ตอนที่ 296 ไม่ตายก็ไม่เลิกรา
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**
“เจ้าต้องการที่จะท้าสู้กับข้าจริงงั้นหรือ ? เช่นนั้นคงต้องมีคนตายแล้วละ เจ้าใคร่ครวญให้ดีละ !” หลงเฉินจ้องมองเจียงอี้ฝ่านอย่างเย็นชา ดวงตาทั้งคู่ทอแววเย็นเยียบอย่างลึกล้ำ
หลงเฉินนั้นไม่ชมชอบที่ต้องมาต่อสู้กันเช่นนี้เลย เขาคิดว่าการต่อสู้เช่นนี้ แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย คนพวกนี้ในเมื่อถ่องแท้ในการต่อสู้มากถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่ไปเข่นฆ่าฝ่ายอธรรมกันเล่า ?
ในสายตาของหลงเฉิน คนของฝ่ายธรรมะที่คิดทำประโยชน์ให้คนอื่นไม่เป็น อีกทั้งยังมีแต่จะทำให้เกิดเรื่องแย่ลง และพวกที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย ชอบเล่นแผนสกปรกครั้งแล้วครั้งเล่า
คนพวกนี้ การต่อสู้แก่งแย่งกันภายในถือเป็นจุดแข็งของพวกเขาเลยทีเดียว แต่ว่าเมื่อในยามที่ศิษย์ของฝ่ายอธรรมบุกเข้ามาอย่างแท้จริง กลับไสหัวไปได้เร็วกว่าผู้ใด
แล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ที่เป็นเหตุผลสำคัญที่สุด ภายในจิตใจของหลงเฉินนับตั้งแต่สิ่งนี้เริ่มเกิดขึ้น ก็รู้สึกว่าเป็นวิกฤติกาลอย่างหนึ่ง ซึ่งเขาไม่ต้องการที่จะแสดงตนออกไปให้ใครทราบ
เขาตอนนี้จำเป็นที่จะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมด เพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่านี้ จึงจะสามารถที่จะรอดพ้นไปจากวิกฤติเช่นนี้ไปได้
และคนประเภทเดียวกับคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสซุนหรือว่าเจียงอี้ฝ่านผู้นี้ คล้ายกับหากไม่บีบเค้นให้หลงเฉินต้องพิโรธขึ้นมา ก็คงจะไม่มีวันที่จะตายตาหลับก็มิปาน
หลงเฉินไม่ต้องการที่จะต่อสู้ด้วยเหตุผลของเรื่องไม่เป็นเรื่องต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เพราะทำเช่นนั้นก็จะมีแต่เป็นการเปิดเผยไพ่ตายของตนเองออกไป จนชักนำความสนใจของผู้คนมากมายให้เข้ามาได้มากขึ้นกว่าเดิม
เขาไม่คาดหวังที่จะต้องเจอคนอย่างผู้อาวุโสซุนเพิ่มขึ้น เขาหาได้มีเวลามากพอที่จะไปต่อกรกับเจ้าพวกโง่งมเหล่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความคุกคามที่ยิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้น
ในเวลาเดียวกันก็นึกคิดมาได้ว่า ภายในความฝันของตนเองก่อนหน้านี้ ที่ใช้หมัดเพียงหมัดเดียวทำลายท้องนภา อีกทั้งชายหนุ่มผู้นั้นยังกล่าวเอาไว้ประโยคหนึ่งที่บอกว่า : เวลามีเหลือไม่มากแล้ว
ดังนั้นหลงเฉินในช่วงนี้จึงอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียดอย่างที่สุด แต่ว่าแม้เขาจะร้อนรนไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี ทว่าเขาเชื่อมั่นอยู่ข้อหนึ่งว่า ภายในขอบเขตแดนลับนพเก้า จะต้องมี ‘สิ่งของที่หมายปองที่ต้องได้มาให้ได้’ อยู่อย่างแน่นอน
ดังนั้นหลงเฉินจึงได้ทุ่มจิตใจทั้งหมด ไปที่การเตรียมการในการเข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้า ขณะนี้ทุกๆลมหายใจของเขาถือได้ว่ามีค่าเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงสามารถที่จะเพิ่มพูนพลังได้แม้อีกซักนิด ก็ต้องเพิ่มมาให้ได้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันธ์ถึงชีวิตของเขาอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว
หลายวันที่ผ่านมานี้หลงเฉินได้ทุ่มเทศึกษาวิทยายุทธ์วิชาดาบวายุคลั่งกับเคล็ดผันอัสนีมาโดยตลอด ในขณะที่พึ่งจะกลับมาที่หมู่ตึก ก็ได้พบกับเรื่องเช่นนี้เข้า
เดิมทีหลงเฉินไม่คิดที่จะลงมือ อย่าว่าแต่ต้องให้ผู้ใดขึ้นไปเดินไปเดินมา แล้วก็จึงค่อยกระโดดลงมาเพื่อขอยอมแพ้เลย ในเมื่ออย่างไรเสียตอนนี้ก็ชนะไปแล้วอยู่ดี
แต่ว่าประกายแววตาของเจียงอี้ฝ่านผู้นี้กลับคมกริบเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่มองดูก็สามารถมองทะลุจุดด้อยของหลงเฉินได้อย่างปรุโปร่ง ดังนั้นจึงได้มุ่งเป้าไปยังถังหว่านเอ๋อ
ถึงแม้จะทราบแน่ชัดว่านี่เป็นการเล่นเล่ห์ ยั่วยุเขา ของเจียงอี้ฝ่าน แต่ว่าหลงเฉินก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะมีโทสะที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ เขาทราบดีว่า เจียงอี้ฝ่านผู้นี้ต้องไม่เลิกลากับเขาอย่างง่ายดายแน่
ถ้าหากหลงเฉินยังไม่รับคำท้าอีก เขาก็จะยิ่งกล่าววาจาที่ไม่น่าฟังนักข้อยิ่งกว่าเดิมออกมา ถึงแม้คนเช่นนี้จะไม่ควรค่าแก่การใส่ใจก็ตาม ทว่าหลงเฉินก็ต้องยอมรับ ว่าเจียงอี้ฝ่านผู้นี้ได้ทำสำเร็จแล้ว อีกทั้งยังได้กระตุ้นโทสะของเขาขึ้นมาได้เป็นที่สำเร็จด้วย
“การต่อสู้มิใช่เป็นการเล่นกัน ทั้งยังสมควรเมินเฉยต่อความเป็นตาย เมื่อครู่คุณหนูผู้งดงามท่านนี้ มิใช่พึ่งจะกระทำเช่นนั้นไปอย่างงั้นหรือ ?” เจียงอี้ฝ่านกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นั้นเป็นเพราะว่าคนฝ่ายของเจ้า หน้าด้านไร้ยางอายจนเกินเยียวยา ทั้งยังแส่หาเรื่องเองด้วย” ถังหว่านเอ๋อที่มีสีหน้าเย็นเยียบขึ้นมา โต้ตอบออกไปด้วยโทสะ
เห็นๆกันอยู่ว่าพวกเขานั้นมีผู้อยู่เหนือขอบเขตอยู่เพียงแค่คนเดียว ก็ยังใช้การกระทำที่น่ารังเกียจเพื่อเอาชนะ ทั้งเมื่อพ่ายไปแล้วยังลอบทำร้ายกู่หยางอีก ที่ยิ่งไร้ยางอายที่สุดก็คือการแย่งชิงอาวุธที่หวงแหนของกู่หยางไป
และสองพี่น้องฝาแฝดคู่นั้น กลับยิ่งขาดคุณธรรมเป็นเท่าทวี เมื่อขึ้นไปแล้วยังกล่าววาจาหยาบคายไม่หยุด อีกทั้งยังเป็นพวกปากไม่มีหูรูดอีก หากไม่ฆ่าพวกเขาแล้วจะให้ไปฆ่าใครกันอีกเล่า ?
“เป้าหมายของการต่อสู้ผลสุดท้ายก็เพื่อชัยชนะ ไม่ว่าจะใช้พลังฝีมืออันใด หรือใช้วิธีการเช่นไร ต่างก็ไม่ถือว่าเกินเลยไปนัก” เจียงอี้ฝ่านยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว
“เจ้า!……”
หลงเฉินรั้งถังหว่านเอ๋อไว้ พร้อมทั้งส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวกับนางว่า “เจ้าลืมเลือนสิ่งที่พวกเราได้ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วหรือ ข้าจะรับผิดชอบจัดการกับพวกโง่เง่าเอง เจ้าก็รับผิดชอบเป็นบุษผางามไป คนเลวทรามพวกนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเองเถอะ”
ถังหว่านเอ๋อที่ถูกหลงเฉินรั้งเอาไว้ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา โทสะของนางก็ได้มอดดับสลายหายไปในทันที แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกละอายใจขึ้นมา เมื่อเทียบเปรียบกับหลงเฉินแล้ว นางก็ช่างเป็นทารกที่เอาแต่ใจเกินไปแล้ว
หลงเฉินมองไปทางเจียงอี้ฝ่านแล้วกล่าว “ในเมื่อเจ้าคิดที่จะสู้ เช่นนั้นเพียงข้าตอบรับเจ้า ก็ได้แล้วใช่หรือไม่ แต่รอบสุดท้ายนี้ข้าจะขอเพิ่มเดิมพันอีกนะ”
“เจ้าต้องการที่จะเพิ่มอะไรอีก ?” โล่วปิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งกล่าวขึ้นมา
เมื่อได้เห็นหลงเฉินตอบรับคำท้าสู้ของเจียงอี้ฝ่านแล้วนั้น โล่วปิงก็เกิดรู้สึกสาสมใจขึ้นมา ถึงแม้จะพยายามคงความสุขุม เรียบเฉยเอาไว้ให้ได้อย่างถึงที่สุด แต่ทว่าภายในแววตาก็ยังคงไม่อาจที่จะซ่อนเร้นความลิงโลดเอาไว้ได้เลย
“ในรอบสุดท้าย ข้าจะขอเดิมพันด้วยแต้มคุณประโยชน์ทั้งหมดที่ข้าเอาชนะมาได้ แล้วก็เพิ่มป้ายในการเบิกทางเข้าสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้าอีกหนึ่งให้ด้วย” หลงเฉินมองไปยังโล่วปิงแล้วกล่าว
กัวเหรินที่อยู่ภายในกลุ่มศิษย์ของหมู่ตึกเมื่อได้ยินที่หลงเฉินกล่าว ก็เกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย เขาทราบว่าเพราะเหตุใดหลงเฉินถึงได้เพิ่มจำนวนการเข้าสู่แดนลับเข้าไปอีกหนึ่ง นั่นเพราะต้องการชิงตำแหน่งนั้นมาเพื่อเขานั่นเอง
กัวเหรินและอาหมานแม้จะมิใช่ศิษย์สายตรงเช่นเดียวกัน แต่เขากับอาหมานมีข้อแตกต่างกันคือ อาหมานเรียกได้ว่ามีพลังความสามารถที่จะสังหารผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้หนึ่งได้เลย ทางหมู่ตึกจึงได้ยื่นขอตำแหน่งในการเข้าแดนลับให้ไปตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
แต่ว่ากัวหรานกลับไม่ได้มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปสู่ขอบเขตแดนลับนพเก้าได้ ที่หลงเฉินเพิ่มจำนวนให้นั้นก็เสมือนเป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสให้แก่เขา เรื่องนี้ทำให้จิตใจของกัวเหรินเกิดความรู้สึกตื้นตันขึ้นมา เขาซาบซึ้งในน้ำใจ และบูชาหลงเฉินจนไร้หนทางฟื้นคืนกลับมาได้
“ไม่มีปัญหา” โล่วปิงตกปากรับคำทันที นางนั้นมีความเชื่อมั่นในตัวเจียงอี้ฝ่านเป็นอย่างยิ่ง นี่ถือว่าเป็นสิ่งเดิมพันที่นางพยายามคว้าเอามาจากหลงเฉินให้ได้มาโดยตลอดนั่นเอง ตามจุดมุ่งหมายแรกเริ่มเดิมที พวกนางมาเพื่อจะเอาตำแหน่งของป้ายเก้าอัตลักษณ์! นอกจากนี้ยังข้อเสนอนี้ประจวบเหมาะที่จะสามารถรับแต้มคุณประโยชน์ของตนเองกลับคืนมาได้อีกด้วย
ตำแหน่งของศิษย์สายตรงผู้หนึ่งอย่างงั้นหรือ ? เหอะเหอะ เจ้ามีความสามารถเช่นนั้นด้วยหรืออย่างไรกัน ?
“ยังมีอีกข้อ ถ้าหากข้าชนะแล้ว โล่วปิง เจ้าจะต้องขอขอขมาต่อศิษย์ทั้งหมดในหมู่ตึกของพวกเรา อีกทั้งยังต้องกล่าวยอมรับว่าตัวเจ้าเป็นสุกรด้วย” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
โล่วปิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป รังสีสังหารพวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง นี่ถือได้ว่าเป็นความอับอายเสียยิ่งกว่าคำว่าอับอายเลยทีเดียว แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการท้าทายต่อยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าเลยก็ว่าได้
“ทำไมไม่กล่าวอะไรออกมาแล้วล่ะ ? หาไม่กล้าพอที่จะเดิมพันแล้วละก็ เช่นนั้นก็ไสหัวไปเถอะ ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งเล่นกับพวกเจ้าเช่นนี้หรอกนะ” หลงเฉินส่งเสียงดังเหอะแล้วกล่าวออกมา
“ถ้าหากเจ้าแพ้ไปเล่า ?” โล่วปิงกัดฟันจนแน่นแล้วกล่าวออกมา
“ถ้าหากข้าแพ้ พวกเราศิษย์ใหม่ของทางหมู่ตึกพลิกสวรรค์ทั้งหมด จะขอลาออกสลายตัวกันทันที” หลงเฉินลั่นวาจาอย่างเด็ดขาด
วาจาของหลงเฉิน ทำให้คนของทั้งสองฝ่าย เกิดความลิงโลดขึ้นในจิตใจ ถู่ฟางนั้นมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าผลสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
การเดิมพันเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการเดิมพันที่หนักเกินไปแล้ว การสลายตัวของศิษย์ใหม่ทั้งหมดของทางหมู่ตึกแห่งหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นการเดิมพันที่บ้าคลั่งยิ่งนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ได้ ข้าขอยอมรับข้อเสนอของเจ้า” โล่วปิงฉายแววตาร้ายกาจขึ้นมา “แต่วาจาของเจ้าน่ะ สามารถที่จะแทนตัวศิษย์ทั้งหมดได้ด้วยอย่างนั้นหรือ ? ศิษย์เหล่านั้นจะฟังเจ้าถึงเพียงนั้นเลยอย่างนั้นหรือ ?”
“หลงเฉินถือเป็นพี่ใหญ่ของพวกข้า ต่อให้เขาขอให้พวกเราไปตาย พวกเราก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย พวกข้าไม่จำเป็นที่จะต้องการสลายกองกำลังหรอก แม่มดเฒ่า เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นพะวงมากเกินไป” กัวเหรินยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว
“แม่มดเฒ่า เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นพะวงมากเกินไป”
กัวเหรินกล่าวจบ หมู่ตึกศิษย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ใหม่ หรือว่าจะเป็นเหล่าศิษย์พี่ ต่างก็ตะโกนกันออกมาเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง
โล่วปิงเกิดโทสะจนใบหน้าดำคล้ำขึ้นมา ที่นางเกลียดชังที่สุดก็คือ การที่ผู้อื่นเรียกนางว่าแม่มดเฒ่า “ได้ได้ได้ ข้ารับปากเจ้า มาลงนามเป็นตายกัน!”
สิ่งที่เรียกกันว่า ‘ลงนามเป็นตาย’ นับเป็นหลักฐานอย่างหนึ่ง ที่ประจักษ์ว่าทั้งสองคนยินดีที่จะต่อสู้กันเพื่อตัดสิน โดยที่ไม่มีผู้ใดบีบบังคับ ความเป็นความตายที่จะเกิดขึ้นในการต่อสู้นี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่น
โล่วปิงนั้น ถึงแม้จะโกรธอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ว่านางก็มิใช่คนโง่งม ถ้าหากอีกสักพักเจียงอี้ฝ่านทำการสังหารหลงเฉินลงได้ แล้วถู่ฟางนำเรื่องนี้แจ้งไปทางสาขาหลัก ตัวนางเองจะต้องมีส่วนรับผิดชอบอย่างแน่นอน
ถึงแม้จะกล่าวว่าเป็นการต่อสู้เพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างสาขา แต่ว่าการฝ่ายหนึ่งนั้นจัดอยู่ในอันดับที่สามสิบหก อีกหนึ่งนั้นจัดอยู่ในอันดับที่ร้อยแปดรั้งท้าย ขอเพียงมิใช่คนตาบอด ต่างก็สามารถที่จะมองออกว่าภายในต้องมีกลอุบายอะไรอยู่อย่างแน่นอน
เมื่อเวลานั้นถูกสืบสาวเอาความ ต่อให้เป็นพี่ชายของนางที่เป็นเจ้าสำนักก็ยังยากที่จะไกล่เกลี่ย แต่ว่าถ้าหากทั้งสองคนลงนามเป็นตาย เรื่องทั้งหมดก็จะแตกต่างไป เพราะนั่นถือเป็นการกระทำส่วนบุคคล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมู่ตึก
ใบลงนามเป็นตายก็มีอยู่เป็นสำเร็จอยู่แล้ว ของสิ่งนั้นเป็นสิ่งพวกที่จะไปท้าทายผู้อื่นต่อสู้มักจะต้องมีพกไว้อยู่กับตัวสักชุดสองชุด เพื่อเป็นเครื่องบ่งบอกว่าตนเองนั้นถือเป็นผู้กล้าหาญไร้ซึ่งความหวาดกลัว
เจียงอี้ฝ่านเมื่อได้ลงนามของตนเองในใบลงนามทั้งสองฉบับแล้ว แล้วก็โยนใบลงนามเป็นตายนั้นให้แก่หลงเฉิน “ถึงคราวของเจ้าแล้ว ระวังเอาไว้หน่อยละ นี่ถือเป็นการลงนามครั้งสุดท้ายของเจ้าแล้ว”
หลงเฉินรับใบลงนามเป็นตายเข้ามา แล้วก็ได้ลงนามของตนเองลงไปที่ด้านบน ส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา “เชื่อมั่นตนเองอย่างมืดบอด เช่นนี้ถือได้ว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่งเลยนะ”
ใบลงนามเป็นตายทั้งสองฉบับในมือถู่ฟางนั้น เขาได้เก็บเอาไว้ฉบับหนึ่ง ในส่วนของอีกชุดหนึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องมอบให้แก่โล่วปิงอย่างแน่นอน เช่นนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็จะมีหลักฐานการยืนยัน การลงนามเป็นตายระหว่างทั้งสองคนอยู่กันคนละชุด ผู้ใดก็ไม่อาจที่จะคดโกงได้
ทว่าหลังจากที่ได้รับใบลงนามเป็นตายมาเก็บไว้ ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร โล่วปิงถึงได้เกิดความไม่สบายใจน้อยๆขึ้นมา เมื่อมองดูสีหน้าที่ปรากฏขึ้นมาของถู่ฟาง
เพราะสีหน้าของถู่ฟางนั้น ถึงแม้จะดูฉายแววซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ว่ากลับหาได้มีแววห่วงกังวลอะไรปรากฏอยู่เลย ที่แท้แล้วหลงเฉินผู้นี้ จะถึงกับเป็นสุดยอดฝีมือคนหนึ่งได้อย่างแท้จริงเช่นนั้นหรือ ? แต่ว่าบนตัวของเขา เพราะเหตุใดถึงไม่จำเป็นที่ต้องมีการเตรียมความแน่วแน่ขึ้นมากัน ?
ทว่าหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว โล่วปิงก็ได้ปล่อยวางจิตใจลง ต่อให้หลงเฉินเป็นสุดยอดฝีมือแล้วจะอย่างไรเล่า ? เขาก็ยังเป็นเพียงแค่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นสูงสุดเท่านั้นเอง และพลังการฝึกปรือของเจียงอี้ฝ่านนั้น ตอนนี้ได้เข้าไปถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่หกแล้ว
ระหว่างทั้งสองคนเรียกได้ว่า ห่างชั้นกันในระดับของขอบเขตใหญ่เลยทีเดียว แล้วยังในระดับขั้นอีกหกขั้นด้วย การสังหารหลงเฉินย่อมมิใช่เรื่องยากสำหรับเจียงอี้ฝ่านอย่างแน่นอน
เดิมทีโล่วปิงไม่ได้มีความคิดที่จะสังหารหลงเฉิน คิดเพียงว่าจะทำให้หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดเกิดความอับอายซักหน่อย ทุบตีศิษย์บางส่วนให้บาดเจ็บให้พิการไปบ้าง เพื่อเป็นการสั่งสอนพวกเขาให้รู้สำนึกที่ต่ำที่สูง
จากนั้นก็ตักเตือนพวกเขาเล็กน้อย ทุบตีเจ้าพวก“หยิ่งผยอง”ของหมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดซักครู่ แล้วค่อยบอกต่อพวกเขาว่า คนอย่างพวกเขามิใช่คนที่พวกเจ้าจะไปล่วงเกินได้
เดิมทีแม้ว่าความคิดเช่นนี้จะยอดเยี่ยมเพียงใด น่าเสียดายที่ความจริงนั้น กลับสัมฤทธิ์ผลได้ยากเป็นอย่างยิ่ง การประลองทั้งเก้ารอบที่ผ่านมานี้ พวกเขากลับชนะไปเพียงแค่สองรอบเท่านั้น
โล่วปิงนับตั้งแต่รอบแรกของการประลอง ก็ได้ให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์ทำการบันทึกภาพเอาไว้ในหยกบันทึก จากนั้นค่อยไปขอความดีความชอบต่อหมู่ตึกที่หนึ่ง
แต่ว่าถ้าหากนำภาพที่บันทึกเอาไว้ในวันนี้มอบให้แก่ทางหมู่ตึกที่หนึ่ง เกียรติของพวกนางก็คงจะไม่มีหลงเหลืออีกแน่นอน นี่แท้จริงแล้วที่คิดจะมาสั่งสอนผู้อื่น ทั้งยังไปหาเองถึงที่ แต่กลับต้องถูกผู้อื่นสั่งสอนให้เสียเกียรติไปเสียเองอย่างงั้นหรือ ?
เมื่อได้พบว่าแผนการในครั้งนี้บรรลุเป้าหมายได้ยากเย็นยิ่ง ในภายหลังในช่วงเวลาที่ระดับผู้อยู่เหนือขอบเขตขึ้นประลอง โล่วปิงก็ได้กำชับศิษย์ที่จะขึ้นประลองเอาไว้ว่า ให้ฆ่าโดยไม่เว้น ทางที่ดีให้ทำให้ถังหว่านเอ๋อตายไปได้เลย เช่นนี้นางจึงพอที่จะมีคำแก้ต่างต่อท่านเจ้าสำนักที่เป็นพี่ชายนางได้
แต่ว่าถังหว่านเอ๋อกลับมิได้ตาย หรือแม้แต่พิการ แต่กลับเป็นฝ่ายตนเองที่พิการไปถึงสอง จึงทำให้โล่วปิงเกิดโทสะจนแทบอยากจะฆ่าคนเลยทีเดียว
ดังนั้นในรอบสุดท้ายนี้ นางจำเป็นจะต้องมีคำกล่าวให้แก่หมู่ตึกที่หนึ่งให้จงได้ว่า หลงเฉินมิใช่สิ่งที่เรียกกันว่าผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศอะไรนั่นเลย
ไม่ว่าเขาจะเป็นจริงหรือแค่ของปลอม ขอเพียงสังหารหลงเฉินไปได้แล้ว และบอกไปว่าเขาไม่ได้เป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ แต่เพียงมีความสามารถแค่ระดับหนึ่ง
เมื่อเวลานั้น หากได้ถ่ายทอดเรื่องนี้ออกไป แน่นอนว่าย่อมต้องสานสัมพันธ์อันดีกับหมู่ตึกที่หนึ่งได้ และในภายหลังย่อมต้องสามารถกอบโกยประโยชน์มากมายมาได้อย่างแน่นอน เช่นนี้ภารกิจของนางก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว
ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลงเฉินก็ต้องตายอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วนางก็คงจะไม่มีหน้ากลับไปหาเจ้าสำนักได้อีกแล้ว ยิ่งไม่อาจที่จะสานสัมพันธไมตรีกับหมู่ตึกที่หนึ่งได้อีกด้วย
เจียงอี้ฝ่านกับหลงเฉินทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันบนเวทีประลอง ทั่วทั้งสนามเงียบสงัด กลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าปกคลุมไปทั่ว รังสีสังหารถูกปล่อยออกมากดดันบรรยากาศโดยรอบอย่างหนักหน่วง จนทำให้หายใจได้อย่างยากลำบาก
“วันนี้เป้นวันตายของเจ้า” เจียงอี้ฝ่านกล่าว
หลงเฉินส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา “ข้านั้น ในขณะที่ยังเยาว์อยู่ได้เคยร่ำเรียนวิชาทำนายทายทัก นามของเจ้าถูกตั้งเอาไว้ได้ไม่เป็นศิริมงคลนัก เจ้าที่ชื่อว่าเจียงอี้ฝ่าน ตรงกับคำพ้องเสียงว่า*เจียงอี้ฝ่าน(江易翻) ซึ่งหมายความว่าง่ายที่จะเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำกลับกลายลงกลางแม่น้ำเมื่ออยู่บนเรือ เมื่อเรือเกิดการโคลงเคลง ดังนั้นวันนี้ คนที่ตายก็คือเจ้า”
*江 ยุทธภพ(เจียงฮู) 易 ง่ายดาย 翻 พลิกคล้ำกลับกลาย
“เหอะ ช่างเป็นคำพูดที่น่าขำนัก แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเจ้าในวันนี้ไปได้หรอกนะ” เจียงอี้ฝ่านส่งเสียงขึ้นมาอย่างเย็นชา
หลงเฉินก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชาเช่นกัน “ข้าหลงเฉินตลอดมานี้ไม่ชมชอบแส่หาเรื่องยุ่งยาก แต่ว่าก็ไม่เกรงกลัวต่อเรื่องยุ่งยากเช่นกัน
ข้ามิได้ชมชอบการฆ่าคน ข้ารังเกียจคนที่จะมาฆ่าข้า แต่ว่าที่รังเกียจจนไม่อาจทนได้ที่สุดก็คือ คนที่คิดร้ายต่อคนข้างกายของข้า
ถ้าหากมีคนทำเช่นนั้นแล้ว ข้าจะสนองคืนกลับด้วยสิ่งเหล่านั้นเอง ข้าจะจับตาดูเจ้าเอาไว้ ต่อให้ต้องตาย——จะไม่ขอเลิกรา”
“เช่นนั้นก็หากไม่ตายก็ไม่เลิกราแล้ว”
เจียงอี้ฝ่านตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ในระหว่างนั้นสภาวะอากาศก็ได้สั่นไหวขึ้นมา บรรยากาศที่หนาแน่น หนักหน่วง ขุมใหญ่ก็ได้ก่อตัวจนใหญ่โตขึ้นมา คล้ายกับแม่น้ำสายหนึ่งก็มิปาน มุ่งหน้าแผ่กระจายออกไปทั้งสี่ทิศแปดด้าน
.
.
.
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**