ตอนที่ 292 กู่หยางปะทะผู้อยู่เหนือขอบเขต
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**
ในระหว่างที่ชายผู้นั้นกล่าว สีหน้าหลงเฉินนั้นเย็นเยือกขึ้นมา กระนั้นหลงเฉินก็ยังถือได้ว่าเป็นผู้ที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าย่อมต้องได้เห็นดีกัน
แต่ในยามที่ชายผู้นั้นใช้แววตาทุเรศมองไปยังถังหว่านเอ๋อ ทันใดนั้นภายในจิตใจเขาก็คล้ายกับว่ามีรังสีสังหารลุกโชนขึ้นมา
การที่ต้องถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม หลงเฉินยังสามารถที่จะยิ้มรับได้ แต่ว่าหากมีคนคิดที่จะมาแตะต้องคนรอบข้างของเขา เขาย่อมไม่อาจที่จะควบคุมอามรณ์ตัวเองได้เลย
ถังหว่านเอ๋อมีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา ภายในดวงตาก็ได้สาดกลิ่นอายสังหารออกมา หมายที่จะส่งร่างลอยขึ้นไปบนเวที แต่ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงดังขึ้นมา
“หลงเฉิน ให้ข้าขึ้นไปสู้เถอะ” ทันใดนั้นกู่หยางก็ได้ลุกขึ้นมา
หลงเฉินกับถังหว่านเอ๋อเองก็งุนงง กู่หยางถึงแม้จะแข็งแกร่ง ทว่าเขากลับมิใช่ผู้อยู่เหนือขอบเขต หากเขาขึ้นไปย่อมมีโอกาสที่จะพ่ายแพ้สูง
เมื่อหลงเฉินได้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว “ไปเถอะ”
กู่หยางอดไม่ได้ที่จะยินดี เขาจงใจที่จะรอคอยเวลาให้มีผู้อยู่เหนือขอบเขตขึ้นมาขอท้าสู้ด้วย ทว่าเขาก็ทราบว่าการทำเช่นนี้มันเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าเขาก็ไม่อาจที่ข่มจิตวิญญาณความต้องการที่จะสู้เอาไว้ได้อยู่ดี
หากกล่าวกันตามกฎระเบียบ หลงเฉินย่อมไม่สมควรที่ตกลง เพราะกู่หยางถึงแม้จะแข็งแกร่ง ทว่ากลับไม่มีโอกาสที่จะชนะ อีกทั้งสิ่งนี้จะเกี่ยวโยงไปถึงแต้มคุณประโยชน์ถึงแปดหมื่นแต้มอีกด้วย
ทว่าหลงเฉินเองก็เข้าใจถึงความกระหายที่อยู่ภายในจิตใจของกู่หยาง ภายในแววตาของกู่หยาง การต่อสู้นี้หาได้เป็นการเดิมพันอะไรไม่ เพียงแต่ต้องการประจักษ์ถึงเรื่องหนึ่ง เขาต้องการที่จะให้ตนเองได้รู้ว่า แท้จริงแล้วตนเป็นคนที่จัดอยู่ในระดับใดกันแน่
เมื่อพบว่าถังหว่านเอ๋อมิได้ขึ้นมา กลับกันยังได้ส่งศิษย์สายตรงผู้หนึ่งขึ้นมาแทน จึงอดไม่ได้ที่จะมีโทสะ
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการเหยียดหยามเขาอย่างหนึ่งเลยทีเดียว จึงได้จ้องมองไปที่หลงเฉินกับถังหว่านเอ๋อและพวกแล้วกล่าว
“ยอดมาก ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่ตาย เช่นนั้นก็จงอย่าได้โทษข้าก็แล้วกัน”
กู่หยางที่ยืนอยู่บนเวที ได้จ้องมองไปที่ผู้อยู่เหนือขอบเขตนั้นด้วยความเย็นชาพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า “หวังว่าเมื่อเจ้าตายไปแล้วก็จงอย่าได้โทษข้าก็แล้วกัน”
“ฮาฮาฮา”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นหัวเราะสวนกลับไปด้วยโทสะ “อย่างเจ้ายังกล้าที่จะกล่าววาจาเช่นนั้นอีกหรือ ? ตายเสียเถอะ เจ้าสุกรโสโครก”
ทันใดนั้นผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นก็ได้ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ตลอดทั่วทั้งร่างก็ได้ระเบิดพลังขึ้นมา จนเวทีที่ใต้ฝ่าเท้า จมลึกจนกลายเป็นรอยเท้าสองข้าง ทว่าคนกลับลอยทะยานออกไปทางด้านหน้าของกู่หยาง แล้วฟาดออกไปอย่างรุนแรงหนึ่งฝ่ามือ
กู่หยางได้ไหลเวียนพลังลมปราณทั้งหมดจนถึงขีดสุดขึ้นมานับตั้งแรกอยู่แล้ว ตะโกนขึ้นมาเสียงดังกังวาน จนตลอดทั่วทั้งร่างกายส่องสว่าง คล้ายกับคลื่นมหาสมุทรซัดทอดเข้ามา แล้วก็ได้ปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัด
“ตูม”
หมัดของทั้งสองคนก็ได้กระแทกเข้าหากันอย่างรุนแรง ทำให้ตลอดทั่วทั้งเวทีต่างก็สั่นไหวขึ้นมา จนกลายเป็นสายลมกรรโชกกระจายไปทั่วทั้งสี่ด้าน พัดจนอาภรณ์ของทุกคนลอยว่อน
หลังจากที่ผ่านไปแล้วหนึ่งกระบวนท่า ร่างกายของทั้งสองคนก็ได้สั่นไหวขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็ถอยไปทางด้านหลังอยู่หลายก้าว ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมา
“คิดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง ทำให้ข้าดูหน่อยสิว่า เจ้าจะสามารถรับหมัดของข้าไปได้ซักกี่หมัดกันเชียว” ผู้อยู่เหนือขอบเขตนั้นก็ได้ส่งเสียงขึ้นมา แล้วร่ายระบำพลังหมัดแกว่งโจมตีเข้าใส่ไปยังด้านของกู่หยาง
ในตลอดทั้งชีวิตมานี้ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่กู่หยาง ได้ทำการต่อสู้กับผู้อยู่เหนือขอบเขตตัวต่อตัว จิตต่อสู้เดือดพร่านไปตลอดทั่วทั้งร่าง จนกลายเป็นเสียงร้องดังฮูมๆออกมา พร้อมกับยกกำปั้นเข้ารับ
“ตูม”
“ตูม”
“ตูม”
ทั้งสองคนต่างก็จัดได้ว่าเป็นยอดฝีมือในด้านกำลังกาย ทั้งหมัดทั้งเท้าพุ่งเข้าหากัน จนทำให้เวทีเกิดการสั่นไหวขึ้นมา ภายใต้สายลมที่กรรโชกเข้ามา ก็ได้ทำให้ผู้คนเกิดความหนาวสั่นกันเลยทีเดียว
“กู่หยางช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ถึงกับสามารถต่อกรกับผู้อยู่เหนือขอบเขตได้” ถังหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่กล่าวออกมา
เพราะผู้อยู่เหนือขอบเขตนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งจนไม่อาจที่จะเทียบเคียงได้เลย กู่หยางที่สามารถสู้โดยไม่พ่ายแพ้ในหลายสิบกระบวนท่าได้ ก็ถือได้ว่าอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนแล้ว
“นี่เป็นแค่การอบอุ่นร่างกายเท่านั้น ถ้าจะเอ่ยเช่นนี้ยังถือว่าเร็วเกินไป” หลงเฉินส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา การถูกเรียกว่าเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสามารถเพียงแค่นี้ ?
“โครม”
หลังจากที่ผ่านไปกว่าร้อยกระบวนท่า ทั้งสองคนก็ได้ปะทะกันอย่างรุนแรงกันขึ้นมา แล้วก็ได้แยกย้ายกันอีกครั้ง
“ไม่เลวเลย นานแล้วที่ไม่ได้ออกกำลังกายเช่นนี้ แต่หากเจ้าคิดว่านี่คือพลังทั้งหมดของข้า เจ้าก็คงจะคิดผิดอย่างมหันต์แล้ว ต่อไปนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นถึงพลังที่แท้จริงเอง——ภูผาพสุธาคุมกายา”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นได้ระเบิดเสียงตะโกนออกมา ทันใดนั้นหว่างคิ้วของเขาก็ได้มีอักขระส่องแสงขึ้น และได้ระเบิดพลังอันมหาศาลขึ้นมาขุมหนึ่งทำให้พื้นดินเกิดการสั่นไหวขึ้นมาเป็นวงกว้าง
เหล่าผู้คนเมื่อได้พบเห็นต่างก็ตกใจกัน อาภรณ์ที่ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นสวมใส่ก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จนเผยผิวหนังที่คล้ายกับเป็นหินผาออกมา
ร่างกายที่มีความสูงใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว ที่บนกล้ามเนื้อก็ได้เผยรอยสลักออกมา มองดูแทบจะไม่แตกต่างไปจากหินศิลาเลยก็ว่าได้
“หมัดศิลา”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นตะโกนขึ้นมาเสียงดัง เท้าใหญ่ข้างหนึ่งก็ได้เหยียบลงบนพื้น จนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมา แล้วก็ได้ปรากฏขึ้นมาที่เบื้องหน้าของกู่หยาง พร้อมกับปล่อยออกไปหนึ่งหมัด
“ตูม”
กู่หยางใช้พลังทั้งหมดเข้าต้านทาน แต่ก็ยังกระเด็นลอยห่างออกไปอยู่หลายสิบจั้ง เมื่อเท้าจะเหยียบลงพื้น แต่ว่าก็ยังไม่อาจที่จะสลายพลังขุมนั้นไปได้จนต้องถอยออกกไปติดต่อกันอีกหลายก้าว จึงฝืนทรงกายเอาไว้ได้
“อึก”
ในที่สุดก็ต้องกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง จนทำให้ถังหว่านเอ๋อและพวกอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็ทำให้กู่หยางได้รับบาดเจ็บแล้ว
“แย่แล้ว” ซ่งหมิงแหย่นก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ได้รับบาดเจ็บไปภายในกระบวนท่าเดียว ยังจะสู้ต่อไปได้อีกอย่างงั้นหรือ ?
“ไม่เป็นไร กู่หยางยังมีไม้เด็ดอยู่” หลงเฉินกล่าวปลอบใจ
หลงเฉินกับกู่หยางนั้นได้เคยปะมือกันมาก่อน เขาย่อมต้องทราบถึงความแข็งแกร่งจากร่างกายของกู่หยางได้เป็นอย่างดี อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาได้อยู่แล้ว
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ายังสามารถสู้ต่อได้ เช่นนั้นก็ดีข้าจะช่วยบดเนื้อของเจ้าให้เป็นแผ่นแป้งเอง” ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นก็ทะยานเข้าหากู่หยางอีกครั้ง
ขณะนี้ทั่วทั้งร่างกายของกู่หยางชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่ทว่าจิตวิญญาณของการต่อสู้กลับก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนผู้นั้นพุ่งเข้ามา มุมปากของกู่หยางก็ได้ปรากฏรอยยิ้มที่เย็นเยือกขึ้นมา
แหวนมิติถูกกระตุ้นขึ้นมา ใจกลางฝ่ามือก็มีหอกยาวสีทองขึ้นมาด้ามหนึ่ง เมื่อหอกยาวสีทองด้ามนั้นปรากฏขึ้นมา ก็ทำให้ฝ่าเท้าของกู่หยางจมลงพื้นขึ้นมาเล็กน้อย
“กระตุ้นโลหิตบรรพชน”
ใจกลางหน้าผากของกู่หยางก็ได้มีแสงประกายขึ้นมา เดิมทีอักขระที่ปกคลุมเพียงแค่แขนขา พริบตานั้นก็ได้ปกคลุมไปทั่วทุกอนุร่างกาย แม้แต่บนใบหน้าก็ยังเปี่ยมไปด้วยอักขระที่ถี่ยิบ ดูไปแล้วน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
นี่ก็คือไม้ตายของกู่หยาง เมื่อได้เริ่มเบิกกระตุ้นโลหิตบรรพชนขึ้นมา พลังกายของเขาก็จะเข้าสู่อีกขอบเขตที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อพบเห็นผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นพุ่งเข้ามา กู่หยางก็ใช้ทั้งสองมือกุมไปที่หอกยาว จากนั้นก็ได้กระแทกเข้าใส่ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นอย่างรุนแรง
“ตูม”
หอกยาวสีทอง ก็ได้กระแทกชนเข้ากับหมัดที่เปี่ยมไปด้วยรอยสลักเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเสียงระเบิดคล้ายกับเหล็กกระทบเข้าด้วยกันดังขึ้นมา
เท้าของทั้งสองคนก็ฝังลึกจมเข้าไปยังด้านบนเวที จนเกิดความเสียหายด้วยพลังจากแรงปะทะของทั้งสองคน พร้อมทั้งยังเกิดเสียงระเบิดจนแสบแก้วหูดังออกมา
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นรู้สึกได้ว่าแขนเกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง ทั้งยังมีพลังอันมหาศาลที่ยากจะต้านทานเอาไว้ได้ไหลเวียนเข้ามา จนถึงกับลอยกระเด็นออกไป จึงอดไม่ได้ที่ภายในจิตใจจะแตกตื่นขึ้นมา และรีบที่จะทรงกายเอาไว้
หอกยาวสีทองของกู่หยางนั้น ก็คือสิ่งที่ช่วงชิงมาจากมือของผู้มีพรสวรรค์แห่งฝ่ายอธรรมอย่างหยินหลอนั้นเอง ถือได้ว่ามีน้ำหนักที่น่าสะพรึงกลัว ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นก็ได้ฝืนทะยานร่างกายจนเข้าไปใกล้ระยะร้อยจั่ง
หลังจากที่เขาได้ทรงกายขึ้นมา ศิษย์ทางด้านของโล่วปิงก็อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมา ส่วนศิษย์ที่อยู่ทางด้านของหลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเสียดาย
เพราะผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นอยู่ห่างออกไปจากขอบเวทีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จนเกือบที่จะตกลงไปได้เลย หากเป็นไปตามกฎกติกาก่อนหน้านี้ ถ้าหล่นลงไปก็จะถือว่าพ่ายแพ้
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นมองไปยังทางด้านหลัง อดไม่ได้ที่ต้องร่ำร้องว่าอันตราย จากนั้นก็หันหน้ากลับมามองไปที่หอกยาวในมือของกู่หยาง จนเกิดเพลิงไฟลุกโชนขึ้นมาในจิตใจ
“อาวุธของเจ้า ข้าหมายปองแล้ว”
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นแค่มองแวบเดียวก็ทราบได้ว่าหอกยาวสีทองในมือของกู่หยางนั้นถือได้ว่าเป็นสมบัติชั้นเลิศชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว จนถึงขั้นเกิดความคิดที่จะครอบครองเอามา จนเขาลืมเลือนไปจนสิ้นว่า สถานที่แห่งนี้หาใช่หมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกของพวกเขาไม่
“คิดจะเอางั้นหรือ ? เช่นนั้นก็เข้ามาเอาสิ”
กู่หยางตะโกนขึ้นมาเสียงดัง หอกยาวในมือก็ได้เข้าห้ำหั่นกับผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้น
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นได้ส่งเสียงขึ้นมาอย่างเย็นชา ไหลเวียนพลังลมปราณคุ้มกันปกคลุมไปทั่วร่าง พร้อมออกหมัดเข้าปะทะกับหอกยาวของกู่หยาง
“ตึง”
แล้วก็ได้มีเสียงดังขึ้นมาอีกครา รอบนี้ทุกผู้คนต่างก็มองเห็นกันอย่างชัดเจน จนถังหว่านเอ๋อและพวกอดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมา
ในพริบตาเดียวที่หมัดของผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นและหอกยาวสีทองของกู่หยางได้ปะทะเข้าด้วยกัน ถึงกับเกิดประกายไฟแลบปะทุออกมา คล้ายกับว่าหมัดของเขานั้นเป็นเหล็กกล้าเลยก็มิปาน
“ช่างสมกับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ธาตุดินที่หาได้ยากจริงๆ” ถู่ฟางถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว
ผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นี้แท้จริงแล้วก็คือผู้ฝึกยุทธ์ธาตุดินนั้นเอง ภายในร่างกายยังแฝงด้วยพลังอันมหาศาลแห่งธาตุดินเอาไว้ด้วย ทว่าเนื่องจากที่เขาเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขต ด้วยพลังความสามารถสายดินเช่นนี้ ถึงได้ทำให้เกิดพลังอันมหาศาลของผาศิลาขึ้นมาได้
และยังทำให้พลังกายของเขาเพิ่มพูนจนแข็งแกร่งขึ้นมาได้ในเวลาเดียวกัน เขาจึงมีร่างกายที่ทนทานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับพลังการโจมตีของเขาแล้ว พลังป้องกันของเขากลับยิ่งเหนือกว่าจนน่าตกใจเลยทีเดียว
“ตูม”
“ตูม”
“ตูม”
หอกยาวในมือกู่หยาง ตวัดไปทั่วสารทิศจนยากที่จะต้านเอาไว้ได้ ถึงกับโจมตีต่อเนื่องจนผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นต้องถอยออกเป็นฉากฉากไป ไร้ซึ่งหนทางที่จะสวนกลับไปได้
“ยอดเยี่ยมไปเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป กู่หยางต้องชนะแล้ว” โหลวฉางมองดูจนเลือดลมพุ่งพล่านขึ้นมา พร้อมทั้งปรบมือแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความลิงโลด
“เจ้าผิดแล้วละ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป กู่หยางจะต้องพ่ายแพ้” หลงเฉินส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา
“เป็นไปได้อย่างไร ? เห็นๆกันอยู่ว่ากู่หยางเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ” โหลวฉางเกิดความไม่เข้าใจขึ้นมา
หลงเฉินกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าผู้ฝึกฝนพลังธาตุดิน นอกเสียจากธาตุไม้แล้ว ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความอดทนนานที่สุด จนสามารถที่จะทำการต่อสู้ได้นานเป็นอย่างยิ่ง
และการโจมตีของกู่หยางในตอนนี้ที่คล้ายกับฝนคลั่งพายุคะนอง ดูไปแล้วแม้จะรุนแรงจนเหมือนได้เปรียบ แต่ความเป็นจริงแล้วหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเขาอย่างแน่นอน
หอกยาวสีทองเล่มนั้นเองก็มีน้ำหนักที่น่าตกใจ มีแต่จะทำให้กู่หยางสูญเสียพลังกายมากขึ้นกว่าเดิม และด้วยพลังการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ ย่อมทำให้ร่างกายของเขาได้รับภาระที่หนักหน่วงเป็นอย่างมากแน่นอน
ข้าคิดว่าการโจมตีเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปได้แค่ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น จนทำให้กู่หยางรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้า เมื่อพลังการต่อสู้ลดลง ถึงเวลานั้นผลลัพธ์ก็จะกลายเป็นพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร ? ต้องเตือนเขาหรือไม่”
หลงเฉินส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา “ไม่จำเป็น หากแพ้ยังไงเสียก็ต้องแพ้ หาใช่เรื่องเลวร้ายอะไรไม่ แต่จะทำให้เขาเข้าใจตัวเองได้มากยิ่งขึ้น และสามารถที่จะมองเห็นความตื้นลึกหนาบางของตนเองได้จนจะส่งผลดีต่อเขาเลยทีเดียว
ถึงแม้จะต้องสูญแต้มคุณประโยชน์ไป เหอะเหอะ ทว่าก็ยังเป็นเพียงแค่การเล่นกันเท่านั้น ย่อมต้องมีแพ้มีชนะ ไม่มีอันใดเหนือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว
คนคนหนึ่งหากคิดที่จะกลายเป็นยอดฝีมือ ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจตัวเองก่อน ผู้อื่นย่อมไม่อาจช่วยเหลือเขาได้อยู่แล้ว นี่ก็คือหลักการในการต่อสู้ของเขา ปล่อยให้เขาทำความเข้าใจเองเถอะ”
หลงเฉินกล่าวตอบโต้ขึ้นมาโดยพลันด้วยโทสะอยู่บ้างว่า “ทว่าตัวบัดซบผู้นี้ ก็ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าเองก็เกือบที่จะพุ่งขึ้นไป ไม่งั้นข้าก็คงจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆแล้วละ
ถึงกับกล้าที่จะมาแทะโลมเทพีของพรรคฟ้าดินพวกข้า ช่างไม่รู้จักเสียแล้วว่าคำว่าตายนั้นเขียนอย่างไร นี้ถ้าหากข้ายังหนุ่มอยู่ละก็ คงจะต้องสยบเขาอยู่แทบเท้าไปแล้ว”
วาจาของหลงเฉิน ได้ทำให้ถู่ฟางและผู้อาวุโสส่วนหนึ่งหัวเราะไม่ออก ทว่าถังหว่านเอ๋อได้ยกมือขึ้นมาป้องริมฝีปาก และได้ปรากฏความปลื้มปิติขึ้นมาภายในดวงตาคู่งาม
ทางด้านของกัวหรานก็ได้ตบไปที่ปั้นท้ายแล้วกล่าวออกมาว่า “ใช่แล้วใช่แล้ว ต่อให้คิดจะพูดจาแทะโลม ก็มีแต่พี่ใหญ่เท่านั้นที่คู่ควร เขาถือเป็นตัวอะไรกัน”
“วาจาเช่นนี้ช่างลึกล้ำต่อใจของข้ายิ่งนัก” หลงเฉินพยักหน้าไปมา พร้อมทั้งยกหัวแม่มือขึ้นพร้อมกับกล่าวออกมา
“พวกเจ้าสองคนหุบปากได้แล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ
หลงเฉินกับกัวหรานต่างก็หุบปากกันอย่างว่าง่าย ตั้งอกตั้งใจมองไปด้านบนเวที การต่อสู้ในเวลานี้เองก็ได้เข้าสู่จุดตึงเครียดขึ้นมาแล้ว พลังสภาวะของกู่หยางได้ขึ้นมาระดับสูงสุด ร่ายรำหอกยาวกดดันผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นจนต้องถอยออกไปติดต่อกัน
ทว่าโล่วปิงกับศิษย์ที่อยู่ทางด้านหลังของนาง ต่างก็มิได้เผยสีหน้าหรืออาการเป็นห่วงขึ้นมาแต่อย่างไร ในทางกลับกันกลับเผยรอยยิ้มออกมา
ทำให้จิตใจของถังหว่านเอ๋อและพวกร้อนรนขึ้นมาภายในพริบตา แท้จริงแล้วก็เป็นอย่างที่หลงเฉินได้คาดเดาเอาไว้ ว่าผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นจงใจที่จะปล่อยให้กู่หยางสู้จนหมดแรงไปเอง เมื่อในเวลาที่กู่หยางสูญเสียความคมกล้า ก็คือเวลาที่เขาจะสามารถสวนกลับได้แล้ว
“ฮาฮา กู่หยางเด็กน้อยนี้ไม่เลวเลย ถึงกับมองเล่ห์เพทุบายของอีกฝ่ายออกได้” ทันใดนั้นหลงเฉินก็ได้ทอประกายดวงตาขึ้นเป็นสาย
.
.
.
* นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Novel Kingdom (หจก.โนเวล คิงด้อม) *
**ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไขหรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนทาง หจก. จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด**