โปรเพลเยอร์วัยเกษียณ (SMRiaG) บทที่ 1 สัมภาษณ์กับตำนาน [อ่านฟรี]
บทที่ 1 สัมภาษณ์กับตำนาน
“สวัสดีครับคุณจ๊อยซ์ ผมซามูเอล มอร์แกน เราคุยกันทางโทรศัพท์เมื่ออาทิตย์ก่อน” หลังจากเข้ามาในโรงตีเหล็กร้อน ๆ ชายหนุ่มผมสั้นสีบลอนด์ตาน้ำข้าวเดินตรงเข้ามาหาเบนจามิน จ๊อยซ์ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั่งตีเหล็กขณะกำลังลงค้อนบนแท่งเหล็กร้อน ๆ ตรงหน้า เขาหันกลับมาด้วยความประหลาดใจและใช้แหนบคีบเหล็กวางและเริ่มเผยรอยยิ้มให้เห็น
“เธอคือพ่อหนุ่มที่ฉันต้องพบวันนี้ใช่ไหม? ขอโทษทีนะ พอดีฉันทำกำลังทำโปรเจคเล็ก ๆ ของฉันอยู่น่ะ” เขาเอ่ยคำขอโทษด้วยรอยยิ้มอันสดใส พร้อมเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและแขนโดยใช้ผ้าขนหนูที่มักจะพาดเอาไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จากนั้นก็ถอดเอียร์ปลั๊กออก
ในโรงตีเหล็กที่ร้อนระอุแบบนี้ ชายหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าซามูเอลคลายเน็คไทและถอดเสื้อสูทออกเพื่อที่จะได้ให้ร่างกายนั้นเย็นขึ้นบ้าง หากเป็นในสถานการณ์อื่น ๆ ผู้คนอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องหยาบคายไม่เป็นมืออาชีพ แต่เบนจามินนั้นเข้าใจดีว่าข้างในนี้มันร้อนแค่ไหน เขาก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ต่อการกระทำของชายหนุ่ม จากนั้นก็ยื่นมือออกมาเพื่อเขย่าทักทายแขกของเขา
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะครับคุณจ๊อยซ์ ความสามารถของคุณในงานฝีมือที่หลากหลายอย่างการตีเหล็กเนี่ย เป็นเหตุผลที่ผมมาที่นี่อย่างไรล่ะครับ” ซามูเอลยิ้มเล็กน้อย เขาเปิดกระเป๋าถือออกและหยิบบางอย่างที่ดูเหมือนกับสัญญาพร้อมปากกาให้กับเบนจามิน
“ก่อนที่เราจะมาเริ่มการสัมภาษณ์นั้นจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลงในการไม่เปิดเผยข้อมูล เป็นการที่คุณจะไม่กระจายข้อมูลที่ได้รับจากเรา ทั้งนี้ยังปกป้องความลับของงานฝีมือที่คุณอาจจะพูดถึงให้ผมทราบในวันนี้ด้วย เพื่อที่จะให้ไม่มีสมาชิกของไพร์มอินดัสทรีคนใดแพร่งพรายการสัมภาษณ์วันนี้สู่คนนอกบริษัท ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามแต่ ข้อมูลจะถูกจัดการบนพื้นฐานที่จำเป็นต้องรู้เท่านั้นเพื่อลดโอกาสที่ข้อมูลจะรั่วไหลออกไปได้ คุณมีคำถามไหมครับ?”
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาต้องมาเซ็นสัญญาอะไรแบบนี้ เบนจามินพยักหน้าเล็กน้อยและหยิบสัญญาพร้อมทั้งอ่านทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมา จากนั้นก็ทอดสายตามายังนักธุรกิจหนุ่ม
“ฉันต้องเซ็นตรงไหน?” ซามูเอลตอบสนองต่อคำถามของเขาโดยเริ่มจากการยิ้มอย่างอ่อนโยน เบนจามินคิดว่าชายคนนี้คงมีความสุขกับการที่เขาไม่ได้ทำให้เรื่องมันยุ่งยากอะไร
หลังจากที่เขาชี้ไปตามจุดต่าง ๆ ที่ต้องการลายเซ็น เบนจามินก็ไล่เซ็นจนครบทุกจุดโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ ต่อมาซามูลเอลก็เซ็นชื่อเช่นเดียวกัน เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการทำข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล
“เอาล่ะครับคุณจ๊อยซ์ เรามาเริ่มการสัมภาษณ์กันเลยไหมครับ?” ซามูเอลถามและหยิบแท็บเล็ตพร้อมปากกาอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการจดบันทึกออกมาจากกระเป๋า เบนจามินพยักหน้าพร้อมทั้งยิ้มอย่างสุภาพและชี้ไปที่ประตูที่เปิดออกไปสู่สวนหลังบ้าน “ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ วันนี้อากาศดี” เขาแนะนำพร้อมทั้งเปิดประตูและเดินออกไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ จากนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ผายมือให้ซามูเอลนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ ๆ
ซามูเอลอ่านคำถามกลุ่มแรกที่เขาจดเอาไว้จากนั้นจึงเริ่มถาม “ส่วนแรกนั้นจะเป็น...”
“เอ่อ โทษทีนะ! พ่อหนุ่ม อยากดื่มอะไรไหม? น้ำเปล่า น้ำส้ม? หรือเบียร์เย็น ๆ?” เมื่อเบนจามินนึกขึ้นได้ว่าลืมมารยาทการเป็นเจ้าบ้านที่ดี เขาจึงลุกขึ้นและเดินไปที่ประตูบานเลื่อนกระจกที่เปิดไปสู่ห้องครัว ชายหนุ่มเพียงถอนหายใจดังออกมา ก็รู้อยู่ดีไม่ว่าเขาจะปฏิเสธน้ำใจแต่ชายแก่คนนี้ก็ยืนยันที่จะไปหยิบเครื่องดื่มให้อยู่ดี เขาจะพยักหน้ารับและขอน้ำเปล่า ไม่นานเบนจามินก็หยิบขวดเบียร์ขึ้นมาและเปิดฝาก่อนเดินกลับมา
“เอาล่ะครับ อย่างที่ผมพูดไป การสัมภาษณ์ส่วนแรกนั้นจะประกอบด้วยคำถามส่วนตัวนะครับ ยินดีใช่ไหมครับ?” ซามูเอลถามพร้อมทั้งมองเบนจามินด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและเป็นมืออาชีพ เบนจามินพยักหน้าเพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าเล่าไปก็คงไม่เสียหายอะไร และดูจากภายนอก เด็กคนนี้ก็ดูเก่งและนิสัยดีใช้ได้เลยทีเดียว
“ขอบคุณครับ ชื่อเต็มของคุณจ๊อยซ์คืออะไรเหรอครับ?”
“เบนจามิน ธีโอดอร์ จ๊อยซ์ ชื่อต้นได้มาจากปู่ ส่วนชื่อท้ายได้มาจากยาย มันเป็นประเพณีของครอบครัวเราน่ะ ขนาดหลานฉันยังชื่อเบนจามินเลย ฮ่า ๆ เธออยากเห็นรูปเขาไหมล่ะ? เขาเพิ่งเรียนจบชั้นประถมเมื่อเร็ว ๆ นี้นี่เอง จริงสิ ฉันมีรูปเขาที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ด้วย!” เบนจามินดูหน้าตาตื่นเต้น ลุกขึ้นยืนหมายจะหยิบกระเป๋าสตางค์จากด้านในเสื้อแจ็คเก็ท ซึ่งตอนนั้นเองเขาก็รู้ตัวว่านอกเรื่องไปเยอะ
“โทษที โทษที เวลาฉันสนใจอะไรก็มักจะนอกเรื่องเยอะไปหน่อย” เขาพูดขอโทษและเริ่มหัวเราะอย่างอาย ๆ
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับคุณจ๊อยซ์ ผมเองก็สนิทกับปู่มากเหมือนกัน” ซามูเอลยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นเขาก็ก้มมองแท็บเล็ตและจดบางอย่างลงไป แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนที่เขากำลังจดบันทึกลงไปนั้นเป็นอะไรที่มากกว่าแค่ชื่อของเบนจามิน
“ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่ครับ? และตั้งแต่อายุเท่าไหร่ที่คุณพบว่าตัวเองเริ่มสนใจงานฝีมือที่หลากหลาย?”
ช่างตีเหล็กสูงอายุพิงพนักเก้าอี้และยกเบียร์ขึ้นมาจิบขณะครุ่นคิดถึงคำตอบ ไม่นานเขาก็นึกช่วงเวลาที่แน่ชัดออก “ตอนนี้ฉันหกสิบหกแล้ว เราเป็นครอบครัวช่างตีเหล็กมาหลายชั่วอายุคน แต่ก็น่าเศร้านะที่สิ่งที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น มันจะสิ้นสุดแค่ที่ฉัน ฉันแทบจะกิน นอน เติบโต ในโรงตีเหล็กเลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่ารู้วิธีตีเหล็กก่อนที่จะพูดได้เสียอีก และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริง ฉันใช้เวลาทั้งเดือนในการพยายามทำมีดกระดาษที่สมบูรณ์แบบให้พ่อ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าฉันได้ความช่วยเหลือจากลูกศิษย์หลาย ๆ คนของพ่อด้วย แต่ก็ยังโมเมไปว่าฉันนี่แหละเป็นคนทำเองเสียส่วนใหญ่ ฮ่า ๆ” เบนจามินยิ้มออกมาจากข้างในเมื่อนึกย้อนไปถึงความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นในวันวาน
“อย่างนี้นี่เอง แล้วงานฝีมืออื่น ๆ ล่ะครับ? ผมได้ยินมาว่าคุณยังเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากในด้านเครื่องหนัง ตัดเย็บ และแม้กระทั่งยังทำงานในสายสมุนไพรมาช่วงหนึ่งด้วย?” ซามูเอลถามและเริ่มการจดบันทึกต่อ
“เอ่อ... ตอนฉันอายุได้สิบหกปีก็ออกจากโรงเรียนมัธยมแล้วก็มาเป็นลูกศิษย์ของพ่อตัวเองแบบเต็มตัว และตอนที่ฉันทำสำเร็จ ตาแก่นั่นก็ชิงจากไปเสียก่อน เขาทำงานหนักเกินไปเพราะความเครียดที่มาจากลูกศิษย์เขาหลาย ๆ คนนั้นวางมือในสายอาชีพนี้ หลังจากที่พ่อฉันตายไป ฉันก็ตัดสินใจว่าการเดินทางไปรอบโลกน่าจะเป็นความคิดที่ดี เนื่องจากทั้งหมดที่ฉันรู้ก็จำกัดอยู่แค่ในโรงตีเหล็กเล็ก ๆ นี่ ก่อนจะถึงจุดนั้น ฉันก็มานึก ๆ ว่าจริง ๆ แล้วไม่เคยออกไปจากบ้านเกิดเลย ครั้งแรกฉันเดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อขยายองค์ความรู้ทั่วไปของฉันหรือทำอย่างไรจึงจะอิสระ ฉันทำงานกับช่างตีเหล็กคนอื่น ๆ ด้วย แถมยังได้ปรับปรุงเทคนิคที่ตัวเองมีให้ดีขึ้นว่าเดิม แต่พอถึงจุดหนึ่ง ฉันก็เริ่มสงสัยว่าจริง ๆ แล้วการตีเหล็กเนี่ยมันใช่ตัวฉันจริง ๆ เหรอหรือมันเป็นเพียงแค่มรดกตกทอดที่ครอบครัวสร้างขึ้นมาก่อนที่ฉันจะเกิดกันแน่? ดังนั้นฉันก็เลยเดินทางจากออกจากประเทศและไปยังอเมริกาใต้ ส่วนมากจะเป็นการเดินเท้าหรือบางครั้งก็ทางเรือเมื่อจำเป็น ในตอนนั้นฉันได้ค้นพบผู้คนหลากเชื้อชาติ ใช้เวลาไปกับบางคนเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ได้เรียนรู้วิธีการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ตอนอยู่ที่นั่น ฉันได้เรียนรู้อาหารแม็กซิกันกับแคริบเบียนที่แตกต่างกัน ทั้งยังทำงานกับวัตถุดิบธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ด้วย
หนึ่งปีให้หลัง ฉันก็เดินทางไปยุโรป ไปพบกับช่างตัดเสื้อมากฝีมือคนหนึ่งที่ทำงานตลอดทั้งปีในฝรั่งเศส จากนั้นก็เดินทางไปทั่วยุโรปโดยใช้เทคนิคงานฝีมือแบบดั้งเดิมให้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ ฉันยังเคยไปอาศัยอยู่กับนายพรานเป็นเวลาเดือนหนึ่งเต็ม ๆ เขาสอนวิธีการจัดการหนังสัตว์ที่ล่าได้อย่างถูกต้องให้ฉันด้วย แล้วก็วิธีทำกับดักอย่างไรที่จะไม่ทำให้สัตว์นั้นได้รับบาดเจ็บมากเกินไป
เมื่ออายุได้ราวยี่สิบห้า ฉันก็ได้เดินทางไปแถบเอเชีย เป็นที่ ๆ ฉันได้เรียนรู้มุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับงานฝีมือที่ฉันเคยรู้จักมาดี ไม่ว่าจะเทคนิคการตีเหล็กและการตัดเย็บใหม่ทั้งหมด ได้กินอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน สำหรับความคิดง่าย ๆ ของฉันมันบอกว่าการที่ได้รู้หลาย ๆ สิ่งในโลกใบนี้มันแสดงให้เห็นว่าเราสามารถเติบโตได้ตลอดเวลา อย่างที่เธอเพิ่งพูดถึงไป ฉันเรียนด้านสมุนไพรมาด้วย ถึงแม้ว่าจะรู้พื้นฐานมาบ้างแล้วจากพื้นที่อย่างอังกฤษหรือยุโรปกลางก็ตาม”
เบนจามินอธิบายในรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะรวบรวมได้โดยไม่ขาดตกได้อย่างสมบูรณ์แบบตลอดทั้งวันที่ใช้เวลาส่วนใหญ่รำลึกถึงช่วงเวลาทั้งชีวิตที่เคยผ่านมา
“นี่เป็นเรื่องที่คนหนุ่มสาวทุกวันนี้ใฝ่ฝันถึงเลยนะครับ ตัวผมเองก็ยังเคยอยากที่จะเดินทางไปรอบโลกตั้งแต่ตอนยังเด็ก” ซามูเอลฉีกยิ้มกว้าง
“ไม่ต้องคิดมากหรอกพ่อหนุ่ม เธอยังเด็ก! เวลายังเหลืออีกมาก ยังทำอะไรที่อยากทำได้อีกเยอะแยะ! ไม่เหมือนตาแก่หงำเหงือกแบบฉัน ฮ่า ๆ” เบนจามินหัวเราะเบา ๆ และจิบเบียร์อีกครั้งเพื่อรอซามูเอลทำการสัมภาษณ์ต่อ
“ที่คุณพูดว่าเป็นตาแก่หงำเหงือกเนี่ย ร่างกายของคุณก็ยังเป็นอะไรที่คนวัยผมเนี่ยใฝ่อยากมีนะครับ” ซามูเอลหัวเราะเบา ๆ และจากนั้นก็ก้มมองแท็บเล็ตอีกครั้งเพื่ออ่านคำถามถัดไป “นี่เป็นหัวข้อที่รวมอยู่ในส่วนแรกนะครับ เนื่องจากที่คุณอธิบายลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว จึงทำให้ผมข้ามคำถามบางข้อได้ ต่อไปจะเป็นส่วนที่สองนะครับ ซึ่งมันจะเป็นการอธิบายถึงความคิดของคุณเมื่ออยู่ในโรงตีเหล็กหรือทำงานฝีมือต่าง ๆ ของคุณ อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คุณถึงอยากทำงานพวกนี้ต่อครับ? อาชีพนี้มีความหมายต่อคุณอย่างไร? ประมาณนี้ครับ”
หลังจากที่ซามูเอลอธิบายว่าการสัมภาษณ์ส่วนที่สองนั้นจะเป็นรูปแบบไหน เบนจามินก็คิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจริง ๆ แล้วงานฝีมือมีความหมายกับเขาอย่างไร จริง ๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรมาก
งานฝีมือเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตีเหล็ก เขาเติบโตมาพร้อมมันตั้งแต่จำความได้ แน่นอนว่าเป็นทุกอย่างสำหรับเขา เขาไม่เคยเป็นพวกหนอนหนังสือ สิ่งที่เขาทำได้ดีก็คือการใช้ค้อนทุบลงบนเหล็ก ขณะที่คนอื่นพึ่งสมอง แต่เบนจามินกลับพึ่งแรงกายและมือของตัวเอง แน่นอนว่าเขารวบรวมประสบการณ์มากมายในชีวิตที่อาจทำให้เขาดู ‘ฉลาด’ แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็รู้ว่าตัวเองก็แค่ช่างฝีมือกิ๊กก๊อกทั่วไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าที่เขาทำเช่นนี้เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ มันเพราะเขารักงานนี้อย่างแท้จริงต่างหาก เป็นความจริงที่ว่าเพียงแค่ทำงานด้วยมือด้วยมือทั้งสองนั้นทำให้เกิดความสำคัญและความไว้วางใจของเขาต่องานฝีมือที่หลากหลายยิ่งแข็งแกร่ง ตราบใดก็ตามที่เขาต้องทำอะไรก็แล้วแต่ด้วยมือทั้งสองข้างนี้มันทำให้เขามีจุดประสงค์ในชีวิต
“เธอก็รู้หนิ ว่าฉันแก่ตัวไปมากแล้ว ทุกวันนี้ฉันมีเรื่องอื่นให้ภาคภูมิใจแทนแล้ว ก็อย่างเช่นหลาน ๆ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังสงบใจที่ได้อยู่ที่นี่ มันทำให้ฉันนึกย้อนถึงวันเก่า ๆ ได้ง่ายขึ้น” เบนจามินเสร็จสิ้นการพูดเกี่ยวกับความสำคัญของงานฝีมือในชีวิต ซึ่งทำให้ซามูเอลถึงกับน้ำตาคลอออกมา
เขาใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาผ่านใบหน้าและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับสุนทรพจน์ครั้งนี้ “นี่เป็นแรงบันดาลใจได้มากทีเดียวเลยนะครับคุณจ๊อยซ์ ตอนนี้ผมคิดว่าเพียงพอแล้วสำหรับส่วนที่สองนี้ สุดท้าย ผมต้องการจะบันทึกขั้นตอนการทำงานของคุณครับ ผมนำกล้องกันความร้อนจำนวนหนึ่งเพื่อมาติดตั้งในโรงตีเหล็กนี้ด้วยครับ การบันทึกภาพสามมิติที่สมบูรณ์ของคุณ มันจะช่วยได้มากในการอธิบายเทคนิคต่าง ๆ โดยแสดงเป็นตัวอย่างให้ผมเห็นน่ะครับ” ชายหนุ่มอธิบายส่วนสุดท้าย เบนจามินพยักหน้าพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นเขาก็กระดกเบียร์จนเกลี้ยงขวดและยืดตัวเล็กน้อย
“ไปกันเถอะพ่อหนุ่ม ฉันจะไปเตรียมวัสดุ ส่วนเธอก็ไปติดตั้งเทคโนโลยีอะไรที่เธอว่าก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับคุณจ๊อยซ์ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ!”
เบนจิมนสอนซามูเอลถึงกลเม็ดและเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการตีเหล็ก การตัดเย็บ งานเครื่องหนัง การทำสมุนไพร และรายละเอียดอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพอื่น ๆ เป็นเช่นนี้ตลอดทั้งวันที่เหลือ
ซามูเอลกลับเข้ามานั่งในรถ ทั้งตัวเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อหลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ในโรงตีเหล็กที่ร้อนระอุ เขาจ้องมองแท็บเล็ตอย่าสงบ จากนั้นก็เริ่มพึมพำบางอย่างออกมา
“ฮืม... ช่างฝีมือในตำนาน... เขาทำกันแบบนี้เองน่ะเหรอ?”