Re-new ตอนที่ 94 เกวียนเทียมลา
ตอนที่ 94 เกวียนเทียมลา
เมื่อพี่หกออกมาจากเรือนรับรองแขก เขาก็เห็นว่าเสี่ยวเฉายังยืนอยู่ที่นั่น เขาเลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยถามออกไปว่า “ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้ เจ้าต้องการอันใดอีกหรือไม่ ?”
เสี่ยวเฉาหยิบเงินออกจากถุงผ้าปักและยื่นให้กับเขา “ท่านพี่หกเจ้าคะ นี่เป็นเงินที่เหลือจากการซื้อวัตถุดิบทั้งหมดเจ้าค่ะ...”
อาหารทั้งโต๊ะใช้เพียงพุงหมูครึ่งชั่ง,เนื้อขาหมู 1 ชั่ง, ไข่แดงเค็ม 5 ฟอง, ปลาที่พวกเขาจับได้ และเต้าหู้แห้งกับผักกาดขาวที่เป็นเงินเพียงเล็กน้อย โดยรวมแล้วมันใช้เงินเพียง 1 ตำลึง 300 อีแปะในการทำอาหารทั้งหมดเท่านั้น
แต่พี่หกไม่ได้ยื่นมือออกมารับเงิน เขามองที่มือของนางอย่างเฉยเมยและเอ่ยว่า “มิต้อง ! อาหารที่ร้านเจินซิวโต๊ะหนึ่งก็ราคาอย่างน้อย 30 - 50 ตำลึงแล้ว พอคิดคำนวนแล้วคนที่ได้เปรียบก็คือข้า ! ขอบคุณเจ้ามากยิ่งนักที่ช่วยข้ารักษาลูกค้ารายใหญ่เอาไว้ !”
เสี่ยวเฉาเก็บเงินเข้าถุงเงินอย่างดีใจ นางจึงยิ้มกว้าง “ขอบคุณอะไรกันเจ้าคะ ? ข้าดีใจมากกว่าที่ได้ช่วยท่านพี่ สายแล้ว...ท่านพี่หกเชิญไปทำธุระที่ต้องทำเถอะเจ้าค่ะ”
ทำอาหารเพียงไม่กี่จานก็ได้เงินอย่างน้อย 1 ตำลึงแล้ว นางหวังว่าการค้าเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับนางหลาย ๆ ครั้งต่อเดือน เมื่อนึกถึงเงิน 5 ตำลึงที่ลูกค้าคนสำคัญของพี่หกให้รางวัลมา เสี่ยวเฉาก็ยิ่งร่าเริงมากขึ้น นางไม่เพียงทำเงินได้มากพอจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับน้องชายเท่านั้น แต่ยังเหลือซื้อเสื้อผ้าให้กับทุกคนในครอบครัวอย่างน้อย 2 ชุดกับวัสดุในการทำผ้าห่มอุ่น ๆ อีก 2 ผืน !
“เฉาเอ้อร์ เจ้ามีความสุขมากถึงเพียงนี้เกิดอันใดขึ้นงั้นรึ ?” ขณะที่หยูไห่เข็นรถ เขาก็สังเกตเห็นลูกสาวที่นั่งอยู่บนรถหัวเราะคิกคักเป็นระยะซึ่งได้สร้างความงุนงงให้แก่เขาเป็นอย่างมาก ช่วงครึ่งปีมานี้ลูกสาวของเขาดูมีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น บางคราเขาก็รู้สึกเหมือนว่ามีวิญญาณผู้ใหญ่อยู่ในร่างเล็ก ๆ ผอมบางของนาง
เสี่ยวเฉามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยิบเอาเงินก้อนใหญ่ออกมาจากกระเป๋า นางโบกเงินตรงหน้าของหยูไห่แล้วเอ่ยว่า “ดูสิเจ้าคะ ! ท่านพ่อว่านี่คืออะไร...”
“เงินรึ ? ก้อนใหญ่จริงเชียวต้อง 5 ตำลึงเป็นแน่ ใช่หรือไม่ ?” หยูไห่ทำหน้าประหลาดใจและเอ่ยถามนางว่า “เฉาเอ้อร์ เจ้าเอาเงินนั่นมาจากที่ใด ?”
“ลูกค้าคนสำคัญของท่านพี่หกให้ข้าเป็นรางวัลเจ้าค่ะ เขาบอกว่าอาหารที่ข้าทำอร่อยกว่าร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเสียอีก !” ใบหน้าของเสี่ยวเฉาเปล่งประกายความภาคภูมิใจ ถ้าเป็นลูกหมาน้อย หางของนางคงชี้ขึ้นแล้ว
ลูกสาวคนเล็กของเขาแสดงความเป็นเด็กที่หาได้ยากออกมา ทำให้หยูไห่หัวเราะออกมาเบา ๆ “แน่นอน ! เฉาเอ้อร์ของพ่อเก่งที่สุดอยู่แล้ว ! นี่ถ้าพ่อมิรู้ พ่อคงเชื่อว่าเทพแห่งอาหารอยู่ในร่างของเจ้าเป็นแน่ !”
“ฮ่า ๆ ! จะเป็นเทพแห่งอาหารหรือพรจากเทพแห่งโชคลาภก็เถอะ ตราบใดที่ข้าทำเงินได้ก็ดีแล้วมิใช่รึ ! อีก 2 วันท่านพ่อว่าท่านพี่เฉียนเหวินจะหยุดกลับมาที่บ้านหรือไม่ ? พรุ่งนี้เป็นวันตลาดที่ท่าเรือ พวกเราน่าจะซื้อเสื้อผ้ากับฝ้ายมาทำเสื้อชุดใหม่ให้ฉีโตวสัก 2 ชุดนะเจ้าคะ...” เสี่ยวเฉาเอ่ยออกมาอย่างมีความสุข คำกล่าวไหลออกมาจากปากนางไม่หยุด เมื่อเห็นว่านางมีความสุขและตื่นเต้น หยูไห่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับทุกอย่างที่นางเอ่ย
พอมีหยูไห่เข็นรถให้เช่นนี้ ถนนที่ระยะทางกว่า 40 ลี้ก็ดูเหมือนไม่ไกลเท่าแต่ก่อน ทั้งคู่หยุดพักกลางทาง เสี่ยวเฉาม้วนขากางเกงของพ่อขึ้นมาและเริ่มต้นนวดขาข้างที่บาดเจ็บให้เขาอย่างชำนาญ นางรู้สึกเหมือนพ่อของนางเดินมากเกินไปจึงเอ่ยออกมาว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ตอนนี้พวกเรามีเงินประมาณ 7 - 8 ตำลึงแล้ว เราซื้อเกวียนเทียมวัวสักคันแทนเสื้อกับผ้าห่อใหม่เป็นเยี่ยงไรเจ้าคะ ?”
หยูไห่เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าแล้วดื่มน้ำที่ต้มมาแล้ว เขารู้สึกเหมือนความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดถูกล้างออกไปอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเฉาได้เตรียมน้ำหินศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ให้พ่อของนางเป็นพิเศษ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเยี่ยงนี้
เมื่อได้ยินคำแนะนำของนางเขาก็หัวเราะออกมา “7 - 8 ตำลึงพอซื้อแค่วัวอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเจ้าอยากได้เกวียนด้วย ต่อให้พวกเราเตรียมไม้ไว้เองก็ยังต้องใช้เงินอีก 200 อีแปะ ตอนนี้บ้านเรามีเงินพอซื้อเพียงแค่เกวียนเทียมลาเท่านั้นล่ะลูก...”
“ลาเร็วกว่าวัว เยี่ยงนั้นซื้อลามาลากเกวียนก็น่าจะดีกว่านะเจ้าคะ ! ท่านพ่อ ลาตัวหนึ่งราคาเท่าใดรึเจ้าคะ ? พวกเราซื้อลามาแล้วให้น้าสี่ช่วยทำเกวียนให้พวกเราได้หรือไม่ อีกไม่กี่วันผักที่บ้านเราก็พร้อมขายแล้ว ถ้าครอบครัวของเรามีเกวียนก็จะสามารถนำผักไปขายที่ตลาดได้ง่ายขึ้นนะเจ้าคะ”
ชาติก่อนของเสี่ยวเฉาแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นลาเลยแม้แต่แถบชนบทก็ตาม นางจำได้ลาง ๆ ว่าครอบครัวของนางเลี้ยงลาตอนที่นางยังเด็ก นางถูกพ่อของนางอุ้มเอาไว้ขณะที่เขาขี่เกวียนเทียมลาไปที่ตลาดในเมือง !
หยูไห่รู้สึกหัวใจแทบหยุดเต้นขึ้นมากับความคิดนั้น ที่ดินตรงลานด้านหน้าและด้านหลังเขียวชอุ่มไปด้วยผักสีเขียวแล้ว หลังจากที่ปลูกได้ 20 กว่าวัน ผลผลิตก็น่าจะพร้อมให้เก็บไปขายที่ตลาดได้เร็ว ๆ นี้ ถ้าพวกเขาไม่มีเกวียน พวกเขาก็ต้องให้ใครสักคนเดินเท้าลากผักเข้าไปในเมือง นั่นจะต้องใช้ความมานะอุตสาหะมากเสียทีเดียว !
“ลาตัวผู้ 1 ตัวน่าจะประมาณ 4 - 5 ตำลึง ถ้าพวกเราเพิ่มเกวียนไปด้วย พ่อว่าเฉาเอ้อร์คงมิได้ใส่ชุดใหม่แล้วล่ะ...” หยูไห่มองเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ของลูกสาวด้วยความรู้สึกผิด อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้วแต่ลูก ๆ ของเขาไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ให้ใส่เลยสักคน ในฐานะพ่อเขาทำให้ลูกของเขาต้องผิดหวังอย่างแท้จริง
“มิใช่ปัญหาเลยเจ้าค่ะ ถึงจะใช้เงินไปหมด แต่พวกเราก็หาเพิ่มทีหลังได้ พวกเราควรซื้อลาก่อนนะเจ้าคะ ในอนาคตมิว่าจะไปขายอาหารตุ๋นที่ท่าเรือหรือเข้าเมือง พวกเราจะได้เดินทางง่ายขึ้น” มุมปากของเสี่ยวเฉาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม นางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เร็ว ๆ นี้ครอบครัวของนางจะกลายเป็นเจ้าของเกวียนเองแล้ว !
“ตกลง ! พอพวกเราส่งฉีโตวไปโรงเรียนในเมืองแล้ว ก็ค่อยแวะไปดูที่ตลาดวัวกับม้ากัน ถ้ามีตัวเหมาะ ๆ ก็ซื้อ วันหน้าตอนที่ฉีโตวเข้าเมือง พวกเราก็จะได้ไปรับไปส่งเขาได้ง่ายหน่อย แม่ของลูกจะได้ไม่เป็นห่วงมากนัก” หยูไห่ตัดสินใจแล้วและไม่อาจเปลี่ยนใจเขาจากความคิดที่จะซื้อเกวียนเทียมลาได้แล้ว
สองวันต่อมา ทั้งครอบครัวหยูต่างยุ่งอยู่กับงานของพวกเขา เสี่ยวเฉากับหยูไห่ไปขายอาหารตุ๋นที่ท่าเรือในยามเฉิน ระหว่างนั้นฉีโตวก็พาเสี่ยวเหลียนไปจับปลาที่หนองน้ำหลังบ้าน นางหลิวใช้เวลาอยู่ในบ้านเย็บเสื้อผ้าให้ลูกชายคนเล็ก นางเห็นว่าตอนนี้เฉียนเหวินลูกชายของเพื่อนบ้านสวมชุดคลุมยาว นางจึงลอกเลียนแบบมาและทำชุดคลุมยาวสีครามให้กับลูกชายของนาง
เสี่ยวเฉาก็กลับบ้านอีกคราในยามอู่ หลังจากนั้นนางก็ได้งีบหลับไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม พอนางตื่นขึ้นมาก็ได้ช่วยนางหลิวกับเสี่ยวเหลียนเตรียมปลาเพื่อทำปลาหมัก ในยามเว่ยเสี่ยวเหลียนกับฉีโตวก็ไปที่ท่าเรือเพื่อขายอาหารตุ๋น
จริง ๆ ก็ตลกสิ้นดี เสี่ยวเหลียนไปที่ท่าเรือมา 4 - 5 วันแล้ว แต่ไม่มีลูกค้าคนไหนรู้เลยว่าเด็กหญิงทั้งสองเป็นคนละคนกันยกเว้นพี่หก ฉีโตวบอกว่าพี่หกดูประหลาดใจเป็นอย่างมากตอนที่มาซื้อปลาหมัก แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เสี่ยวเฉากับเสี่ยวเหลียนเป็นฝาแฝดจากไข่ใบเดียวกัน เมื่อก่อนเสี่ยวเฉาขี้โรคและโตช้ามาตั้งแต่เกิด ร่างกายของนางทั้งผอมทั้งอ่อนแอและซีดเซียวเอามาก ๆ ตรงกันข้ามกับเสี่ยวเหลียนที่ตามแม่ไปทำงานบ้านเป็นเวลาหลายปี แม้ว่านางจะผอมแต่ก็แข็งแรง ผิวของนางก็คล้ำกว่า จึงแยกเด็กสองคนนี้ได้ง่ายต่อให้ไม่ได้ยืนอยู่ข้างกันก็ตาม
ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว เสี่ยวเฉามีหินศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างกายทุกวัน พลังของมันช่วยบำรุงร่างกายนางอย่างช้า ๆ จนตอนนี้นางแข็งแรงสุขภาพดีขึ้นมากแล้ว ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานางสูงขึ้นเกือบจะตามทันเสี่ยวเหลียนที่ก่อนหน้านี้สูงกว่านางถึงครึ่งศีรษะ ส่วนเสี่ยวเหลียนก็ล้างหน้าด้วยน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน อีกทั้งทุกอย่างที่นางกินและดื่มก็ถูกสัมผัสด้วยน้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นผิวที่เคยหมองคล้ำและหยาบกระด้างของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นขาวใสเนียนนุ่ม
ตอนนี้ถ้ามีคนมองมาที่พวกนางสองคน ก็คงจะเป็นการยากที่จะแยกแยะพวกนางออกได้ แต่คนที่คุ้นเคยกับเด็กหญิงทั้งสองก็ยังสามารถมองเห็นความแตกต่างได้ ดวงตาของเสี่ยวเฉาจะมีแววฉลาดอยู่เสมอ ส่วนเสี่ยวเหลียนก็มักจะแสดงสีหน้าที่น่ารักและเด๋อด๋าเป็นบางครา...
จากที่ฉีโตวเอ่ย ดูเหมือนพี่หกที่นางเจอเพียงแค่ไม่กี่ครั้งจะสามารถบอกความแตกต่างระหว่างนางกับเสี่ยวเหลียนได้ด้วยการมองเพียงแค่ครั้งเดียว เสี่ยวเฉารู้สึกงุนงงเล็กน้อย
แต่นางก็ได้เก็บความคิดนั้นไปอย่างรวดเร็วและคิดเรื่องอื่น ๆ แทน พวกเขาสามารถทำเงินเกือบ 300 อีแปะต่อวันได้ ทั้งครอบครัวจึงทำงานกันยุ่งเป็นอย่างมาก มองดูแล้วเป็นภาพครอบครัวที่อลเวงยิ่งนัก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงวันที่เฉียนเหวินจะเดินทางกลับไปเรียน ในยุคนี้คาดว่าจะเป็นเพราะฮ่องเต้ที่ย้ายร่างมาเกิดใหม่ที่เป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์ปัจจุบัน ทุกโรงเรียนในประเทศจึงใช้ตารางเรียนแบบสมัยใหม่ เรียน 5 วันและหยุด 2 วัน นอกจากคนที่เช่าที่พักในเมืองแล้ว นักเรียนคนอื่นส่วนใหญ่จะอยู่ประจำที่หอพักในโรงเรียน
ในวันแรกของสัปดาห์ชั้นเรียนจะเริ่มยามเฉินและในวันที่ 5 ชั้นเรียนจะเลิกตอนยามโหย่ว นั่นก็หมายความว่าคนที่บ้านอยู่ใกล้ก็สามารถใช้เวลา 3 คืน 2 วันที่บ้านได้
หยูไห่ตั้งใจเอาอาหารตุ๋นไปที่บ้านของครอบครัวเฉียน เขาอยากขอให้เฉียนเหวินช่วยแนะนำและช่วยกำหนดว่าฉีโตวต้องเอาอะไรไปโรงเรียนบ้างและรายละเอียดอื่น ๆ อีกด้วย
เมื่อเฉียนเหวินรู้ว่าฉีโตวได้เข้าโรงเรียนจากการแนะนำของอาจารย์ใหญ่ เขาก็รู้สึกทั้งดีใจและอิจฉาอยู่เป็นนัย อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนหรงซวนนั้นเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงที่สุดในรุ่นของเขา นักเรียนทุกคนอยากเข้าโรงเรียนก็เพราะชื่อเสียงของเขา
แต่อาจารย์ใหญ่แทบจะไม่สอนชั้นเรียนเริ่มต้นเลย อันที่จริงแม้แต่ชั้นเรียนระดับกลางและระดับสูงก็นาน ๆ ทีที่จะได้รับเกียรติจากเขา มหาบัณฑิตหยวนจะแค่ชี้แนะนักเรียนที่จะเข้าร่วมการสอบในเมืองหลวงเท่านั้น
หากใครสามารถดึงดูดความสนใจของมหาบัณฑิตหยวนได้ การที่จะได้ที่หนึ่งในการสอบก็ไม่ใช่เรื่องยาก ผู้ที่จบจากโรงเรียนที่ได้ที่หนึ่งถึงที่สามในการสอบจอหงวนนั้นอาจารย์ใหญ่เป็นผู้ชี้แนะด้วยตนเองทั้งสิ้น
ฉีโตวเพิ่ง 6 ขวบแต่ฉลาดและกระหายที่จะเรียน เขามาที่บ้านของเฉียนเหวินอยู่บ่อยครั้งเพื่อเรียนการอ่านและเขียนตัวอักษร เด็กน้อยเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและท่องแค่ 1 - 2 ครั้งก็จำได้แล้ว เฉียนเหวินไม่เคยคิดเลยว่าเด็กชายคนนี้จะโชคดีมากถึงเพียงนี้ ขายอาหารที่ท่าเรืออยู่ดี ๆ อาจารย์ใหญ่ก็ได้รู้ถึงพรสวรรค์ของเขา...
ย่ำรุ่งของฤดูใบไม้ผลินั้นอากาศค่อนข้างหนาวเย็น กิ่งต้นหลิวข้างถนนเริ่มอ่อนและยืดหยุ่นบ้างแล้ว บางคราก็จะเห็นเส้นเขียว ๆ แทรกอยู่ในหญ้าที่เหี่ยวแห้ง ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนแล้ว
ในวันที่เฒ่าจางไม่ได้ไปส่งฟืนในเมือง จะพบตัวเขาได้ตอนรุ่งสางที่สี่แยกพร้อมเกวียนเทียมวัวของเขา เขาจะเสนอไปส่งชาวบ้านที่ต้องการเข้าไปในเมืองด้วยราคา 1 อีแปะต่อคน เฒ่าจางสามารถทำเงินได้จากเกวียนของเขา
โดยปกติแล้วถ้าเขาสามารถทำเงินได้ประมาณ 10 - 18 อีแปะจากการบริการส่งคนก็นับว่าเป็นวันที่ดีแล้ว พวกชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างประหยัดและไม่ต้องการเสียเงิน 1 อีแปะ ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะเดินเข้าเมืองด้วยเท้าของตนเองเสียมากกว่า
วันนี้สิ้นสุดวันหยุด 2 วันของเหล่านักเรียน มีเด็กสองสามคนในหมู่บ้านใกล้ ๆ ที่เรียนในโรงเรียนในเมือง แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนหรงซวน แต่การมีพรสวรรค์ด้านการเรียนอย่างเดียวก็ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจได้มากแล้ว ครอบครัวที่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้ย่อมจ่ายเงิน 1 อีแปะเพื่อนั่งเกวียนได้ ดังนั้นพ่อแม่ทุกคนที่รักลูกก็จะใช้เงิน 1 อีแปะเพื่อให้ลูก ๆ ของพวกเขานั่งเกวียนเข้าเมืองทุกครั้งที่เฒ่าจางไม่ได้ขนฟืน
เฒ่าจางตกตะลึงเมื่อเห็นหยูไห่กับลูก ๆ 2 คนยืนอยู่ข้างเฉียนเหวิน เขาถามอย่างสงสัยว่า “ต้าไห่ จะเข้าเมืองไปตรวจขาเยี่ยงนั้นรึ ?”
สีหน้าของหยูไห่มีความสุขเป็นอย่างมาก เขาส่ายหน้าแล้วตอบว่า “มิใช่หรอกขอรับท่านลุงจาง ขาของข้าหายดีแล้ว เฉาเอ้อร์กับข้าจะพาฉีโตวไปโรงเรียนที่ในเมืองน่ะขอรับ”
“เขาจะเข้าเมืองไปเรียนรึ ? ค่าเรียนประจำปีแพงมากอยู่นะ ครอบครัวของเจ้ามิได้...” เฒ่าจางไม่พูดต่อและมองหยูไห่อย่างเห็นใจ
สีหน้าของหยูไห่ไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังคงยิ้มอย่างสดใส “ทางโรงเรียนบอกพวกเราว่าสามารถชะลอการจ่ายค่าเรียนได้ใน 2 เดือนแรก พอขาของข้าหายดีแล้ว ข้าจะไปล่าสัตว์ในภูเขา พอถึงตอนนั้นก็จะมีค่าเรียนแล้วมิใช่รึขอรับ มิว่าจะยากลำบากถึงเพียงใด ข้าก็มิสามารถถ่วงความเจริญของลูกได้หรอก”
“นี่ยังกล้าขึ้นภูเขาอีกรึ ? ครั้งล่าสุดนี่เลือดอาบไปทั่วทั้งร่าง ! พวกชาวบ้านต่างตกใจกลัวกันแทบตาย ยอมจนหน่อยเถิด ใคร ๆ ก็รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่บนภูเขา ? ไปให้น้อยเท่าใดยิ่งดี” เฒ่าจางขอร้องให้หยูไห่คิดทบทวนอีกคราด้วยความเป็นห่วง