บทที่ 18 ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สอง
คุณหนูอี้จากไปขณะที่ยังคงโกรธจนควันออกหู เสื้อผ้าของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อซึ่งทำให้ส่วนโค้งเว้าอันน่าเย้ายวนของนางถูกเผยออกมา
หากนางยังคงอยู่นานกว่านี้ เกรงว่าคงมีชายหลายคนได้คลั่งแน่…
เจียงอี้เองก็เตรียมตัวที่จะจากไปเช่นกัน ด้วยแก่นแท้พลังสีดำที่เหลืออยู่อีกเพียงเส้นเดียว
หากเขาต้องการที่จะสู้ต่อ ก็คงเป็นเรื่องยากพอสมควรที่จะต่อกรกับเหล่าทายาทจากตระกูลชั้นสูงเหล่านั้น
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเพียงผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สอง แต่ในเวลานี้เขาก็อาจจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้
ในตอนแรกนั้น เจียงอี้ยอมรับว่าความคิดของเขาไร้เดียงสามากเกินไปที่จะกลายมาเป็นคู่ซ้อมประลองยุทธเพื่อไต่เต้าไปสู่คู่ซ้อมระดับป้ายทองและได้รับเงินเพื่อไปใช้หนี้…
“หมาป่าเดียวดาย นั่นเจ้ากำลังจะไปไหน?”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะจากไป เขาก็ถูกผู้ดูแลหยางตะโกนเรียกในทันที
เจียงอี้ถอดหน้ากากออกอย่างช้าๆและกล่าว
“ผู้ดูแล ข้าคิดว่าหน้าที่นี้ไม่เหมาะกับข้า ข้าไม่ต้องการเงินแล้ว… รับหน้ากากของท่านคืนไปเถิด”
“เดี๋ยวก่อน!”
ผู้ดูแลหยางยังคงสับสน ในที่สุดเขาก็สามารถหาคู่ซ้อมดีๆได้หลังจากที่มองหาอยู่นาน แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะมองดูเจียงอี้จากไปโดยไม่ทำอะไรเลย?
ความจริงแล้วตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาได้รับแรงกดดันอย่างมหาศาลจากความต้องการของเหล่านายน้อยและคุณหนูเหล่านั้นซึ่งทำให้ช่วงหลายวันมานี้เขารู้สึกหงุดหงิดและหมดหนทาง
ผู้ดูแลหยางเดินเข้ามาใกล้เจียงอี้และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หมาป่าเดียวดาย เจ้าเพียงแค่ไม่พอใจกับเงินจำนวนเล็กน้อยใช่หรือไม่? ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เรื่องนี้เราคุยกันได้”
“หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ต่อ… ข้าจะจ่ายให้เจ้าเท่ากับค่าจ้างของคู่ซ้อมระดับป้ายเงิน นั่นก็คือสิบตำลึงเงินต่อวัน เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”
เจียงอี้นำเสื้อคลุมขึ้นมาสวมและยิ้มอย่างขมขื่น
“ท่านผู้ดูแล ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วนที่ต้องไปจัดการ แต่ข้าจะกลับมาในไม่ช้า”
หลังจากที่กล่าวจบ เจียงอี้ก็ไม่สนใจคำชักชวนของผู้ดูแลหยางที่จะให้เขาอยู่ต่อและเดินออกจากโถงวรยุทธภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของทหารยาม
เขามุ่งตรงไปยังลานส่วนกลางของตำหนักตระกูลเจียงในทันที
“ผู้ดูแลหยาง! ผู้ดูแลหยาง!”
ห้านาทีหลังจากที่เจียงอี้จากไป หญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงก็รีบวิ่งเข้ามาในห้องซ้อมประลองด้วยความกระตือรือร้น จากนั้นก็มองไปรอบๆราวกับว่ากำลังมองหาใครบางคน
“ผู้ดูแลหยาง คู่ซ้อมระดับป้ายทองที่ประลองกับข้าเมื่อครู่ไปไหนเสียแล้ว?”
“เขาออกไปแล้ว” ผู้ดูแลหยางตอบด้วยความงงงวย
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับคุณหนูอี้? หรือคนผู้นั้นทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ?”
“ห๊ะ ออกไปแล้ว? ไม่นะ!” อี้หลิงเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“เช่นนั้นก็ให้คนมาแจ้งข้าด้วยทันทีที่เขากลับมา บอกตามตรงชายคนนั้นเป็นคู่ซ้อมที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าฝึกหมัดวายุมาแล้วแปดปีแต่ก็ยังคงติดแหง็กอยู่ในขั้นผู้เชี่ยวชาญตลอดสามปีที่ผ่านมา แต่หลังจากที่ข้าได้ประมือกับเขา ข้าก็สามารถทะลวงสู่อีกขั้นของเพลงหมัดนี้ได้สำเร็จ…”
“อะไรนะ?!”
การแสดงออกทางสีหน้าของผู้ดูแลหยางเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ดวงตาของเขาถูกปกคลุมไปด้วยความเสียดาย
วัตถุประสงค์หลักของการซ้อมประลองยุทธก็เพื่อเพิ่มความเร็วในการตอบสนองและขัดเกลาสัญชาตญาณการต่อสู้กับให้เหล่ารุ่นเยาว์ รวมทั้งพัฒนาทักษะการต่อสู้ให้กับพวกเขา
แต่ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะพัฒนาได้ทั้งสามด้าน ความจริงแล้วหากต้องการที่จะยกระดับความเชี่ยวชาญให้กับทักษะใดทักษะหนึ่งจำเป็นต้องใช้เวลานาน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมห้องซ้อมประลองถึงได้ผนึกแก่นแท้พลังทั้งสองฝ่าย
ความเชี่ยวชาญในทักษะการต่อสู้ถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ : ขั้นเริ่มต้น, ขั้นผู้เชี่ยวชาญ และขั้นบรรลุ
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทักษะหมัดวายุของคุณหนูอี้จะยังคงติดแหง็กอยู่ในขั้นผู้เชี่ยวชาญนานถึงสามปี
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เพียงแค่นางได้ประมือกับเจียงอี้ครั้งเดียว จู่ๆทักษะของนางก็สำเร็จขั้นบรรลุเสียอย่างนั้น?
เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ? หรือเด็กหนุ่มคนนั้นเพียงแสร้งว่าอ่อนแอเพื่อหาความสนุก แต่ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือก็จอมยุทธระดับปรมาจารย์?
หรือเขาเพียงแค่บังเอิญช่วยให้คุณหนูอี้สำเร็จขั้นบรรลุของทักษะหมัดวายุเท่านั้น?
ผู้ดูแลหยางไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามหากครั้งหน้าที่เจียงอี้กลับมา เขาจะต้องหาวิธีทำให้อีกฝ่ายอยู่ต่อให้ได้
หากเขาสามารถช่วยให้เหล่าทายาทจากตระกูลใหญ่เหล่านั้นเพิ่มพูนความสามารถและเชี่ยวชาญทักษะของตนมากขึ้น หลังจากนั้นเขาก็อาจจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล…
…
เวลาปาเข้าไปช่วงบ่ายพอดีหลังจากที่เจียงอี้กลับมาถึงบ้าน เมื่อเขายิ่งคิดถึงการที่ต้องไปยังเขาซีชานในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ เขาก็รีบทานข้าวและเริ่มบ่มเพาะพลังเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สอง
“เม็ดยาวิญญาณ!”
ร่างกายของเขาสั่นไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่หยิบขวดสีขาวออกมา
เม็ดยาวิญญาณที่อยู่ภายในเป็นเม็ดยาระดับมนุษย์ขั้นสูงซึ่งจะช่วยให้เขาสามารถเพิ่มความเร็วในการปรับแต่งแก่นแท้พลังได้
ยิ่งไปกว่านั้นพลังของแก่นแท้พลังสีดำของเจียงอี้ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเม็ดยาได้ทุกชนิด
เมื่อแก่นแท้พลังสีดำผสานเข้ากับเม็ดยาวิญญาณ มันก็จะถูกยกระดับเป็นเม็ดยาระดับพิภพ
ด้วยการดูดซับเม็ดยาวิญญาณทั้งสิบนี้จะช่วยให้เขาสามารถทะลวงสู่ขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่งได้
“ถึงเวลากลั่นแก่นแท้พลังสีดำแล้ว!”
เจียงอี้วางเม็ดยา จากนั้นเขาก็นั่งไขว่ห้างเพื่อเข้าสู่ห้วงสมาธิ หลังจากผ่านไปหกชั่วโมง เขาก็กลืนเม็ดยาและเริ่มโคจรวรยุทธวารีตระกูลเจียง
“ประสิทธิภาพของเม็ดยายอดเยี่ยมมาก!”
เขารู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่ไหลไปรวมกันอยู่ตรงหน้าอกและเคลื่อนลงไปยังตันเทียนอย่างรวดเร็ว
เจียงอี้ถอนหายใจด้วยความเศร้าเล็กน้อย มันคงจะดีหากว่ามีเม็ดยาเพียงพอให้เขาใช้บ่มเพาะพลัง
เจียงหยูหู่นั้นมีพรสวรรค์ที่ย่ำแย่แต่เขาก็ยังสามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ได้ มันเป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นเพราะเขากลืนเม็ดยาแทนข้าว?
“แก่นแท้พลังสีดำ! ผสาน!”
เมื่อพลังของเม็ดยาไหลเข้าไปในตันเทียน เจียงอี้ก็รีบผสานมันเข้ากับพลังของแก่นแท้พลังสีดำจากนั้นก็เร่งการโคจรวรยุทธวารีตระกูลเจียง
“ความเร็วนี่มัน…!!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงแก่นแท้พลังสีน้ำเงินที่พวยพุ่งออกมาจากตันเทียนราวกับระเบิด เจียงอี้ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่อาจที่จะควบคุมได้
เมื่อผสานแก่นแท้พลังสีดำเข้าไป เม็ดยาเหล่านั้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังให้กับเขาอย่างน้อยสิบเท่า!
ราวๆสามสิบวินาทีต่อมา พลังของแก่นแท้พลังสีดำก็หมดไป
เจียงอี้ไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดโคจรวรยุทธวารีตระกูลเจียงและหันไปรวบรวมแก่นแท้พลังเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพให้กับเม็ดยา
สิ่งนี้เกิดขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งแก่นแท้พลังสีดำทั้งสิบเส้นถูกใช้จนหมด ดังนั้นเขาจึงหยุดบ่มเพาะพลัง
อืม… ดูเหมือนว่าพลังที่ข้าสะสมได้ในวันนี้จะเทียบเท่ากับการบ่มเพาะปกติประมาณครึ่งเดือน
เจียงอี้เริ่มสำรวจการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าพลังของเม็ดยาได้จางหายไปหมดแล้ว เขาก็ถอนจิตออกมา
เขาเริ่มการกลั่นแก่นแท้พลังสีดำอีกครั้ง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าประสบการณ์ในครั้งนี้แตกต่างออกไป
ด้วยการเพิ่มพลังโดยเม็ดยาวิญญาณทำให้ความเร็วในการกลั่นแก่นแท้พลังสีดำของเขาเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า ในเวลานี้เขาสามารถสร้างพวกมันได้ถึงหกเส้นในหนึ่งชั่วโมง
“เยี่ยม!”
เจียงอี้ไม่ได้มีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มานานหลายปีแล้วนับตั้งแต่ที่เริ่มบ่มเพาะพลัง เขามุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะพลังอย่างเต็มที่
ในขณะที่อยู่ในห้วงสมาธิและบ่มเพาะพลัง ด้วยผลจากเม็ดยาวิญญาณทำให้เขาสามารถฝึกฝนต่อได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องทานอาหารเย็น
จนกระทั่งการบ่มเพาะพลังของเขาได้หยุดลงในเช้าวันรุ่งขึ้น
เม็ดยาวิญญาณทั้งสิบเม็ด เจียงอี้ดูดซับพวกมันไปเก้าเม็ดและในที่สุด… เขาก็สามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองได้เสียที!
เขาสามารถมองเห็นได้ว่าภายในตันเทียนของเขาตอนนี้ได้สะสมพลังงานที่มากกว่าเดิมถึงสองเท่าและมีสีที่เข้มกว่าเดิม
เจียงอี้ไม่สามารถสะกดข่มความดีใจไว้ได้จนต้องกู่คำรามเพื่อปลดปล่อยความสุขออกมา
เขาเริ่มฝึกฝนวรยุทธวารีตระกูลเจียงตั้งแต่ตอนอายุได้เจ็ดปีและสามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองได้ในตอนที่อายุสิบห้า
แม้ว่าการบรรลุในครั้งนี้จะเป็นผลมาจากพลังของเม็ดยา แต่ถึงอย่างนั้น เจียงอี้ก็ยังคงปลื้มปิติ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผนึกบนตันเทียนถูกทำลายมากขึ้นซึ่งทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งนี้ทำให้เจียงอี้มองเห็นแสงแห่งความหวังที่จะปลดปล่อยตนเองจากความอัปยศ
“หืม?!”
หลังจากที่สงบสติลง เจียงอี้ก็ย้ายจิตเข้าไปสำรวจตันเทียนอีกครั้งแต่ก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ!
เหตุใดความเข้มข้นของแก่นแท้พลังสีน้ำเงินดูเหมือนว่าจะมากขึ้น? แล้วทำไมสีของแก่นแท้พลังสีดำถึงดูสดใสขึ้น?
เมื่อมีระดับการบ่มเพาะสูงขึ้น แก่นแท้พลังก็จะยิ่งเข้มข้นและจะทรงพลังขึ้นมาก!
นี่เป็นความรู้ทั่วไปในทวีปเทียนชิง ตอนนี้มันยังปกติสำหรับแก่นแท้พลังสีน้ำเงินของเจียงอี้ที่อาจจะเกิดความผันผวนไปบ้างเนื่องจากเพิ่งทะลวงขั้นสำเร็จ
แต่ทำไมแก่นแท้พลังสีดำของเขาถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย? ดูเหมือนว่ามันจะสว่างขึ้นเล็กน้อย?
เจียงอี้ครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ลองเคลื่อนแก่นแท้พลังสีดำเส้นหนึ่งไปยังเส้นลมปราณแถวดวงตา
อย่างไรก็ตาม เขาก็พบว่ามันไม่ได้มีความแตกต่างจากก่อนหน้านี้ การมองเห็นของเขาดีกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้มากกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
“ทำไมสีของแก่นแท้พลังสีดำถึงได้ดูสดใสขึ้นนะ?”
เจียงอี้ยังคงอยู่ในความสับสน เขาหลับตาลงและเพ่งสมาธิไปที่ตันเทียนอีกครั้ง เขามองเห็นแก่นแท้พลังสีดำที่เหลืออยู่อีกหนึ่งเส้น แต่แม้ว่าจะสังเกตอยู่เป็นเวลานานก็ไม่พบสิ่งแปลกใหม่
หลังจากที่ผ่านไปสองนาทีครึ่ง ดวงตาของเจียงอี้ก็เปิดออก
แต่ทว่าทันใดนั้นเองสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนด้วยความประหลาดใจ
นี่เป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่าเขาสามารถมองเห็นรอบด้านได้อย่างชัดเจนจนน่าอัศจรรย์แม้ว่ามันจะผ่านมาแล้วสองนาทีครึ่งก็ตาม
แต่มันเป็นไปได้ยังไงที่เวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วแต่พลังของแก่นแท้พลังสีดำยังไม่หมดไป?
“ดูเหมือนว่าการที่ข้าทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สอง แก่นแท้พลังสีน้ำเงินจะมีความเข้มข้นมากขึ้น พลังของแก่นแท้พลังสีดำเองก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมากด้วยเช่นกันดังนั้นความเร็วในการเผาผลาญจึงช้ากว่าเดิม”
เจียงอี้ลองสัมผัสแก่นแท้พลังสีดำที่อยู่รอบดวงตาและมั่นใจแล้วว่ามันยังไม่ถูกเผาผลาญอย่างสมบูรณ์
แต่หลังจากนั้นไม่นานการมองเห็นของเขาก็เริ่มพล่ามัวเล็กน้อยก่อนทีจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าตอนนี้พลังของแก่นแท้พลังสีดำจะหมดลงแล้ว
“ต้องลองดูอีกที!” เจียงอี้พึมพำ
เจียงอี้ชักนำแก่นแท้พลังที่เหลืออยู่เส้นสุดท้ายไปที่ดวงตาของเขา ในเวลานี้ ศักยภาพในการมองเห็นของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้งและยังคงสภาพได้นานถึงสองนาทีครึ่ง
“หากหนึ่งเส้นสามารถอยู่ได้นานกว่าสองนาทีครึ่ง เช่นนั้นสิบเส้นก็อยู่ได้เกือบครึ่งชั่วโมง!”
เจียงอี้คำนวณเวลาอย่างมีความสุข แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ยากที่จะหาผู้แพ้หรือชนะในการต่อสู้กับผู้ที่มีวิทยายุทธอันเก่งกล้าในเวลาอันสั้น
แต่การที่เขาสามารถยืดเวลาในการคงสภาพพลังของแก่นแท้พลังสีดำไว้ในดวงตา ก็ยิ่งทำให้เขาได้เปรียบมากขึ้น
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าภายนอกเริ่มสว่าง เจียงอี้ก็ไม่กล้าที่จะสังเกตอะไรเพิ่มเติมเพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องรีบไปรายงานตัวกับหัวหน้าหรง
เขาจะต้องรีบสร้างแก่นแท้พลังสีดำให้มากขึ้นเพื่อเก็บมันไว้ใช้ในกรณีที่ถูกเจียงหยูหู่และเหล่าลูกสมุนของมันดักทำร้าย
เมื่อเจียงอี้บ่มเพาะพลังเสร็จ มันก็จวนเจียนจะเป็นช่วงสายแล้ว เขาสร้างแก่นแท้พลังสีดำได้หกเส้น เขาคว้าหมั่นโถวสองลูกและรีบเดินไปยังตำหนักตระกูลเจียงฝั่งตะวันออกอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ถูกหัวหน้าหรงตวาดใส่อยู่ชุดใหญ่ เจียงอี้ก็รีบจากมาและเดินทางไปยังเขาซีชานเพื่อตรวจสอบสมุนไพร
โชคดีที่ครั้งนี้เขายังคงได้งานรอบๆเขาซีชานและหัวหน้าหรงก็ไม่ได้กล่าวอะไรถึงป้ายคำสั่ง
นอกจากนี้เมื่อมาถึงเขาซีชาน ทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าก็จำเขาได้และไม่ได้ขอให้เขาแสดงป้ายคำสั่งออกมา
หลังจากที่ใช้เวลาทำงานอยู่ร่วมชั่วโมง ในที่สุดเจียงอี้ก็นับจำนวนสมุนไพรในไร่หมายเลขเจ็ดจนครบ
ขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าลงจากเขาเพื่อกลับบ้านไปบ่มเพาะพลังต่อ เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากป่าที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ
“ใครอยู่ตรงนั้น?!” เจียงอี้ตะโกน
เขากวาดสายตาไปทั่วและเริ่มสงสัยแล้วว่าใช่เจียงหยูหู่และกลุ่มของมันที่มาดักรอเพื่อทำร้ายเขาหรือไม่?
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เจียงอี้ก็ตื่นตัวในทันที จู่ๆเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าชั่วร้ายก็เดินออกมาจากป่า สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความเกลียดชังและเยาะเย้ย
แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจียงหยูหู่! ยิ่งกว่านั้น เขายังนำคนมาด้วยจำนวนมาก อย่างน้อยก็มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน!
หนึ่งต่อยี่สิบ?
เจียงอี้กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ถึงจะเป็นความจริงที่พลังของเขาเพิ่มมากขึ้นและยังคงพึ่งพาพลังของแก่นแท้พลังสีดำได้ แต่เขาจะสามารถต่อกรกับคนจำนวนมากเช่นนี้ได้อย่างไร?
นอกจากเจียงหยูหู่ที่เป็นจอมยุทธในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่แล้ว ดูเหมือนว่าในกลุ่มนั้นจะมีห้าถึงหกคนที่บรรลุขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สาม…
เมื่อเห็นสีหน้าของเจียงอี้ที่กำลังตกตะลึง เจียงหยูหู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจียงอี้ หากวันนี้ข้าไม่ได้หักขาเจ้า ดูท่าข้าคงจะนอนไม่หลับแน่!”