ตอนที่ 293 หน้าด้านไร้ยางอาย
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**
กู่หยางตะโกนขึ้นมาเสียงดังลั่นสนาม ทั่วทั้งร่างกายก็ได้ระเบิดพลังขึ้นมา รุนแรงดุจดั่งขุนเขาท้องธารา
“หอกทลายภูผา”
กู่หยางต้องใช้พลังทั้งหมดผนึกเอาไว้บนหอก ถือได้ว่าเป็นการโจมตีที่มาจากทั้งพลังลมปราณทั้งพลังจิตใจทั้งหมด
สิ่งที่แฝงอยู่ในการโจมตีครั้งนี้ เกิดมาจากกระบวนท่าทั้งหมดที่ก่อนหน้าได้รวมเอาไว้ด้วยพลังสภาวะจนกระตุ้นพลังทำลายขึ้นมาถึงระดับสูงสุด แล้วก็ได้ระเบิดออกมาอีกครั้ง
เดิมทีแล้วกู่หยางถือได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือคนหนึ่งในหมู่ศิษย์ทั้งหมดของหมู่ตึก และเป็นยอดฝีมือที่ได้มีการตื่นขึ้นมาจากพลังต้นตระกูลเร็วที่สุด
ในด้านการไหลเวียนพลังจากต้นตระกูลย่อมต้องลึกซึ้งกว่าคนอื่นๆอยู่แล้ว ภายในหมู่ตึกนอกจากหลงเฉินกับถังหว่านเอ๋อแล้ว ก็ถือได้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งมากที่สุด
เขาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการต่อสู้ในครั้งนี้ หากว่าได้ชัยชนะจิตใจของเขาก็ย่อมที่จะแข็งแกร่งขึ้น จนสามารถที่จะทะลวงพลังที่ติดค้างเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
ถ้าหากพ่ายแพ้ไปในมุมมองของการต่อสู้ ก็ถือได้ว่าเป็นการเดิมพันที่เสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงไม่สามารถที่จะพ่ายแพ้ไปได้
ภายในพริบตาที่กู่หยางปล่อยหอกออกไป ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง เขาทราบว่าตนเองติดกับเข้าแล้วที่แท้อีกฝ่ายในขณะอยู่ระหว่างที่ต่อสู้ ได้เก็บออมพลังเอาไว้มาโดยตลอด แต่ตนเองก็ไม่อาจที่จะทราบได้
นับตั้งแต่เริ่มต่อสู้เขาก็คิดที่จะปล่อยให้กู่หยางสำแดงพลังออกมา เพราะกู่หยางนั้นถือได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้เข้าแลกกับกู่หยาง
เพราะจุดเด่นที่สุดของเขาก็คือการป้องกันและการยื้อเวลาต่อสู้ให้นานที่สุด ดังนั้นเมื่อพบว่ากู่หยางโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ภายในจิตใจของเขาย่อมเต็มไปด้วยความดูแคลน
การโจมตีเช่นนี้แทบจะยื้อได้ไม่นานอยู่แล้ว เพียงรอคอยจนเวลาที่เขาเหนื่อยล้า ความเป็นความตายทั้งหมดก็จะต้องอยู่ในมือของเขาแล้ว
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่ากู่หยางได้ลอบสะสมพลังเอาไว้ ขณะที่ได้โจมตีออกมาหลายร้อยกระบวนท่าไปแล้วจึงค่อยปลดปล่อยพลังที่สะสมและระเบิดพลังออกมาภายในพริบตา เขาคิดที่จะต้านทานเอาไว้ก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
เมื่อได้เห็นหอกที่กู่หยางโจมตีเข้ามา ด้วยพลังสภาวะที่น่าหวาดกลัว ทั้งยังทำการผนึกขังเขาเอาไว้ จนเขานั้นไร้หนทางหลบเลี่ยงไปได้ ขณะนี้จึงมีแต่ต้องเข้าแลกเท่านั้น
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นทอสีหน้าเลื่อมใสขึ้นมา พลิกทั้งสองมือขึ้นมาปลดปล่อยอักขระเก่าแก่ขวางเอาไว้ทางด้านหน้าของเขา อักขระบนหน้าผากก็ได้ทอประกายสว่างวาบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็คล้ายกับมีแผ่นโล่หนากว่าหนึ่งเชียะเพิ่มขึ้นมา
“โล่ศิลาบริสุทธิ์”
ที่ด้านบนแผ่นโล่ศิลาได้มีประกายอักขระวิ่งไปมาอยู่นับไม่ถ้วน คล้ายกับเป็นแผ่นเหล็กกล้า ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกที่หนักอึ้งเป็นอย่างยิ่ง
“ตูม”
หอกยาวสีทองก็ได้แทงเข้าไปยังโล่ศิลาขนาดใหญ่ โล่ที่ดูทนทานอย่างไร้ที่เปรียบก็ได้แตกสลายไปในทันที
บนหอกยาวสีทองแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาล คล้ายกับแม่น้ำที่ไหลหลากสาดเทพัดเข้าใส่ร่างของผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น จนทำให้เขาต้องลอยกระเด็นออกไปในทันที
“พรวด”
ในขณะที่กำลังลอยกระเด็นอยู่ ก็ไม่อาจจะทนต่อไปได้จนต้องกระอักเลือดออกมา แต่ที่ทำให้เขาต้องตกใจก็คือ การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขากลับต้องมาแหลกเป็นชิ้นๆในทันที
ไม่เพียงแต่ทำลายโล่ไปได้ ทั้งยังสามารถที่จะใช้พลังอันมหาศาลที่แฝงเอาไว้อยู่บนตัวหอกเข้ามาทำลายอวัยวะภายในให้บาดเจ็บได้อีก เขาไม่อยากที่จะเชื่อเลยทีเดียว
เมื่อเปรียบเทียบพลังการต่อสู้ของเขา เขาย่อมมีความเชื่อมั่นในพลังป้องกันของตนเองมากกว่าอะไร ดังนั้นโล่วปิงจึงได้มั่นใจเป็นมั่นเหมาะ ช่วงแรกจึงได้ปล่อยให้เขาทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว
ด้วยวิธีการต่อสู้ที่ใช้รับมือจากการโจมตี หากใช้เพื่อสู้กับถังหว่านเอ๋อ ย่อมสมควรที่จะได้ชัยชนะที่สูง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าถังหว่านเอ๋อจะมิได้ลงมือ แต่กลับส่งศิษย์สายตรงออกมาอีกด้วย
ความแข็งแกร่งของศิษย์สายตรงผู้นี้ ถึงกับกดดันมัดมือมัดเท้าของเขาเอาไว้ จนท้ายที่สุดยังทลายพลังป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไปได้
ที่ทำให้เขาตกใจมิได้มีแค่เพียงเท่านั้น เมื่อเขากระอักเลือดออกมาจึงได้พยายามรีบทรงกายขึ้น แต่แค่คิดจะขยับเคลื่อนไหว คมหอกสีทองก็ได้เข้ามาหยุดที่ด้านหน้าหว่างคิ้วของเขาไปแล้ว
กู่หยางกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “เจ้าแพ้แล้ว”
ในเวลานี้ใบหน้าของกู่หยางซีดขาวขึ้นมา ทั้งยังหายใจหอบไม่หยุด เห็นชัดได้ว่าในกระบวนท่าสุดท้าย เขาได้ทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีอยู่ออกไป เขาถึงได้สามารถที่จะผนึกการโจมตีที่ไม่เป็นสองรองใครขึ้นมาได้สำเร็จ
แน่นอนว่ากู่หยางชนะแล้ว ถ้าหากเขาไม่หยุดการโจมตีเอาไว้ ในเวลานี้ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นก็คงจะต้องกลายเป็นศพไปแล้ว
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นทั้งแตกตื่นทั้งเดือดดาล ถึงขั้นไม่ยินยอมว่าตนเองจะพ่ายแพ้เช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?
เมื่อเห็นกู่หยางทอใบหน้าขาวซีดทั้งร่างกายยังโอนเอนไปมา แววตาก็ได้ปรากฏความดุร้ายขึ้น ทันใดนั้นก็คว้าเข้าไปที่หอกยาวของกู่หยางเอาไว้
“เจ้าโง่ เจ้าต่างหากที่เป็นคนแพ้”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นตะโกนขึ้นมาเสียงดัง คว้าจับที่ปลายหอกแล้วก็ออกแรงดันไปทางด้านหน้า กู่หยางที่พลังเหือดแห้งไปแล้ว จึงไม่อาจที่จะทนรับพลังอันมหาศาลของเขาเอาไว้ได้อีก
ลำตัวหอกก็ได้กระแทกชนเข้ากับหน้าอกของกู่หยางอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงกระดูกหักดังไปทั่วทั้งสนาม กู่หยางก็ลอยกระเด็นออกไปในทันที กระอักเลือดออกมาเป็นสาย กระแทกไปบนพื้นที่อยู่นอกเวทีไปในทันที
“ตัวบัดซบ เจ้าหาที่ตาย พวกเราจะฆ่าพวกเจ้า”
เห็นกันอย่างชัดเจนแล้วว่าผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นได้พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่กลับหน้าด้านไร้ยางอาย เพียงแค่ชั่วครู่ก็ได้กระตุ้นเพลิงโทสะของศิษย์ที่อยู่ทางด้านหมู่ตึกขึ้นมาได้
“เหอะ ข้ายังมิได้แพ้ซักหน่อย ถือดีอะไรมาบอกว่าข้าได้แพ้ไปแล้ว ? แม้แต่ลงมือก็ยังไม่กล้า ถึงได้บอกว่าเขานั้นเป็นสุกร พลังความกล้าก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง พวกเจ้าไม่ทราบกันอย่างงั้นหรือ ?” ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้ทอใบหน้าที่ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา
หลงเฉินในเวลานี้ได้ลุกขึ้นมา เส้นเลือดที่แขนทั้งสองข้างก็ปูดขึ้น ตอนนี้เขาแทบจะทนไม่ไหวจนอยากจะขึ้นไปสับตัวบัดซบไร้ยางอายผู้นี้ให้ตายทั้งเป็น
“ผู้แซ่โล่ว นี่คือพฤติกรรมของศิษย์ของทางหมู่ตึกของพวกเจ้าอย่างงั้นหรือ ?” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ชิ บนเวทีมีใครที่ไหนยั้งมือใจอ่อนกันบ้าง เพื่อชัยชนะก็ต้องสมควรที่จะใช้ฝีมืออื่นๆบ้าง ก็มีแต่จะต้องบอกว่าเป็นเพราะพวกเจ้านั้นโง่เขลาเอง แล้วยังไม่รีบมอบแต้มคุณประโยชน์ออกมาอีก ?” โล่วปิงทอใบหน้ายิ้มแย้มกล่าว
ถู่ฟางทอใบหน้าดำคล้ำขึ้นมา “หลงเฉิน เจ้าว่าอย่างไร ?”
ความหมายของถู่ฟางเห็นได้ชัด เด็กน้อยผู้นี้ข่มเหงคนอื่นมากเกินไปแล้ว ขอเพียงหลงเฉินเอ่ยมาคำเดียว ก็จะเข้าแลกกับพวกเขาในเมื่อพวกเขาเองก็ได้ลงมือแล้ว หลิงหวินจื่อจะต้องกำลังชมดูอยู่อย่างแน่นอน
“ให้นางไปเถอะ” หลงเฉินส่ายหน้า ขณะนี้ยังมิใช่เวลาที่จะต้องมาทำเรื่องเช่นนี้ไม่
ถู่ฟางจึงได้นำแต้มคุณประโยชน์ที่ชนะมาได้ โอนกลับไปให้แก่อีกฝ่ายแปดหมื่นแต้ม เมื่อได้เห็นสีหน้าของถู่ฟางและพวก จิตใจของโล่วปิงก็ได้เกิดความยินดีขึ้นมา
งานอดิเรกที่นางชอบมากที่สุดก็คือ การที่ได้เห็นผู้อื่นแสดงอารมณ์ไม่ดีนั้นเอง เช่นนี้นางจึงสะใจขึ้นมาได้
โดยเฉพาะเมื่อยามที่นางได้เห็นใบหน้าที่นิ่งไม่สั่นไหวของหลงเฉิน ปรากฏสีหน้าเดือดดาลขึ้นมาได้ ยิ่งทำให้นางสะใจได้มากกว่าเดิมอีก
กู่หยางเมื่อได้พ่ายแพ้ จนแม้แต่หอกยาวสีทองในมือของเขา ก็ยังถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไป หากเป็นไปตามกฎของการต่อสู้บนเวทีที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แม้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ ย่อมไม่มีหน้าร้องขอกลับคืนมาอยู่แล้ว
กู่หยางในเวลานี้ก็ได้ถูกผู้รักษาเยียวยาผู้หนึ่งพยุงเอาไว้ แล้วก็เดินไปทางหลงเฉิน
“หลงเฉิน ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าแพ้แล้ว”
กล่าวจบกู่หยางถึงกับมือเท้าอ่อนแรง แทบจะคุกเข่าลงกับพื้น กู่หยางรู้สึกอับอายจนคิดอยากจะตายเลยทีเดียว
หลงเฉินที่ได้มอบสมบัติมีค่าขนาดนี้ให้แก่เขา แต่สุดท้ายกลับใจอ่อนยั้งมือเอาไว้ จนทำให้โอกาสได้รับชัยชนะหลุดลอยไป เขารู้สึกแทบอยากจะซุกแผ่นดินหนีแล้ว
ภายในวินาทีที่กู่หยางกำลังจะคุกเข่าลง หลงเฉินก็ได้กระชากจับไปที่คอเสื้อของกู่หยางเอาไว้ แล้วกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ
“เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอีกหรือเปล่า ? ก็แค่ความพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวไม่ใช่หรือไงกัน ? มีอะไรแบกรับไม่ได้กันเล่า
ต่อให้เจ้าแพ้ไปแล้ว ก็ยังพ่ายอย่างมีเกียรติ ผู้อื่นได้ชัยไปแล้ว กลับกลายเป็นชัยชนะที่ขี้ขลาด เจ้าไม่ได้ขายหน้าแต่อย่างไร” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ
“ในยามที่ขอบเขตแดนลับนพเก้าได้เปิดออก เจ้าหนูผู้นี้จะต้องเข้าไปด้วยอย่างแน่นอน หากเจ้าคิดที่จะล้างอาย ก็ไปเอาคืนเขาให้ตายในแดนลับซะ แล้วชิงอาวุธกลับมา”
คำพูดของหลงเฉิน แม้จะมิได้จงใจหมายถึงผู้ใด แต่กระนั้นก็กล่าวออกมาอย่างเปิดเผย ทุกคนย่อมได้ยินกันอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ถู่ฟางเกิดความหวั่นไหวขึ้นมา ท่ามกลางขอบเขตแดนลับนพเก้าการเข่นฆ่าคนร่วมสำนัก ถือว่ามีโทษที่แสนสาหัส ทว่าท้ายที่สุดเขากลับมิได้กล่าวอะไร หลังจากนี้ยังไงซะก็ย่อมต้องได้รับการชี้แนะจากหลงเฉินอีกแน่นอน
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นที่ย้อนกลับเข้าไปภายในกลุ่ม กำลังทอใบหน้าดีอกดีใจมองไปที่หอกยาวในมือ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลงเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความเหยียดหยาม “เอาข้าให้ตายงั้นหรือ ? เหอะ ฝันไปเถอะ ถ้าหากอยู่ท่ามกลางขอบเขตแดนลับนพเก้า ขอเพียงกล้าที่จะลงมือต่อข้า แน่นอนว่าจะทำให้เจ้าตายอย่างไร้ที่กลบฝังเอง”
“หลงเฉินข้าเชื่อเจ้า ข้าขอสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอีกอย่างแน่นอน” กู่หยางสูดลมหายใจเข้า กล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น
หลงเฉินพยักหน้าไปมา จ้องมองไปที่โล่วปิงและพวกด้วยสีหน้าที่ดูแคลน เยี่ยมมากในเมื่อพวกเจ้าคิดที่จะเล่นแรงด้วย พวกเราก็จะขอเล่นแรงด้วยก็แล้วกัน
“รอบต่อไปลองเปลี่ยนรูปแบบบ้างเถอะ พวกเราต่างฝ่ายต่างก็ส่งออกมาประลองกันคนละคู่” บนใบหน้าของโล่วปิงปรากฏรอยยิ้มที่เย็นเยือกขึ้นมา
ในระหว่างที่นางกำลังกล่าว ชายหนุ่มสองคนก็ได้กระโดดขึ้นไปบนเวทีแล้ว ทั้งสองคนนั้นมีพลังบรรยากาศที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทั่วทั้งร่างยังแผ่ซ่านไปด้วยบรรยากาศที่เย็นเยือกขึ้นมา จนทำให้ผู้คนเกิดความหนาวเย็นเข้าไปจนถึงภายในกระดูก ทั้งสองคนนี้ต่างก็ถือได้ว่าเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขต
ที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจก็คือ ทั้งสองคนนี้มีหน้าที่ราวกับคล้ายคลึงกัน แท้จริงแล้วถึงกับเป็นคู่แฝดคู่หนึ่ง
ฝาแฝดคู่หนึ่ง ต่างถึงกับเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขต นี้มันก็ช่างน่าตกใจมากเกินไปแล้ว
“ผู้น้อยป่อซื่อตง”
“ผู้น้อยป่อซื่อซี”
ทั้งสองคนราวกับเอ่ยปากกล่าวขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ความจริงเมื่อมองสลับกันไปมาระหว่างทั้งสองคน ยังพบว่าปิดปากพร้อมกันด้วยซ้ำ
หนึ่งในนั้นได้กล่าวว่า “พวกเราพี่น้องสองคน ต้องขอรับคำชี้แนะวิชาอันสูงส่งของพวกเจ้าเหล่าบ้านนอกสักคราแล้ว ถ้าหากพวกเจ้าคิดว่าไม่ยุติธรรม ก็สามารถที่จะส่งผู้อยู่เหนือขอบเขตขึ้นมาสู้พร้อมกันสองคนได้ พวกเราพี่น้องหาได้คิดที่จะปฏิเสธไม่”
คนผู้นั้นกล่าวจบ ก็ได้มองไปที่ถังหว่านเอ๋อกับหลงเฉิน ภายในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความท้าทายและความถือดี
“หลงเฉิน สองคนนี้มอบให้ข้าจัดการเองเถอะ” ถังหว่านเอ๋อกล่าว
หลงเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เช่นนั้นเจ้าต้องรับปากข้าว่าจะต้องลงมือขั้นเด็ดขาด ห้ามยั้งไมตรีโดยเด็ดขาด”
หลงเฉินทราบถึงนิสัยของถังหว่านเอ๋อเป็นอย่างดี เขาเองก็มองออกว่าคู่แฝดทั้งสองคนนี้มีอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาด สมควรที่จะต้องมีฝีมือที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากหลงเฉินคาดเดาไม่ผิดแล้วละก็ จะต้องเป็นวิชาผสานรวมกันโจมตีแน่
พลังฝีมือของถังหว่านเอ๋อ ตัวเขาเองก็ย่อมกระจ่างเป็นที่สุด นับตั้งแต่ที่ผสานรวมเข้ากับพลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาติ พลังฝีมือของถังหว่านเอ๋อ ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังไม่อาจทราบได้แท้จริงแล้วอยู่ในระดับใดกันแน่
ทว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ พลังฝีมือของถังหว่านเอ๋อไม่ต่างไปจากตัวเองเลยทีเดียว เพราะเขาสามารถที่จะรับรู้ได้ถึงพลังแรงกดดันที่มาจากร่างของถังหว่านเอ๋อได้
“ข้ารับปากเจ้า ขอเพียงลงมือ จะทำให้ไม่ตายดีกันแน่นอน” ถังหว่านเอ๋อมองไปทางหลงเฉินแล้วกล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น
สิ่งที่กู่หยางได้พบพานมาก่อนหน้านี้ ทำให้ศิษย์ทางด้านของหมู่ตึกนี้ มีโทสะจนแทบจะอกแตกตาย อีกฝ่ายช่างน่าชังเกินไปแล้ว
เห็นๆอยู่ว่ากู่หยางได้ชัยไปแล้ว จึงได้ลงมือไว้ไมตรีไม่ทำการสังหารอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายถึงกับหน้าด้านไร้ยางอายลอบลงมือในที่ลับ ยิ่งไปกว่านั้นยังแย่งชิงอาวุธของกู่หยางไปอีก ทำให้ถังหว่านเอ๋อที่ไม่ชมชอบการฆ่าฟันมาโดยตลอด ถึงกับได้ก่อให้เกิดจิตสังหารขึ้นมาอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
ดังนั้นต่อให้หลงเฉินไม่กำชับนาง ก็แน่นอนว่านางไม่ยอมปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดอย่างที่เกิดกับกู่หยางแน่ นางจึงจำเป็นที่จะต้องลงมือด้วยพลังทั้งหมด
สองพี่น้องนั้นเมื่อเห็นว่ามีเพียงแค่ถังหว่านเอ๋อที่ขึ้นมา ขณที่หลงเฉินยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเคลื่อนไหว จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“เจ้าหนูผู้นั้น คงมิใช่เป็นเพราะกลัวตายไปหรอกนะ ถึงได้ไม่กล้าที่จะขึ้นมา”
“ความจริงก็หน้าตาดีไม่เลว แต่ที่แท้แล้วกลับขี้ขลาดตาขาวสิ้นดี”
“พวกเจ้าสองคนทางที่ดีควรจะสงบปากสงบคำเอาไว้เถอะ การต่อกรกับพวกเจ้าสองคน มีข้าเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา
บนใบหน้าของสองพี่น้องนั้นก็ได้ปรากฏรอยยิ้มต่ำทรามขึ้นมา “เหอะเหอะ เจ้าถือได้ว่าเป็นคนที่งามเลยทีเดียว แน่นอนว่าเพียงพอแล้วละที่จะมาปรนนิบัติพวกเราสองพี่น้อง”
“ตูม”
ทันใดนั้นเอง สีของฟ้าดินก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลง ที่ด้านหลังของถังหว่านเอ๋อก็ได้ปรากฏคมวายุขึ้นมานับหมื่นพัน ลอยพุ่งเข้าหาทั้งสองคน
“ตายซะเถอะ”
.
.
.
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**