Re-new ตอนที่ 95 เข้าโรงเรียน
ตอนที่ 95 เข้าโรงเรียน
เมื่อก่อนพวกคนหนุ่มของหมู่บ้านมักจะขึ้นภูเขาไปดักกระต่ายและไก่ฟ้ากันบ่อย ๆ เพราะพวกเขาเห็นพรานจ้าวกับหยูไห่หาเงินจากการล่าสัตว์ได้ แต่พอหยูไห่ประสบอุบัติเหตุ นอกจากพรานจ้าวที่มีฝีมือเก่งกาจแล้ว พวกชาวบ้านคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าเข้าไปในภูเขาอีกเลย
เฒ่าจางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซีชานมาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีสัตว์ดุร้ายอย่างหมีป่าอยู่ในภูเขา ! แม้ว่าหมีป่าจะถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่ามีสัตว์ดุร้ายอะไรอีกที่อาศัยอยู่บนภูเขา ?
หยูไห่ยิ้มกว้าง “มิใช่เรื่องใหญ่หรอกขอรับ ถ้ามิเข้าไปในป่าลึกก็มิมีปัญหาหรอก คนในหมู่บ้านใกล้ ๆ ก็เดินผ่านป่าติดภูเขาอยู่ทุกวัน หลายปีมานี้ท่านลุงเคยได้ยินว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือไม่เล่า ? ตอนนั้นมันเป็นเพราะพวกเรามิระวังกันเองเสียมากกว่า เลยไปทำให้หมีที่เพิ่งตื่นจากจำศีลตกใจเข้า... คราหน้าถ้าข้าระวังให้มากขึ้นก็มิเป็นไรแล้วขอรับ”
เฒ่าจางถอนใจและส่ายหัว เขาหยิบเงินไปเพียงแค่ 2 อีแปะจากที่ให้มา 3 อีแปะแล้วเอ่ยว่า “เด็กใช้พื้นที่มิเยอะหรอก จ่ายเพียงคนเดียวก็พอ ครอบครัวของเจ้าก็มิได้สุขสบายมากนักนี่...”
เสี่ยวเฉาขอบคุณท่านปู่จางทันที แม้ว่าตอนนี้ครอบครัวของนางไม่ได้ขาดเงิน แต่พวกเขาทุกคนก็รู้สึกขอบคุณความมีน้ำใจและความหวังดีของเฒ่าจาง สองพี่น้องเลือกที่นั่งตรงกลางเกวียนแล้วนั่งลงพิงกระเป๋าของฉีโตว หยูไห่นั่งด้านหน้าข้าง ๆ เฒ่าจางและสนทนากับเขาไปเรื่อยเปื่อย เฉียนเหวินนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ถัดจากสองพี่น้อง หัวของเขาโยกไปมาตามการเคลื่อนไหวของเกวียน
เกวียนวัวออกเดินทางและหยุดลงหลายครา เมื่อผ่านหมู่บ้านที่ 3 เกวียนก็เต็มไปด้วยคนที่จะเข้าไปในเมือง เสี่ยวเฉากับน้องชายถูกเบียดอยู่ตรงกลางและไม่สามารถยืดขาได้เลย ถึงมันจะไม่สบายเท่าใดนัก แต่เสี่ยวเฉาก็รู้สึกว่ามันมิใช่เวลาที่บ่น เฉียนเหวินดูจะรู้สึกได้ว่านางไม่สบายตัวนักจึงตัดสินใจสลับที่กัน ทำให้นางได้นั่งข้างเกวียนและห้อยขาลงมาได้ แน่นอนว่ามันสบายกว่าการงอขาเป็นอย่างมาก
เสี่ยวเฉายิ้มขอบคุณให้เฉียนเหวิน ขณะเดียวกันฉีโตวก็เบียดไปนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างท่านพ่อกับท่านปู่จาง เขาถือแส้เฆี่ยนวัวของเฒ่าจางและใช้มันวาดรูปในอากาศ...
เกวียนมาถึงเมืองถังกู่ก่อนเวลามื้ออาหารเช้า เสี่ยวเฉาอุ้มตะกร้าสานเดินไปตามถนน ในตะกร้าเป็นของขวัญที่นางวางแผนจะมอบให้แก่อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน ทั้งสามคนเดินตรงไปที่โรงเรียนหรงซวนโดยมีเฉียนเหวินเป็นผู้นำทาง
ประตูของโรงเรียนดูใหญ่โตโอ่อ่าน่าประทับใจ ด้านบนสุดของประตูคือป้ายที่เขียนไว้ว่า ‘โรงเรียนหรงซวน’ ความจริงแล้วคำเหล่านั้นในอดีตฮ่องเต้ได้เขียนให้ด้วยตนเอง สนามโรงเรียนถูกออกแบบตามแนวสมมาตรและมีลานกว้าง อาคารหลักถูกสร้างขึ้นบนแกนกลางและห้องเรียนที่อาจารย์ใหญ่สอนด้วยตนเองอยู่ตรงกลางอาคารพอดี ห้องเรียนอื่น ๆ ถูกแบ่งออกเป็นสองแถว ห้องอาหาร, ห้องกราบไหว้เทพเจ้า และห้องบรรพชนมีอยู่ทั้งทางปีกซ้ายและปีกขวา
ทิวทัศน์ภายในสนามให้ความรู้สึกว่าที่แห่งนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก มีสระน้ำและลำธาร, สะพานหิน และศาลา...คนที่เดินไปรอบ ๆ จะได้ยินเสียงนักเรียนท่องคำที่พวกเขาอ่านในหนังสือเบา ๆ นี่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและการเรียนรู้ ผู้คนที่มาเยี่ยมชมต่างรู้สึกเกรงขามและหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของที่นี่...
ทั้งสามคนผ่านประตูใหญ่ของโรงเรียนเข้าไปได้อย่างราบรื่นด้วยการแนะนำของเฉียนเหวิน ขณะที่พวกเขาเดินผ่านถนนที่เงียบสงบ พวกเขาก็อดเดินให้เบากว่าปกติไม่ได้
ตอนนี้เป็นเวลารับประทานอาหารที่โรงเรียน ดังนั้นเฉียนเหวินจึงพาพวกเขาเข้าไปที่ลานรับประทานอาหาร บริเวณนั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือพื้นที่ที่นักเรียนใช้ทานอาหารในแต่ละมื้อ อีกส่วนที่เล็กกว่าแต่ดูดีกว่าเป็นพื้นที่สำหรับอาจารย์
เสี่ยวเฉาบีบหูหิ้วตะกร้าแน่นและเดินตามเฉียนเหวินเข้าไป เมื่อพวกเขาไปถึงประตูทรงกลมที่มีรูปร่างเหมือนพระจันทร์ พวกเขาก็ถูกนักเรียนที่สวมชุดคลุมสีดำห้ามเอาไว้ “นักเรียน ที่นี่เป็นลานทานอาหารของอาจารย์ ถ้าอยากทานอาหารก็ไปตรงโน้น !”
เฉียนเหวินคารวะและตอบเบา ๆ ว่า “รบกวนพี่ชายไปเรียนท่านอาจารย์ใหญ่ให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ ว่าเด็กจากท่าเรือที่ท่านรับเข้าโรงเรียนมารายงานตัวแล้ว...”
อาจารย์ใหญ่รับนักเรียนใหม่ด้วยตนเองรึ ? เด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีดำแอบมองเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่สวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมทั้งชุดกับผู้ชายและเด็กหญิงที่สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เขาชะงักนิ่งไปชั่วครู่แล้วพยักหน้า “โปรดรอสักครู่...”
ในลานกินข้าว อาจารย์ใหญ่หยวนกำลังทานของว่างกับหัวหน้าอาจารย์รวมไปถึงเจ้าหน้าที่พิธีการและประวัติศาสตร์ เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่หัวหน้านักเรียนรายงาน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันพลันและเอ่ยถามว่า “เด็กผู้หญิงที่มากับเขาอายุประมาณ 7 - 8 ขวบใช่หรือไม่ ? นางมามือเปล่ารึ ? นางมิได้เอาสิ่งใดติดมือมาด้วยเลยรึ ?”
หัวหน้าอาจารย์นั้นถือได้ว่าเป็นเพื่อนเก่าแก่ของเขาและรู้ว่าเขาไม่เคยรับของขวัญจากคนอื่นจึงรู้สึกตกใจและประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาถามตนเองอยู่เงียบ ๆ ว่าเหตุใดเพื่อนของเขาถึงถามอะไรเช่นนั้นออกมา นี่มัน...นี่มันชัดเจนมากเลยมิใช่รึว่าเขาต้องการของบางอย่างจากนาง ? คนแบบไหนกันที่สามารถทำให้เพื่อนเก่าของเขาทำเรื่องที่ตรงกันข้ามกับนิสัยของเขาได้ ? เจ้าหน้าที่พิธีการลอบมองอาจารย์ใหญ่อย่างสับสนงุนงงเช่นกัน
หัวหน้านักเรียนคนนั้นแอบมองอาจารย์ใหญ่และตอบเบา ๆ ว่า “เด็กผู้หญิงคนนั้นถือตะกร้ามาด้วยขอรับ มันมีผ้าคลุมอยู่ด้านบนข้าก็เลยมิรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในตะกร้า”
ในใจของเขารู้สึกว่านี่มันไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม ทั้งสามคนดูเหมือนมาจากครอบครัวที่ยากจน ของขวัญแบบไหนที่พวกเขาจะสามารถให้ได้ ? อาจจะเป็นไข่ไก่สักสองสามฟอง หรือผักตากแห้งสักกำ อย่างมากก็ไก่แก่ ๆ สักตัว มีอะไรให้ตั้งตารอคอยถึงเพียงนั้นกัน ?
แต่กระนั้น เมื่ออาจารย์ใหญ่ได้ยินคำตอบ สีหน้าของเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ชายชราลุกพรวดขึ้นแล้วเดินไปสองสามก้าวพร้อมกับหัวเราะลั่น “ท่าทางแม่หนูผู้นี้จะหัวไวใช้ได้เลยนี่ เร็วเข้า เร็ว ๆ ให้คนพวกนั้นเข้ามา”
เฉียนเหวินรู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าอาจารย์ใหญ่ออกมาต้อนรับครอบครัวหยูด้วยตนเอง ฉีโตวมีความสามารถแบบไหนกันถึงทำให้อาจารย์ใหญ่ชอบเขามากถึงเพียงนี้ ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อบัณฑิตที่เป็นที่เคารพนับถือทั้งสามคนออกมารับพวกเขาด้วยตนเอง เฉียนเหวินก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เขาโค้งคำนับให้อาจารย์ใหญ่ หัวหน้าอาจารย์ และเจ้าหน้าที่พิธีการและประวัติศาสตร์
อาจารย์ใหญ่หยวนสังเกตเห็นว่าเขาสวมเครื่องแบบนักเรียน เสื้อคลุมยาว เขาจึงยิ้มให้และพยักหน้า “เจ้าเป็นนักเรียนชั้นต้นใช่หรือไม่ ? ชื่ออะไรล่ะ ? อยู่หมู่บ้านเดียวกับหยูฝานและพี่สาวของเขาเยี่ยงนั้นรึ ?”
พวกเขาต้องยอมรับเลยว่าอาจารย์ใหญ่หยวนมีความจำที่น่ากลัว ผ่านไปหลายวันแล้วแต่เขายังจำชื่อเต็มของฉีโตวได้อย่างแม่นยำ ส่วนเรื่องที่รู้ว่าเฉียนเหวินเป็นนักเรียนชั้นต้นนั้นมิใช่เพราะเขาประทับใจในตัวของเฉียนเหวินแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะชั้นเรียนแต่ละชั้นในโรงเรียนนี้ ชั้นพื้นฐาน, ชั้นต้น, ชั้นกลาง และชั้นสูง ทั้งหมดมีสีเครื่องแบบที่แตกต่างกัน
เด็ก ๆ ในชั้นพื้นฐานจะสวมชุดคลุมยาวสีหมึกน้ำเงิน นักเรียนชั้นต้นสีฟ้าน้ำทะเล, ชั้นกลางสีฟ้าของท้องฟ้า และชั้นสูงเป็นสีของดวงจันทร์สีฟ้าอ่อน แค่มองดูเครื่องแบบสีฟ้าน้ำทะเลที่เฉียนเหวินใส่อยู่ อาจารย์ใหญ่หยวนก็บอกได้แล้วว่าเขาอยู่ชั้นไหน
เฉียนเหวินคำนับมหาบัณฑิตหยวนเป็นการตอบคำถามของเขา อาจารย์ใหญ่หยวนจ้องมองตะกร้าในมือของเสี่ยวเฉาอย่างโจ่งแจ้ง และเอ่ยให้กำลังใจเฉียนเหวิน แบบผ่าน ๆ ไปสองสามประโยค เด็กชายรู้สึกตื้นตันที่ได้รับความสนใจจากเขา ชายชราโบกมือไล่เฉียนเหวินให้ไปทานอาหาร จากนั้นเขาก็ยิ้มยิงฟังให้เสี่ยวเฉาพร้อมกับถูมืออย่างคาดหวัง “แม่หนูน้อย สิ่งใดอยู่ในตะกร้ากัน ? เจ้าตัวตะกละในท้องของข้าร้องโครกครากแล้ว เอามันออกมาเร็ว ๆ เข้า...”
หัวหน้าอาจารย์กับเจ้าหน้าที่พิธีการมองหน้ากัน จากนั้นก็เบือนหน้าหนีพร้อม ๆ กัน พวกเราไม่รู้จักตาแก่หน้าไม่อายผู้นี้ พวกเราไม่รู้จัก...
“ท่านอาจารย์ใหญ่นี่จมูกดีจริง ๆ เลยนะเจ้าคะ ข้าเอาเนื้อหัวหมูตุ๋นกับปลาหมักมา อยากลองหน่อยหรือไม่เจ้าคะ ?” เสี่ยวเฉาหยิบเอาอาหารทั้งสองจานออกจากตะกร้าและวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าบุคคลสำคัญทั้งสามของโรงเรียน
“เนื้อหัวหมูตุ๋นรึ ? อาหารที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงโปรดมากที่สุดใช่หรือไม่ ? ยอดเยี่ยม...อ่า เจ้า 2 คนน่ะ เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าอิ่มแล้วมิใช่รึ ? ถ้าอิ่มแล้วก็ไปได้แล้ว ไปสิ ไป...” อาจารย์ใหญ่หยวนปกป้องอาหาร 2 จานราวกับเป็นสมบัติสุดรักสุดหวงของเขา เขาอยากเก็บอาหารของเขาให้ห่าง ๆ จากหมาป่าที่หิวโหยทั้งสองซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่ของเขา
หัวหน้าอาจารย์กับเจ้าหน้าที่พิธีการเป็นเพื่อนกับเขามานานจึงรู้ว่าเขามีนิสัยแบบไหน พวกเขามองไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารซึ่งแทบจะไม่ได้แตะต้องกับแก้วเหล้าที่จิบไปแค่นิดหน่อยเท่านั้น ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างขมขื่นแล้วลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องให้ในครัวทำอาหารให้อีกหนึ่งโต๊ะเสียแล้ว
ชายสองคนมองเสี่ยวเฉาที่สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ โทรม ๆ แล้วลอบคิดว่า ‘เด็กคนนี้เหมือนจะมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่ก็ยังสามารถหาของที่เพื่อนเก่าของเราชอบมาได้ ไอ้คนที่ดูถูกอาหารจากครัวในวังหลวง กลับชอบอาหารที่เด็กหญิงผู้นี้ทำงั้นรึ ? นั่นก็แค่เนื้อแดงซีด ๆ กับปลาตัวกะจิ๋วไม่กี่ตัวเองมิใช่รึ เหตุใดต้องหวงถึงเพียงนี้ด้วยเล่า ? ’
หัวหน้าอาจารย์กับเจ้าหน้าที่พิธีการนั่งลงที่โต๊ะใกล้ ๆ และดื่มเหล้าพลางมองดูการเคลื่อนไหวและสีหน้าของอาจารย์ใหญ่หยวน พวกเขาเห็นเขาคีบเนื้อหมูที่มีหนังขึ้นมาหนึ่งชิ้นและเคี้ยวอย่างละเอียดเพื่อลิ้มรสชาติของมัน เขาหลับตาลงด้วยความพอใจ ภาษากายของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาพอใจกับรสชาติของอาหารจานนี้เป็นอย่างมาก
ก็แค่เนื้อหมู จะอร่อยได้สักแค่ไหนกันเชียว ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าต่อมรับรสของเพื่อนเก่าของเขาเสื่อมสภาพลงแล้วและเขามิได้จุกจิกจู้จี้อีกต่อไป ? จากนั้นชายทั้งสองก็เห็นอาจารย์ใหญ่คีบปลาตัวเท่าฝ่ามือเด็กขึ้นมา ปลาตัวแค่นี้มีก้างเล็ก ๆ เยอะมิใช่รึ ? ต้องใช้ความพยายามในการกินอย่างมากเลยทีเดียว พวกเขาต้องการดูว่าเพื่อนของพวกเขาจะกินปลาเล็กนี่เยี่ยงไร
อาจารย์ใหญ่หยวนก็สงสัยเช่นกัน เขาถามเด็กหญิงสองสามคำถาม หลังจากลังเลอยู่ชั่วอึดใจเขาก็อ้าปากและยัดปลาใส่ปาก หัวหน้าเมิ่งกับเจ้าหน้าที่เหยารู้สึกราวกับว่าพวกเขาสามารถรับรู้ได้ถึงก้างปลาเล็ก ๆ จำนวนมากกำลังทิ่มมาที่ปากพวกเขา ทั้งสองคนต่างพากันกระแอมไอขึ้นมา
ส่วนอาจารย์ใหญ่หยวนเพื่อนของพวกเขานั้น ดวงตาที่เดิมเปิดกว้างก็ค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้า ๆ ขณะที่เคี้ยว สีหน้าเช่นนี้แสดงชัดเลยว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับรสชาติของอาหารอันโอชะ
ไอหยา ? เพื่อนของเขากินปลานั่นได้เยี่ยงไร มิคายก้างออกมาเลยด้วย ? อีกทั้งยังดูไม่เหมือนถูกก้างทิ่มอีกด้วย ปลานั่นเป็นปลาไม่มีก้างรึ ? ไม่น่าใช่นี่ เจ้าหน้าที่เหยาที่โตมาในแถบชนบทจำได้ตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่ามันคือปลาอะไร มันคือปลาตะเพียนที่มีก้างเล็ก ๆ เยอะเป็นอย่างมาก !
เด็กผู้หญิงคนนี้ร่ายมนตร์แบบไหนใส่อาจารย์ใหญ่กันแน่ เขาถึงได้กินปลาที่มีก้างเล็ก ๆ ได้โดยไม่มีอาการเจ็บหรือทรมานเลย...
เจ้าหน้าที่เหยาทนนั่งเฉยต่อไปไม่ได้แล้ว ! เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่งั้นเขาคงกินไม่ได้นอนไม่หลับไปอีกหลายวัน !
เจ้าหน้าที่เหยาก้าวเข้ามาที่โต๊ะของอาจารย์ใหญ่หยวนและคว้าเอาปลาตัวเล็กไปหนึ่งตัวขณะที่ชายชรากำลังสนทนากับเสี่ยวเฉา และก่อนที่คนอื่นจะทันคัดค้าน เขาก็รีบยัดปลาเข้าปากตนเองทันทีด้วยความรวดเร็ว
อาจารย์ใหญ่หยวนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เขารู้จักเจ้าหน้าที่เหยามาเกือบ 50 ปีแล้ว และรู้ว่าเพื่อนของเขามาจากครอบครัวที่ยากจน ดังนั้นเฒ่าเหยาจึงไม่มีความคาดหวังเรื่องอาหาร ตราบใดที่สามารถกินให้อิ่มท้องได้เขาก็พอใจมากแล้ว
วันนี้เฒ่าเหยารู้ว่ามีบางอย่างที่พิเศษอยู่ เขารู้ว่าปลาของเด็กผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมและพิเศษเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สนใจชื่อเสียงของตนอีกต่อไปแล้ว และได้เดินมาคว้าอาหารไปจากจานของอาจารย์ใหญ่หยวน หลังจากนั่งตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ อาจารย์ใหญ่หยวนก็ตะโกนขึ้นว่า “เฒ่าเหยา ! มันจะมากไปแล้ว ! กล้าขโมยปลาหมักที่แม่หนูน้อยทำมาให้ข้าเป็นพิเศษเพื่อแสดงความเคารพและกตัญญูได้เยี่ยงไรกัน ?”
อาจารย์ใหญ่หยวนวางตะเกียบลงแล้วพุ่งเข้าหาเพื่อนที่ยังเคี้ยวปลาสุดหวงของเขาอยู่ เจ้าหน้าที่เหยายังคงกินปลาที่ละลายในปากต่อไป แต่มือเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ อีกต่อไป เขาพยายามหลบและผลักการโจมตีของอาจารย์ใหญ่หยวน