ตอนที่แล้วMS บทที่ 7 ปกครองด้วยกำปั้นเหล็ก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMS บทที่ 9 ตกตะลึงครั้งใหญ่

MS บทที่ 8 อาจารย์ระดับสาม


MS บทที่ 8 อาจารย์ระดับสาม

ฮวงเหว่ยรู้สึกผิดขึ้นมาในใจนิดๆเมื่อหลีมู่จ้องมาที่เขา

เขาไม่เคยเจอผู้พิพากษาแบบนี้มาก่อนเลย เด็กคนนี้ช่างโอหังและหยาบคายยิ่ง

“ได้... ได้เลยขอรับใต้เท้า ข้าจะนำข้อความเหล่านั้นไปมอบให้กับเจ้านายของข้าเองขอรับ หวังว่าใต้เท้าจะสามารถทำตามที่ท่านได้กล่าวไว้ ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าน้อยขอตัวลา” ฮวงเหว่ยพยายามยิ้มพร้อมกับคำพูดเหล่านั้น

หลังพูดจบเขาก็เดินออกไปจากศาล

แต่ก่อนที่เขาจะออกจากประตูไปนั้นเขาก็หันกลับมาพูด “ว่าแต่ว่าใต้เท้า ในฐานะที่ท่านเพิ่งรับหน้าที่ใหม่ ท่านคงจะไม่รู้สินะว่าร้านโอสถวิเศษของข้านั้นทรงอำนาจเพียงใดในเมืองนี้ ท่านควรจะไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะทำการอะไรแบบนั้น มิเช่นนั้นแล้วท่านจะต้องเสียใจ”

แล้วจึงเดินหายวับไปจากศาล

เขาเป็นเพียงเจ้าของร้านเท่านั้นแต่ยังกล้าทำตัวระรานได้ขนาดนี้ ดูท่าว่าโอสถวิเศษกับฝ่ายเฉินหนงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันไม่น้อยเลย

หลีมู่พยายามอดกลั้นไม่ให้ตัวเองเดินเข้าไปตบหัวฮวงเหว่ยหลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็เดินหายไปและทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มสงบลง

เขารู้ตัวดีว่าการที่เขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องของเขาเยี่ยงคนขี้ขลาดมานานกว่า 20 วัน การที่ผู้คนจะมองว่าเขาไม่มีอำนาจก็ไม่แปลก

มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น นี่เป็นช่วงที่เขาจะได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาให้ทุกคนได้เห็นกันแล้ว

พร้อมกันนั้นเขาจะได้สั่งสอนพวกชนพื้นเมืองบนดาวดวงนี้ให้เห็นถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวโลกเสียหน่อย

“ช่างมันก่อนก็แล้วกัน ยังไงเสียอีกสามวันต่อจากนี้ข้าก็ต้องไปลงมือเองอยู่ดี”

แต่ก่อนหน้านี้หลีมู่ต้องจัดการกับเรื่องอะไรบางอย่างเสียก่อน

“พานางหลีและฉินเอ้อไปหาหมอแถวๆนี้เพื่อรักษาพวกเขาด้วย” หลีมู่บอกและพวกทหารก็ทำตามคำสั่งนั่น

“อย่ากังวลไป ข้าจะนำความยุติธรรมมาให้พวกเจ้าภายในสามวัน” เด็กหนุ่มยืนยันแก่พวกเธอ

สายตาของพวกเธอเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้งในช่วงเวลาที่ตกอับที่สุดของชีวิต

“ทำไมพวกเจ้าถึงเหลือกันเพียงหกคนในวันนี้ล่ะ?” หลีมู่กลับไปที่เก้าอี้ของเขาและหันไปถามชิงเฟิง

เพราะปกติแล้วต้องมีทหารจำนวนไม่น้อยกว่า 100 นายด้วยซ้ำ แต่มาในวันนี้ทำไมกลับเหลือแค่เพียง 6 คนล่ะ? พวกที่เหลือหายไปไหนกันหมด?

“เอ่อ...”

“คือเอ่อ...”

ทหารทั้งสี่พูดตะกุกตะกักไม่กล้าสู้หน้า

“บอกข้ามาเดี๋ยวนี้” เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปที่ทหารและถาม “เจ้าชื่ออะไร?”

ทหารคนนี้ดูหนุ่มมาก น่าจะอายุราวๆ 20 เห็นจะได้ ด้วยร่างกายที่กำยำทำให้เป็นที่เตะตาแก่หลีมู่ และเมื่อถูกถามมาแบบนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือกทันที “ข้าคือ ฉูหลู.... คนอื่น... เอ่อ... ถูกส่งไปประจำการที่อื่น... คิดว่างั้นนะขอรับ...”

หลีมู่ที่ได้ยินแบบนั้นก็คิดไว้ก่อนเลยว่าเรื่องราวเหล่านี้ต้องมีลับลมคมในแน่ๆ

เขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่จะไล่พวกทหารให้ออกไป ยังไงเสียถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไรอยู่ดี

“นายน้อย ดูเหมือนว่าจะมีคนพยายามทำให้ดูเป็นหัวหลักหัวตออยู่นะเจ้าคะ” หมิงหยู่พูดออกมาด้วยความขุ่นเคือง

ชิงเฟิงที่เพิ่งบันทึกสำนวนคดีเสร็จสิ้นตามคำสั่ง เขาวางพู่กันลงและมองหลีมู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ครั้งนี้หมิงหยู่พูดถูกนะขอรับ ข้าว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ปกติแล้ว”

เด็กสาวยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น และจากนั้นเธอก็มองไปที่ชิงเฟิงราวกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ “ครั้งนี้? นี่เจ้าหมายความว่าที่ข้าพูดมาก่อนหน้าทั้งหมดมันผิดรึยังไง?”

ชิงเฟิงหมดคำพูดก่อนที่จะขอตัวออกไปก่อน

“ข้านึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ซักผ้าให้นายน้อยเลย ข้าขอตัวก่อนล่ะ”

แต่หมิงหยู่ก็ยืนกรานคำพูด “ไม่! เจ้าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ข้าเข้าใจก่อน”

หลีมู่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีกับข้ารับใช้ทั้งสองคน ไม่รู้ว่าอะไรหอบเขาไปเจอกับสองคนนี้ได้กันนะ

ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มเปิดศาลตัดสินคดีความ และเขาก็พบว่าตัวเองไม่เหมาะกับสิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่

สิ่งสำคัญสำหรับที่สุดก็คือเขาต้องหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้คนบนดาวดวงนี้ด้วยวิชายุทธ์ของเขาให้ได้มากทีสุดดั่งที่ตาเฒ่าได้บอกไว้ แต่ในโลกแห่งวรยุทธ์นั้นไม่มีที่ไหนปลอดภัยหรอก การต่อสู้มักจะเกิดขึ้นเพื่อให้มีผู้ใดผู้หนึ่งแข็งแกร่งขึ้นเสมอ

หลีมู่จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อที่จะได้พัฒนาฝีมือของเขาและจะได้ออกจากดาวดวงนี้ได้ก่อน 20 ปีข้างหน้านี้

เมื่อคิดได้แบบนั้นเขาจึงกลับไปฝึกฝนต่อในที่พักของเขา

...

เช้าในอีกสองวันต่อมา เขาได้เชิญ หม่าจุนวู หัวหน้าเหล่าทหารมาที่นี่ด้วย

“ยินดีที่ได้พบขอรับ ท่านผู้พิพากษา”

หม่าจุนวูคือชายผู้มีร่างกายสูงกำยำและไว้หนวดเครา เขาใส่เกราะอ่อนสีดำกับพกดาบไว้ที่ข้างเอว ในฐานะของหนึ่งในสามข้าราชการตูโตวที่เก่งกาจแห่งไถไป๋ เขาต้องเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจมากๆ อย่างน้อยก็ทำให้หลีมู่มองว่าเขาเก่งกาจกว่าหกนักรบที่ไล่ตามเขาเมื่อวันนั้น

“นั่งลงก่อนท่านหม่า ข้าเชิญท่านมาที่นี่ก็เพื่อหารือเรื่องราวของทางโลกใต้พิภพน่ะ” เด็กหนุ่มชี้ไปที่เก้าอี้

“เรื่องราวของโลกใต้พิภพงั้นหรือ?” หม่าจุนวูรู้สึกวิตกที่ได้ยินหลีมู่บอกมาแบบนั้น

เด็กหนุ่มพยักหน้า “ข้าได้ยินมาว่าท่านก็อยู่ในกลุ่มพวกนั้นด้วยนี่นะ?”

ชายไว้หนวดตอบกลับ “ใช่แล้ว ข้ามาจากฝ่ายไถไป๋”

“ฝ่ายไถไป๋เหรอ?”

“ถูกต้องแล้วท่านผู้พิพากษา ที่มั่นหลักของพวกเราอยู่ที่เทือกเขาไถไป๋ในบรรดาฝ่ายอีกร้อยกว่าฝ่ายในแผ่นดินนี้ ฝ่ายไถไป๋นั้นมีระดับที่ 9 และครอบคลุมไปทั่วทั้งทวีป โชคดีของข้าที่เมื่อสิบปีก่อนข้าได้ร่ำเรียนจากอาจารย์ของฝ่ายนั้น”

จริงๆแล้วไม่ใช่เพราะว่าอาจารย์ของเขาเป็นผู้พิพากษาของมณฑลนี้มาก่อนหรอก แต่เป็นเพราะการที่เขาแสดงตัวตนเป็นผู้ติดตามแห่งฝ่ายไถไป๋ต่างหากถึงทำให้เขาเป็นข้าราชการตูโตว อย่างไรก็ตามฝ่ายไถไป๋เองก็มีความสัมพันธ์อันดีแม้ว่าจะอยู่ออกไปไกลหลายพันไมล์ก็ตาม

“ฝ่ายระดับเก้างั้นเหรอ? นี่มีแยกแม้กระทั่งระดับของฝ่ายด้วยเหรอเนี่ย?” หลีมู่รู้สึกสงสัยในจุดนี้

หม่าจุนวูคิดว่าผู้พิพากษาตัวจ้อยคนนี้ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวรยุทธ์เขาจึงตอบไป “ใช่แล้ว ทั้งสามอาณาจักรและเก้าฝ่ายต่างก็ร่วมมือกันปกครองโลกนี้ แถมยังมีแยกย่อยไปนับร้อยพันฝ่าย เมื่อราวๆพันปีก่อนปรมาจารย์ยุคเก่าแก่ได้ทำการแบ่งแยกการปกครองของทวีปนี้ เขาบอกไว้ว่าพวกฝ่ายไม่สมควรที่จะปกครองโลกได้โดยตรงแต่ต้องผ่านจากการประเมินระดับของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อฝ่ายใดมีระดับที่สูงมากก็จะทำให้สาวกของเขาไม่ต้องสนใจกฎเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น...”

เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรและรอฟังให้เขาพูดจนจบ

เขารู้เรื่องราวของดาวนี้อยู่แล้วว่ามันค่อนข้างจะแตกต่างจากโลกของเขาอย่างสิ้นเชิง

ผู้มีวิชายุทธ์นั้นสามารถชี้ชะตาของโลกนี้ได้ และยังมีฝ่ายอีกนับร้อยนับพันฝ่ายแฝงตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก

สามอาณาจักรแห่งฉินตะวันตก,พวกซ่งทางเหนือ และพวกฉูทางตอนใต้ต่างก็ปกครองโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน และข้าราชการหรือแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างก็มีฝ่ายที่ภักดีกันทั้งนั้น แม้แต่พวกราชวงศ์เองก็ไม่เว้น

ถึงตาเฒ่าจะบอกว่าดาวดวงนี้มีวรยุทธ์ต่ำก็เถอะ แต่ดูๆแล้วยังไงก็เก่งกาจกว่าโลกยุคโบราณแน่ๆ

“แล้วฝ่ายวิเศษทั้งเก้านั่นล่ะ?”

“ใต้เท้าไม่รู้จริงๆหรือ?” หม่าจุนวูประหลาดใจอย่างยิ่งที่ผู้พิพากษาคนนี้ไม่รู้จักเรื่องราวเหล่านั้น

หลีมู่ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คือว่ามันเป็นอย่างนี้นะ บังเอิญว่าข้าหัวกระแทกอย่างแรงตอนกำลังไปปีนเขาน่ะ”

ชายไว้หนวดถอนหายใจอย่างหนักก่อนจะตอบ “ฝ่ายทั้งเก้านั่นคือ วัดฮัวซาง,วัดเต๋าชิงเฉิง,วิหารตะวัน,วิหารปีศาจ,สำนักเหวินเต้า,ฝ่ายเชียนคัง,วิหารหมาป่าไพรี,ขั้วโลกใต้ และฝ่ายกวนฉานแห่งอาณาจักรฉินตะวันตก”

หลีมู่พยักหน้าเข้าใจและพยายามไม่ถามต่อ และหันมาเปลี่ยนหัวข้อ “ข้าเองก็ร่ำเรียนมาบ้างแต่ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับวิชายุทธ์เท่าไหร่นัก ท่านช่วยอธิบายเกี่ยวกับมันให้ข้าฟังได้หรือไม่?”

หม่าจุนวูกุมขมับและพูดด้วยความอดทน “แน่นอนว่าวิชายุทธ์นั้นมีการแบ่งแยกระดับขั้น คนธรรมดาสามารถฝึกกำลังกายตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นได้ และถ้าฝึกวิชายุทธ์ไว้เขาก็สามารถเอาชนะคนนับสิบได้ด้วยมือเปล่า ที่เรียกกันว่าการใช้พลังร่วม และพวกเราจะเรียกเขาคนนั้นว่าเป็นอาจารย์ระดับสูงในโลกใต้พิภพ ซึ่งถ้าพูดถึงพวกระดับสูงการที่มนุษย์คนใดสามารถใช้พลังปราณร่วมได้นั้นจะทำให้เขากลายเป็นอาจารย์ระดับสาม และสามารถกลายเป็นระดับสองได้ถ้าเขาคนนั้นรวมกำลังเข้ากับปราณด้วยกัน...”

หลีมู่ตื่นเต้นและสนใจในเรื่องราวเหล่านั้นมากและถามเรื่องอื่นต่อทันทีที่หม่าจุนวูพูดจบ “แล้วเรื่องของพวกระดับสูงล่ะ? มีใครสามารถขึ้นไปสูงกว่านั้นไหม? แล้วอาจารย์แบบไหนถึงจะกลายเป็นระดับหนึ่งได้ล่ะ?”

หม่าจุนวูฝืนยิ้มออกมา “ข้าเองก็ยังต้องพัฒนาฝีมืออยู่เหมือนกัน อาจารย์ของข้าสอนแค่วรยุทธ์พื้นฐานเท่านั้น และข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของพวกระดับสูงมากนักหรอก และคนอื่นที่เป็นระดับหนึ่งในไถไป๋ที่ไม่ใช่อาจารย์ ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

“ถ้างั้น ท่านหม่าพอจะบอกได้ไหมว่าท่านอยู่ในระดับไหน?” เด็กหนุ่มถามอีก

เขาตอบกลับอย่างหมดเปลือก “ข้าก็ไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้นหรอก แค่อยู่ในระดับการใช้ปราณร่วมกันได้มาเป็นสิบปีแล้ว”

“ว้าว สุดยอดไปเลย!”

หม่าจุนวูพยักหน้าให้

หลีมู่สัมผัสได้เลยว่าชายตรงหน้าเขานั้นไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก เด็กหนุ่มมั่นใจด้วยซ้ำว่าสามารถอัดเขาหมอบได้ในหมัดเดียว

พูดให้ถูกก็คือระดับของหลีมู่ในตอนนี้นั้นอาจจะสูงเทียบเท่าระดับสามแล้วก็ได้