักเอาเลือดและเครื่องในที่เหลวแหลกออกมา
ด้านหลีมู่เขาเริ่มรู้แล้วว่าพิษร้ายของมันเริ่มกัดกินเข้ามาเรื่อยๆ แขนของเขากำลังหมดแรงและจะไม่สามารถต้านทานแรงของมันไว้ได้ คมเขี้ยวของมันค่อยๆขยับเข้ามาใกล้หน้าหลีมู่ทีละน้อยๆ พร้อมด้วยกลิ่นสาบสกปรกที่ทำเอาเด็กหนุ่มแทบจะสลบ