MS บทที่ 11 ดาบเชือดหมูที่แสนน่ากลัว
MS บทที่ 11 ดาบเชือดหมูที่แสนน่ากลัว
ความเลือดเย็นในตัวหลีมู่อยู่ในขั้นสูงสุด แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะมีรูปร่างแบบใดก็ตาม เขาก็ปลิดชีพพวกมันทิ้งทันทีเพื่อไม่ให้ต้องทรมาณ
สูฉีอยากจะกรีดร้องออกมา แต่ก็ทำได้แค่เพียงส่งเสียงราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย
เลือดสีแดงไหลกระฉูดออกมาจากลำคอที่ถูกตัด กระโหลกของเขาค่อยๆมีรอยแตกร้าวขึ้นเรื่อยๆแล้วจากนั้น หนึ่งในสี่หลิงกงแห่งไถไป๋ก็เสียชีวิตลง
ช่างเป็นภาพที่โหดร้ายและน่าเวทนายิ่ง
หลีมู่หมุนตัวไปรอบๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฆ่าคนอื่นที่ไม่ใช่พวกจันทราโลหิต แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
เขามองไปที่ร่างของสูฉีในสภาพที่น่าขยะแขยง แต่เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกไม่สบายใจแต่อย่างใด
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตาเฒ่าถึงอยากให้เขาเชือดหมูในโรงเชือดนั่น
มันคือประสบการณ์การฆ่า!
ตาเฒ่านั่นรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในอนาคต ดังนั้นนั่นคือสิ่งที่เขาจัดเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
เขาส่งหลีมู่มาที่ดาวไร้กฎเกณฑ์ดวงนี้เพื่อให้เขาได้ฝึกตน มันทำให้เขาได้ฝึกฝนทั้งร่างกาย,จิตใจ และฝึกวิชายุทธ์ไปพร้อมๆกัน พูดให้ถูกก็คือ เขาไม่สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้หากไม่ฆ่าคน
และในตอนนี้ไฟแห่งความโกรธแค้นก็ยังไม่มลายหายไปจากใจของเขา
“พวกเฉินหนงจะต้องชดใช้ ในสิ่งที่พวกมันทำลงไป”
เขาตั้งใจไว้แบบนั้น
ฝุ่นที่กระจายไปทั่วบริเวณตอนนี้ได้ตกลงสู่ผืนดินหมดแล้ว ผู้คนกำลังเดินย่างเท้าก้าวเข้ามา
ภายใต้การนำของแม่ทัพระดับสูงของเฉินหนง สาวกกว่าร้อยชีวิตก็มารุมล้อมหลีมู่
ธนูอาบยาพิษทั้งหลายรวมไปถึงแก๊สพิษถูกนำออกมาใช้กับหลีมู่ พวกเฉินหนงนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกนอกกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้นการต่อสู้ของพวกเขาจึงไร้กฎเกณฑ์และเป็นภัยต่อไถไป๋อย่างยิ่ง
“จับเขาไว้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม จับตัวเขาไว้ให้ได้”
เสียงแสนชั่วร้ายดังมาหลังฝูงชนนั้น
.
ณ ด้านในลึกสุดของฐานที่มั่นฝ่ายเฉินหนง
ฉีกงจิ้ง ในชุดสีเขียวกำลังนั่งด้วยความนิ่งเงียบ
แสงตะวันยามเที่ยงส่องกระทบบ่อน้ำเบื้องหน้าเขา น้ำในบ่อนั้นมีสีเขียวดั่งมรกตพร้อมด้วยหมอกจางๆและกลิ่นประหลาด ทำให้ถ้ำนี้ดูเศร้าโศกยิ่ง
เขาได้ยินเสียงดังสนั่นทะลวงเข้ามาถึงในที่ที่เขาอยู่
ฉีกงจิ้งเป็นชายวัยกลางคนอายุราวๆ 30 ปี ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลา,หูใหญ่ และคิ้วที่คมกริบ พร้อมด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเสมอ ทำให้ผู้คนมักจะมองว่าเขาเป็นคนที่ดูใจดี
แต่กลับกันนั้น ถ้ามองให้ลึกลงไปจะพบว่าผิวหนังของเขานั้นซีดเผือกเกินมนุษย์มากราวกับว่าเขาปะแป้งมาหนาเกินไป
ถ้าแสงนั้นสว่างกว่านี้ก็คงเห็นเส้นเลือดเล็กๆบนใบหน้าไปแล้ว
ฉีกงจิ้งดำรงตำแหน่งผู้นำของเฉินหนงมามากกว่าสิบห้าปี ราวกับว่าเขาคือสุดยอดเทพที่ไม่สามารถล้มได้
เขาความโหดร้ายในการปกครองผู้คนใต้บัญชาของเขา
“ฮ่า! ไอ้เด็กนี่กล้าเหมือนกันนะเนี่ย” ฉีกงจิ้งนั่งอย่างสบายใจเฉิบ ด้านหลังของเขาก็มีหญิงสาวสองคนถือพัดขนนกกำลังโบกสะบัดลมให้กับเขา เขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่ารังเกียจ
เอาตรงๆเลยคือ เขาไม่สนใจอะไรในตัวผู้พิพากษาคนนี้เลย
ผู้พิพากษาคนก่อนเองถึงจะเก่งกาจแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกบังคับให้ลาออกและเนรเทศไปอยู่ป่าเพื่อศึกษาพลังเต๋าอยู่ดี
อาณาจักรในตอนนี้ตกอยู่ในช่วงโกลาหลแล้ว ไถไป๋ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแผ่นดินนี้ยิ่งห่างไกลจากเงื้อมมือของฮ่องเต้อีก นั่นทำให้ทางการสูญเสียอำนาจไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไร้กฎหมาย เด็กคนนี้กล้าดียังไงถึงได้มาท้าทายอำนาจเฉินหนงแบบนี้?
ชายคนนี้อยากจะขำเสียจนขาดใจตาย
ในถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยเหล่าผู้คนที่ไม่ธรรมดาที่พร้อมจะหยามเกียรติผู้พิพากษาคนนี้อยู่แล้ว
ตู้ม!
ทันใดนั้นเสียงดังกึกก้องก็ดังขึ้นพร้อมกับพื้นดินที่สั่นสะเทือน
บ่อน้ำเบื้องหน้าของเขาสั่นกระเพื่อมราวกับมีคนโยนหินลงไปตรงกลาง
ทุกคนที่กำลังหัวเราะอยู่ในนี้หยุดลงทันที
พวกระดับสูงต่างก็มองหน้ากันเองด้วยความประหลาดใจ และไม่มีใครกล้าเอ่ยคำพูดใดๆ
ตัวฉีกงจิ้งเองก็แปลกใจไม่ต่างกัน
ในจังหวะนั้นก็มีสาวกคนนึงเข้ามาหาเขาด้วยความร้อนรน “นายท่าน ผู้พิพากษามันกระโดดถีบกระตูจนแตกกระจายและตอนนี้ไม่มีใครหยุดเขาได้แล้วขอรับ...”
“อะไรนะ?” บางคนในนี้ถึงกับตกใจ
“ถีบประตูพังเลยเหรอ? คนบ้าอะไรวะ? ประตูนั่นหนักเป็นตันเลยนะเว้ย”
“แน่ใจได้ยังไงว่าคนที่ทำคือผู้พิพากษาคนนั้น”
“ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอเหรอ?”
ผู้คนส่งเสียงกันเซงแซ่ ราวกับว่ามีคนกำลังเอาไม้แหย่รังนางแอ่นจริงๆ
ฉีกงจิ้งเริ่มมีสีหน้าที่หวาดกลัว แต่เขาก็กลบเกลื่อนด้วยการไอเบาๆ
แล้วทุกเสียงก็เงียบลง
“บางทีประตูมันอาจจะเก่าเกินจนพังง่ายๆก็ได้...” เขายิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ “ประตูนั่นก็ตั้งตระหง่านมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว มันจะพังก็ไม่แปลกอะไรหรอก เดี๋ยวค่อยให้คนไปซ่อมมันก็ได้”
เขาพยายามหาเหตุผลมารองรับให้ได้อย่างดูดีที่สุด
“สูฉีเองก็อยู่ที่หน้าประตูตอนนี้ แถมเขายังมีดาบเล่มใหญ่สั่งทำพิเศษอีกด้วย ข้ากลัวว่าเขาน่าจะจับตัวเด็กคนนั้นได้แล้วแน่ๆ...”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากก้าวเข้ามา
สาวกของเขาอีกคนนึงวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน เขาคุกเข่าและพูดเสียงสั่น “นาย นาย นาย นายท่านขอรับ! สูฉีตายแล้วขอรับ...”
ทุกคนเงียบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉีกงจิ้งจางหายกลายเป็นสีหน้าที่โกรธแค้นราวกับว่าเขาถูกเด็กคนนี้ตบหน้าเข้าให้
“มันกล้าดียังไง? เจ้าเด็กคนนี้ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าทุกคนจับตัวมันมาซะไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม ข้าจะสั่งสอนมันด้วยตัวข้าเอง! จับมันมาให้ได้!” ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความโกรธเกรี้ยว
….
“เจ้า...เจ้าใช้...วิชาอะไร?”
ซ่งถงหนึ่งในสี่หลิงกงคนสุดท้ายกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว หอกของเขานั้นมีชื่อเสียงในการต่อสู้เป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้มันกลับถูกทำลายจนหักเป็นสองท่อน ความหนาวสะท้านเริ่มคืบคลานเข้าหาลำคอของเขา
“ดาบเชือดหมู”
หลีมู่บอกเขาไปตรงๆ ตอนนี้เขาเหลือแค่มือเปล่าแล้ว ดาบของทหารนั้นไม่อาจทนรับแรงอันมหาศาลจากเจ้าของคนใหม่ได้จนสุดท้ายก็หักหลังจากที่ถูกใช้ฆ่าฟันคนมาระยะหนึ่ง
ซ่งถงกับฉายาหอกไร้เงา ตอนนี้หัวของเขาได้หลุดกระเด็นออกมาพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระเซ็นขึ้นฟ้าราวงกับน้ำพุและร่างของเขาก็ล้มลงไป
ข้างๆร่างของเขาก็มีศพของ เช่าหยง (ดาบพิษเกล็ดหิมะ) และ ตูเหิง (เจ้าแห่งพิษ) แห่งสี่หลิงกง ทั้งหมดถูกฆ่าเพียงดาบเดียว
ทั้งสี่คนนี้ต่างก็มีประสบการณ์โชกโชนในการฆ่าคน แต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกตัดหัวทิ้งอย่างง่ายดาย
อีกทั้งผู้ที่ตัดหัวเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้พิพากษาที่คนอื่นต่างก็พากันดูถูกดูแคลน
หม่าจุนวุที่อยู่ห่างออกไปนั้นไม่มีอะไรให้คิดอีกแล้ว
หลังจากที่เห็นภาพเหล่านั้นไป เขาก็กลัวจนแทบจะเป็นบ้า
น่ากลัวฉิบหายเลยโว้ย!
นี่เขาเป็นอสูรกายรึไงกัน? ถึงได้ไล่ตัดหัวคนทิ้งอย่างง่ายดายราวกับว่าพวกมันเป็นแค่ผักปลาแบบนี้
หม่าจุนวูถึงจะเรียกตัวเองว่าจ้าววรยุทธ์แห่งไถไป๋ได้ก็ตาม
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ปะทะกับพวกหลิงกงทั้งสี่ไม่ได้หรอกมันต่างชั้นกันเกินไป ใครมันจะไปคิดล่ะว่าหลีมู่จะตัดหัวพวกมันได้ง่ายดายขนาดนี้
ภาพที่เห็นจากหลีมู่กำลังถูกล้อมกรอบโดยสี่หลิงกงผู้แสนชั่วร้าย กลับกลายเป็นการาสังหารหมู่ของหลีมู่ด้วยมีดเล่มเดียว
ฝูงชนด้านหลังหม่าจุนวูเองก็หวาดกลัวไม่แพ้กัน
พวกเขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำว่ากำลังเป็นสักขีพยานของพลังหลีมู่ ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดในทันที
“เป็นไปได้ยังไง?”
“หลีมู่คือจ้าววรยุทธ์!”
“เก่งเกินไปแล้วโว้ย!”
“ไม่ดีแล้ว รีบไปรายงานนายท่านเลยไม่งั้นพวกเราซวยแน่”
“เร็วเข้ารีบไปรายงานเรื่องนี้ซะ ว่าพวกเราต้องเปลี่ยนแนวคิดที่มีต่อผู้พิพากษาคนนี้แล้ว”
ความคิดทั้งหมดนี้ไหลผ่านหัวสมองของผู้คนเหล่านั้นทันที