MS:บทที่ 1 ผิดคน
MS:บทที่ 1 ผิดคน
ในตอนเย็น
มันเป็นพายุที่ดูเกรี้ยวกราด
ณ ปลายผาที่อยู่ในพื้นที่ของป่าไม้
2 ร่างเล็กกำลังสั่นไหว
6 นักรบผู้เพรียบพร้อมไปด้วยอาวุธ กำลังใช้บังคับให้สองร่างนั้นเดินถอยไปจนถึงขอบผาด้วยมีดเล่มยาวเย็นเฉียบในมือ
สายฟ้าสีขาวโพลนดุจหิมะฟาดเปรี้ยงลงมาจนพื้นดินสนั่นหวั่นไหวไปหมด และในจังหวะนั้น แสงไฟเพียงน้อยนิดก็ช่วยเผยใบหน้าของทั้งคู่ขึ้นมา พวกเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มและสาวน้อยวัยประมาณ 13 ถึง 14 ปีเท่านั้นเอง ดวงตาคู่สวยถูกซ่อนไว้ใต้หมวกสีเขียว ชุดที่ใส่นั้นก็ดูเหมือนหลุดออกมาจากโรงเรียนในหนังสยองขวัญอย่างไงอย่างงั้นเลย มีแต่ความสิ้นหวัง...และความโกรธเกรี้ยว
“เฮ้~ นายน้อยก็ตายเพราะกระโดดหน้าผานี่ลงไป มาทางนี้ น้องรองและน้องเล็ก เข้าไปจัดการเจ้าตัวแสบพวกนั้นซะ เราจะได้จบงานคืนนี้กันแบบสมบูรณ์เสียที จากนั้นก็จะได้เอาไปรายงานหัวหน้า” ชายที่ดูแข็งแกร่งผู้เป็นผู้นำของเหล่า 6 นักรบยิ้มอย่างเยือกเย็นก่อนจะพูดต่อ “ฝนนี่ช่างตกได้เหมาะเจาะเสียจริง เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีร่องรอยอะไรเหลือทิ้งไว้ให้เป็นหลักฐาน ดูท่าพระเจ้าเองก็ช่วยข้าอยู่เหมือนกันนะ...”
เสียงตวัดมีดดังขึ้น
แสงฟ้าส่องประกายตามคมมีดราวกับจะโอ้อวดความของมันเอง
นักรบทั้งสองค่อยๆเดินเข้าไปหาทั้งสองด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวในขณะที่เด็กทั้งสองต่างถอยจนจะไปถึงขอบเหวอยู่แล้ว
แต่แล้วจู่ๆเสียงคลิกๆก็ดังขึ้นระงม
ตู้ม!
สายฟ้าฟาดครั้งใหม่ซัดเปรี้ยงผ่านฟากฟ้าสีน้ำเงินเข้มในทันทีหลังจากเกิดเสียง ขนาดของมันใหญ่ไม่ต่างจากมังกรตัวยักษ์เลย
มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออยู่นิดหน่อยที่จะเกิดสายฟ้าขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ ระหว่างนั้นท้องฟ้าก็เปล่งประกายราวกับเป็นช่วงเวลากลางวันก็มิปาน เสียงอึกทึกครึกโครมดังระงมรามกับเกิดการระเบิดที่พร้อมจะแบ่งแยกฟ้าดินออกจากกันเลย และหลังจากที่สายฟ้าดังกล่าวดิ่งลงพื้น โลกทั้งใบก็สั่นสะเทือนไปหมด มันช่างแปลกและรู้สึกแย่เสียจริงๆ
นักรบทั้งสองเองก็ไม่ได้ใจกล้าขนาดไม่กลัวสายฟ้าฟาดเช่นนี้ พวกเขาตกตะลึงจนมือที่จับมีดพวกนั้นสั่นระรี้
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมถึงมีฟ้าฝนกระหน่ำลงมาเยอะในค่ำคืนนี้ล่ะ…?
แม้แต่หัวหน้าของเหล่านักรบยังต้องกระซิบกระซาบกับสิ่งที่เกิดขึ้น และดูท่าว่าเขาจะมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูด….
แต่ในจังหวะนั้นเอง เสียงที่แปลกประหลาดมักจะมาพร้อมสิ่งแปลกประหลาด มันถูกส่งลงมาจากฟากฟ้าในทันที
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก ทำไมตาแก่นั่นถึงขุดหลุมไว้ลึกขนาดนี้เนี่ย!!!?”
เสียงร้องที่ดังออกมาจากสุดขั้วหัวใจเฉกเช่นแมวน้อยที่ถูกเหยียบหางดังลิ่วมาจากเหนือหัว
ก่อนที่ทุกคนจะได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา ก้อนเงาดำๆก็ตกพรวดลงมาท่ามกลางหมู่มวลวัชพืชไม่ใกล้ไม่ไกลจากกลุ่มคนที่สูงราวๆครึ่งเมตรได้ ด้วยแรงส่งที่มีมากนั้นทำให้แรงปะทะส่งใบหญ้าลอยฟุ้งขึ้นฟ้าราวกับเป็นฝุ่นเลยทีเดียว
เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
เหล่านักรบที่มีอาวุธเพรียบพร้อมต่างพากันหน้าซีดไปทั้งแถบ
ทั้ง 6 รีบกลับมาตื่นตัวและถอยห่างออกไป ความมืดเป็นม่านกำบังที่ดี และในเวลานี้มีความมืดมากมายกำลังห้อมล้อมสิ่งที่อยู่ในกองฟางนั้นอย่างใกล้ชิด
หลายวินาทีต่อมา
“โอ้ พระเจ้า~! ก้นฉัน...บ้าจริง เป็นคนที่ชั่วร้ายอะไรขนาดนี้นะ อะไรทำให้ตาแก่นั่นเบื่อขนาดมาขุดหลุมได้ลึกขนาดนี้กัน…?”
ร่างเพรียวบางโผล่พรวดขึ้นมาจากองฟางและยืนตระหง่านพร้อมๆกับความสั่นเทาตามร่างกาย
แต่นั่นก็ทำให้เห็นว่าเขาเป็นหนุ่มที่แข็งแรงเอาการ
เสื้อผ้าท่อนบนนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้เลยทำให้เขาเปลือยช่วงอกอยู่ ผมสีดำสั้นมาคู่กับกางเกงทรงประหลาด เอาจริงๆก็ประหลาดทั้งทรงทั้งเนื้อผ้านั่นแหละ เขามีคิ้วที่หนาและตาที่โตอันมาคู่กับรอยยิ้มแบบเห็นฟัน ภายใต้ความสับสน ชายหนุ่มปีนออกมาจากกองฟางและลูบบริเวณสะโพกของตนไปพลางขณะที่เริ่มมองรอบๆตัวอย่างระมัดระวัง
มันเป็นเรื่องแปลกที่ทั้งฝนและฟ้าต่างพากันสงบตั้งแต่เขาตกลงมาจากบนฟ้า แถมมวลเมฆครึ้มหนาก็พากันกระจัดกระจายจนกลายเป็นคืนฟ้าโปร่งขึ้นมาเสียอย่างนั้นด้วย
จันทราคู่ตระหง่านอยู่เหนือเมฆสาดส่องแสงฟ้าลงมาได้อีกครั้ง
ชายหนุ่มลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัวและเหม่อมองไปยังจันทราทั้งสองที่ส่องประกายแสงอยู่บนฟ้า
และทันใดนั้น เขาก็ถูกสะกดให้อยู่ในความตะลึงไปเลย
“อะไรน่ะ...มีดวงจันทร์สองดวง? นี่ไม่ใช่ความฝัน...หรือเปล่า? นั่นหมายถึง...ตาแก่นั่นไม่ได้โกหกฉันงั้นเหรอ?” เขาถึงกับอ้าปากหวอจนแมลงวันบินเข้าไปและวกกลับออกมาใหม่ได้ “อย่าบอกนะว่า ฉันตกลงไปในหลุมหลังประตูห้องฝึกสมาธิด้วยความไม่ระมัดระวัง จากนั้นก็ถูกส่งมายังดาวเอเลี่ยนจริงๆ?”
มันมากกว่า 10 วินาทีที่เขาตกลงมาในหลุมและมาโผล่ที่นี่
มันเป็นไปได้ยังไง?
เขาหยิกแก้มตัวเองเพื่อทดสอบ
อั่ก...ก็เจ็บอยู่นะ
นี่มันเป็นเรื่องจริง...และเข้าไม่ได้กำลังฝันอยู่แน่ๆ
ทันใดนั้น เจ้าหนุ่มที่เพิ่งจับทิศจับทางได้ก็กรีดร้องออกมาดังลั่นพร้อมๆกับตบหน้าตัวเองไปด้วย เสียงบ่นอุบอิบอันเกิดจากความสับสนในอารมณ์นั้นดังมาเป็นระยะๆ เขากลายเป็นคนดุร้าย น่ารังเกียจ และทำตัวเหมือนเป็นคนบ้าไปแล้ว
ในความเป็นจริง เขาคือชายชาวโลกที่เพิ่งจะถูกส่งมาที่นี่โดยตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เท่านั้นเอง
ลมหนาวพัดโบกและทุกๆสิ่งจึงค่อยๆเงียบลงไป
มันเป็นทุ่งแห่งการสังหาร แต่ในเวลานี้บรรยากาศมันผิดปกติเกินไป เกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถชี้ได้ว่าบรรยากาศรอบๆตัวกำลังเป็นเช่นไร มันกำลังร้องไห้...หรือแท้จริงแล้วกำลังหัวเราะอยู่กันแน่
และนั่นทำให้นักรบกล้าทั้ง 6 ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะทำเช่นไรดี
พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับปัจจุบันกันแน่ รวมไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายตรงหน้า ณ เวลานี้ด้วย
ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะโดนแก้ไขแล้ว
ในเวลานั้น ร่างที่สั่นเทาและตื่นตระหนกได้เอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศที่แปลกประหลาดนั้น
“อา..นายน้อย? นั่นนายน้อยจริงๆใช่ไหมขอรับ? นายน้อยเพิ่งจะปีนขึ้นมาจากส่วนลึกของหน้าผา? นั่นเยี่ยมเลย นายน้อย...ยังมีชีวิตอยู่? ว้าว! มันวิเศษมาก ดีจริงๆที่นายน้อยยังไม่ตาย….”
มันเป็นเสียงของเด็กผู้ชายที่กำลังพูดอยู่
เด็กหนุ่มตัวน้อยที่กำลังแบกชั้นหนังสือที่ทำจากไม้ไผ่สูงพอๆกับตัวเขาเอง ทันใดนั้นเขาก็วิ่งเข้าหาหลี่มู่และดูตามเนื้อตามตัวด้วยความตื่นเต้น หนุ่มน้อยดูดีอกดีใจและเริ่มร้องไห้หลังพูดออกมาไม่กี่ประโยค
ส่วนเด็กสาวเองก็อยู่ในสภาวะตกตลึง เธอลุกขึ้นใบหน้าที่ตกกระทบแสงน้อยๆกำลังจ้องมองไปที่หลี่มู่ด้วยอีกรส นัยน์ตาใสเป็นประกายคงอยู่ในความวุ่นวายและสับสน “ส-สวัสดีเจ้าค่ะ...นายน้อย...นั่นใช่นายน้อยจริงๆใช่ไหมเจ้าคะ?
นายน้อยตกลงไปที่ผานั่นแล้วไม่ใช่เหรอ? หรือไม่ใช่? อ่า...เกิดอะไรขึ้นกับผมของนายน้อยกันเจ้าคะ ทำไมถึงสั้นแบบนั้น...? นายน้อยเปลี่ยนทรงผมใหม่ที่ข้างใต้ของผานี่เหรอ? เสื้อผ้านี่ก็ด้วย นายน้อยไปเอามาจากไหนคะเนี่ย?” หญิงสาวดูท่าจะเป็นสาวน้อยช่างพูดและช่างสังเกตุในสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม ผิดกับสิ่งที่เด็กชายทำลิบลับเลย
อ่า…?
เกิดอะไรขึ้นกันนะ?
หลี่มู่สับสน เขาก้มหัวลงแล้วมองไปยังเด็กทั้งสอง
“นายน้อย?”
“พวกเธอต้องจำคนผิดแล้วแน่ๆ...หรือเปล่า?”
อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองสามารถเข้าใจในสิ่งที่คนพวกนี้พูดได้งั้นเหรอ?
“เห้ย เจ้า….เจ้าน่ะ...ยังไม่ตายงั้นเหรอ?” หัวหน้าของเหล่านักรบกล้าพูดขึ้นมาอย่างตกใจ มีดเล่มยาวในมือเขานั้นสั่นไปหมด เขาดูกระวนกระวายและเปี่ยมไปด้วยความสับสนก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ดี...เจ้าโชคดีมากที่รอดและปีนขึ้นมาได้จากผาที่สูงกว่า 20 เมตร”
หลี่มู่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีเหล่านักรบผู้ชั่วร้ายอยู่ 6 คนที่นี่
เขามองไปยังหัวหน้าของพวกคนเหล่านั้นแล้วตกอยู่ในความสับสน
นี่ก็จำฉันผิดอีกคนแล้วงั้นเหรอ?
“จะบังเอิญอะไรขนาดนี้ ผมสามารถเข้าใจสิ่งที่พวกนายกำลังพูดได้”
“โอ้ ไม่นะ...นายน้อย รีบวิ่งเธอ พวกนั้นน่ะ มาเพื่อฆ่าท่านนะขอรับ..!” ทันใดนั้น เด็กชายก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความกระวนกระวาย และไม่เพียงแต่ตะโกนเด็กหนุ่มคนนั้นยังช่วยผลักให้หลี่มู่หนีอีก
อะไรกันน้า?
หลี่มู่ตะลึงสุดๆ
หลังจากที่เขาเห็นท่าทีของเด็กๆทั้งสองที่ดูกระวนกระวายกับเหล่า 6 นักรบที่มีอาวุธครบมือนั่นก็ทำให้หลี่มู่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้โดยทันที
ท่าทางเขาจะเข้ามาพัวพันกับการสมคบคิดในการฆ่าใครซักคนไปเสียแล้ว ทั้งๆที่ตัวเขาเองเพิ่งจะเดินทางข้ามเวลามาแท้ๆ
“ไม่นะ..ทำไมไอ้พล็อตเดิมๆนี่ถึงเกิดกับผมได้ล่ะ?”
“หยุด...หยุดก่อนเลย” หลี่มู่ยกมือขึ้นเหนือหัว
และทันทีที่เขายกมือขึ้น ทางฝั่งนักรบพวกนั้นเองก็พากันหยุดฝีเท้าลงทันที
มันเป็นอะไรที่แปลกนิดหน่อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ยิ่งกับคนที่เพิ่งตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างหลี่มู่ บางทีมันอาจจะทำให้คนพวกนี้ต้องระวังเขาเผื่อว่าหลี่มู่จะมีกลวิธี ลูกไม้ลูกเล่นอะไรซ่อนอยู่ก็ได้ อีกอย่างก็เพราะว่าพวกเขากำลังเข้าใจอะไรผิดอย่างเช่นการจำคนผิดอยู่นั่นแหละ
หลี่มู่ยังคงโล่งใจ
เขามั่นใจมากๆว่าคนพวกนี้ต้องเข้าใจสิ่งที่เขาพูดแน่ๆ สังเกตุจากท่าทีเหล่านั้นนะ
ดูท่ามันจะไม่เป็นปัญหาเสียแล้วหากจะต้องเจรจากับพวกเขาบนดาวเอเลี่ยนเช่นนี้
“ใช่ นั่นแหละ ช่วยหยุดซักแปปนึงก่อน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้กับมื้อที่เรามีกุ้งนางกิน...อ่ะ พวกนายคงไม่เคยกินกุ้งนางมาก่อนหรือเปล่า? โทษทีๆ ผมลืมไปว่านี่ไม่ใช่โลก ยังไงก็ตาม! นั่นไม่ใช่ปัญหา ผมจะพยายามยกตัวอย่างให้...แต่ใจเย็นลงก่อนนะ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตั้งใจฟัง” หลี่มู่ยังคงมีความสับสนอยู่น้อยๆ เขารู้สึกว่างเปล่าและเริ่มที่จะกลัวขึ้นมาทันทีที่เห็นว่ากลุ่มคนตรงหน้าพยายามจะโจมตี
เขาสูดหายใจลึกๆและรับรู้ได้ว่าอากาศบนโลกนี้นั่นบริสุทธิ์สุดๆไปเลยแถมยังหอมหวานอีกด้วย ความรู้สึกนึ้เหมือนอากาศกำลังว่ายน้ำอยู่ในปอดเลย และนั่นทำให้เขารู้สึกสบายขึ้นมาทุกๆครั้งที่ได้สูดหายใจ เหมือนกับ...กำลังลอยอยู่ในที่แสนไกลเลย
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ! สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องหาวิธีที่จะออกจากวินาทีชีวิตนี่ให้ได้เสียก่อน!
เขาพยายามยิ้มอย่างจริงใจและเริ่มพูดต่อ “สวัสดี พี่น้อง บางทีพวกนายอาจจะไม่เชื่อ แต่นี่เป็นเรื่องจริง! ในความจริงแล้ว ผมคือเอเลี่ยน! พวกนายจำผิดแล้ว ผมไม่ใช่คนที่ตามหาอยู่หรอก ผมก็แค่คนที่ผ่า...ไม่สิ เป็นคนที่ถูกส่งมาที่โลกนี้โดยฝีมือของตาแก่ขี้โกงตัวแสบ นายอาจจะไม่รู้จักโลก แต่ถ้าจะให้เล่ารายละเอียดของโลกคงต้องใช้เวลากว่า 3 วัน 3 คืนเลยล่ะ...”
เงียบไปหมด...อึดอัดด้วย
“นายน้อย...หัวกระแทกพื้นเหรอเจ้าคะ… อะไรคือเอเลี่ยนที่น้อยน้อยกำลังพูดอยู่เหรอ?”
เด็กสาวมองไปที่หลี่มู่ด้วยความรู้สึกราวๆ : “ตกเขาจนสมองไหลไปแล้วหรือไงนะ?”
หลี่มู่ไม่รู้จะพูดอะไรเลย
“สาวน้อย เธอกำลังจำผมผิดแล้วล่ะ”
“อย่าพูดไร้สาระสิเจ้าคะ! ไม่งั้นข้าจะเดือดร้อนไปด้วยนะ!?”
หัวหน้าของเหล่านักรบงุนงงไปพักใหญ่ๆก่อนจะยิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดขึ้นมา “หึ หลี่มู่ ข้าดูรูปเจ้ามามากกว่าพันครั้ง และนั่นทำให้ข้ามั่นใจว่า ไม่ผิดตัวแน่ๆ เจ้าไม่คิดว่ามันดูโง่ไปหน่อยเหรอที่จะหลอกพี่น้องของพวกข้าด้วยข้ออ้างโง่ๆนั่น เจ้าน่ะทั้งฉลาดแล้วก็หัวดีแถมยังเรียนเก่งด้วยนะ อย่าดูถูกพวกข้าเซ่!”
“โอ้? แล้ว...รู้ชื่อผมได้ยังไงกันล่ะนั่น…?”
หลี่มู่ตะลึงพร้อมกับถามกลับไปแทบจะทันที
แต่หลังจากนั้นเขาก็ระลึกชาติได้ว่าเผลอก้าวเท้าเหยียบปัญหาเข้าซะแล้ว
คนที่เจ้าพวกนี้ต้องการจะเชือดทิ้งดันชื่อหลี่มู่ด้วยงั้นเหรอเนี่ย
บ้าจริง นี่จะซับซ้อนไปถึงไหนเนี่ยโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่เจ้านั่นจะหน้าเหมือนแต่ยังชื่อเหมือนฉันด้วยงั้นเหรอ?
แล้วก็เป็นอย่างที่หลี่มู่คิดได้ เขากำลังเจอปัญหาแล้ว
เพราะเขาพูดเอง และคำพูดเหล่านั้นก็มัดตัวเขาไว้แน่นว่าเขาชื่อหลี่มู่?
มันไม่ผิดตัวซะทีเดียวหรอก...แต่มันคือการที่เผลอทำให้เข้าใจผิดแถมยังยากต่อการเถียงเพื่อให้ตัวเองรอดด้วย…
โธ่เว้ย นี่วิบากกรรมจากชาติไหนเนี่ย?
“พวกนายต้องล้อผมเล่นแน่ๆ...”
“ผมเดินทางมาที่นี่ทั้งตัว มาทั้งตัวไม่ใช่แค่จิตวิญญาณ...เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ไงกัน?”
“หืม? เจ้ายอมรับว่าเจ้าคือหลี่มูอีกครั้งแล้วนะ” หัวหน้านักรบยิ้มอย่างเยือกเย็นควบคู่กับท่าทีที่หยาบคายนั้น เขาพูดต่อ “เจ้าจะแกล้งโง่ช้าไปหรือเปล่า? ชักช้าไปก็เสียเวลาเปล่า เรารีบฆ่าเจ้านี่ให้จบเรื่องแล้วกลับไปรายงานหัวหน้ากันดีกว่าเหล่าน้องๆของข้า”
2 นักรบพร้อมอาวุธใกล้กับเขาแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียดก่อนที่จะเริ่มวิ่งเข้าหาและโจมตีเขาโดยตรงอย่างรวดเร็ว
….