ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 91 เงินมัดจำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 93 แขกสูงศักดิ์

Re-new ตอนที่ 92 ข้าวเปียกน้ำ


ตอนที่ 92 ข้าวเปียกน้ำ

คนขายเนื้อหวังฆ่าหมู 1 ตัวทุกวัน เนื้อหมูครึ่งหนึ่งจะส่งไปที่ร้านอาหารและอีกครึ่งจะเอามาขายที่ร้าน เมื่อหมดวันเนื้อหมูอีกครึ่งก็จะถูกขายไปเกือบหมด

ตามปกติเสี่ยวเฉาจะใช้เงิน 6 อีแปะซื้อหัวหมู 1 หัว ส่วนกระเพาะหมูกับไส้นางยืนกรานที่จะจ่ายให้เขา 4 อีแปะ ส่วนเลือดหมูนั้นคนขายเนื้อหวังก็ได้ยืนกรานที่จะให้ฟรีเช่นกัน

หลังจากลูบก้อนเงินที่พี่หกให้มา นางจึงตัดสินใจซื้อท้องหมู 2 ชั่งกับกระดูกหมูขนาดใหญ่ 1 ชิ้น คนขายเนื้อหวังมองนางอย่างแปลกใจและเอ่ยว่า “วันนี้ซื้อเนื้อเยอะเลยนี่ เจ้ามีแขกรึ ?”

เสี่ยวเฉาขี้เกียจอธิบายจึงแค่ยิ้มและตอบกลับว่า “ใช่เจ้าคะ ข้าต้องดูแลแขกน่ะเจ้าค่ะ  เลยต้องซื้อของไปทำอาหารให้ดูดีเสียหน่อย !”

วัตถุดิบที่ซื้อมาถูกวางลงบนรถเข็น จากนั้นนางก็เดินนำไปที่ร้านขายข้าวกับธัญพืชแห่งหนึ่งในเมือง ตอนที่เสี่ยวเฉาและหยูไห่เข้าไปในร้าน พวกเขาต่างก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังออกมา เสียงผู้ใหญ่ดุและเสียงเด็กร้องไห้ดังผสมปนเปกัน

เสี่ยวเฉายืนฟังอยู่ที่ทางเข้า เห็นได้ว่าลูกของครอบครัวที่ดูแลร้านเล่นซนจนทำน้ำหกใส่ถุงข้าวเหนียว แม้ว่าผู้จัดการร้านจะพยายามเอาข้าวหลบแล้วก็ตาม แต่ข้าว 10 กว่าชั่งก็เปียกน้ำไปแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าข้าวที่เปียกน้ำนั้นนำมาขายต่อไม่ได้แล้ว ต่อให้แห้งแล้วมันก็จะแตกเป็นเศษ ๆ ผง ๆ อยู่ดี ดังนั้นข้าวเหนียว 17 - 18 ชั่งนี้จึงขายไม่ได้อีกต่อไป !

พวกเขาอาศัยรายได้จากการขายข้าวในร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เพื่อให้อยู่รอดไปได้เดือนต่อเดือนเท่านั้น การสูญเสียข้าวเหนียว 17 - 18 ชั่งไปอย่างกระทันหันก็หมายความว่าพวกเขาสูญเสียเงินไปมากเลยทีเดียว ผู้จัดการร้านจะไม่รู้สึกแย่ได้เยี่ยงไรกัน ? แต่เขาก็ไม่อาจจะตีลูกของเขาได้ จึงได้แต่ดุด่าเด็กชายเท่านั้น

“ท่านลุงเจ้าของร้าน ข้าให้ท่านลุง 3 อีแปะต่อ 1 ชั่งสำหรับข้าวเหนียวที่เปียกน้ำพวกนี้  ท่านลุงจะยอมขายให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ?” เสี่ยวเฉาเอ่ยขึ้นทันทีหลังจากประเมินสถานการณ์แล้ว

แม้ว่าเสียงของนางจะไม่ได้ดังมากนัก แต่เสียงในร้านก็เงียบลงทันที เจ้าของร้านมองนางแล้วมองผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังนาง จากนั้นก็ตอบเบา ๆ ว่า “แม่หนูน้อย พอข้าวเปียกน้ำมันก็จะไม่อร่อยแล้วนะ...”

“ไม่อร่อยก็ไม่ได้หมายความว่ากินไม่ได้นี่เจ้าคะ ท่านลุงเจ้าของร้านก็ขายข้าวพวกนี้มิได้แล้ว เช่นนั้นก็ขายให้ข้าถูก ๆ เป็นเยี่ยงไรเจ้าคะ ?”  เสี่ยวเฉายิ้มหวาน

พอเจ้าของร้านกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา ภรรยาของเขาก็ดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้และเอ่ยแทนว่า “แม่หนูน้อย ปกติข้าวเหนียวนี้ราคา 8 - 9 อีแปะต่อชั่ง ถ้าเจ้าอยากได้ทั้งหมด ราคาต่ำสุดที่พวกเราให้ได้ก็คือ 5 อีแปะต่อชั่ง มิเยี่ยงนั้นพวกเราเก็บไว้กินเองเสียยังดีกว่า !”

เจ้าของร้านทั้งโกรธทั้งกังวลในเวลาเดียวกัน เขามองภรรยาของเขาอย่างวิตกกังวล แต่ภรรยาของเขากลับมองเขาด้วยสายตาตำหนิ ในแววตาของนางเหมือนจะเอ่ยว่า ‘ถ้าท่านพูดอะไรออกมาล่ะก็ เรามีเรื่องต้องเจรจากันอีกยาวเป็นแน่’

เสี่ยวเฉายักไหล่และตอบกลับไปว่า “ถ้าเยี่ยงนั้นก็เก็บไว้กินเองเถิดเจ้าค่ะ ! ท่านพ่อ ไปดูที่ร้านอื่นกันเถอะเจ้าค่ะ...”

เจ้าของร้านรีบสะบัดมือภรรยาออก เขารีบวิ่งไปขวางหน้าหยูไห่และเสี่ยวเฉาเอาไว้และเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งไป ! 3 อีแปะก็ 3 อีแปะ ! ข้าวเหนียวพวกนี้มีอยู่ 19 ชั่ง ข้าจะให้ 1 ชั่งฟรี ๆ อีกด้วย...”

เมื่อเห็นว่าอย่างน้อยเจ้าของร้านก็ซื่อสัตย์และจริงใจ นางจึงให้เงินเขาไป 54 อีแปะและให้พ่อขนข้าวเหนียวทั้งหมดขึ้นรถเข็น นางถามราคาแป้งสาลีกับข้าวสารธรรมดาด้วยว่าเท่าใด และคิดว่าราคาค่อนข้างสมเหตุสมผล นางจึงซื้อแป้งสาลี 10 ชั่งและข้าวสาร 5 ชั่ง  กล่าวได้ว่าเพียงแค่ร้านขายข้าวร้านเดียวนางก็ใช้เงินไปแล้ว 130 อีแปะ

โชคดีที่วันนี้การค้าของพวกเขาราบรื่น และเงินที่ได้จากการขายอาหารตุ๋นอย่างเดียวก็มากกว่า 200 อีแปะแล้ว ถ้ารวมกับเงิน 2 ตำลึงที่พี่หกให้มา เสี่ยวเฉาก็ไม่ได้รู้สึกแย่ที่ใช้เงินไปมากมายถึงเพียงนี้

หลังจากที่พวกเขาก้าวออกจากร้านขายข้าวและธัญพืช เสี่ยวเฉาก็ไปที่ร้านขายของชำเพื่อซื้อพวกเครื่องเทศและเครื่องปรุงไปเพิ่ม นางยังฝืนใจควักเงินซื้อน้ำตาลขาวไปอีกครึ่งชั่งด้วย ตอนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการขายอาหารตุ๋นไปหมดแล้ว แต่เมื่อคิดว่าเครื่องปรุงทั้งหมดนี้จะอยู่กับนางไปอีกอย่างน้อยครึ่งเดือน นางจึงรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อคิดถึงจำนวนเงินที่นางจะได้จากพวกมัน

หยูไห่มองลูกสาวใช้เงินเหมือนเทน้ำทิ้งโดยไม่ได้เอ่ยคัดค้านออกมาแม้แต่คำเดียว เงินที่พวกเขาได้มาเมื่อเช้าอยู่ในมือของพวกเขายังไม่ทันร้อนก็หมดเสียแล้ว ทั้งที่เป็นอย่างนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรออกจากปากของเขาเลยสักแอะ แม้กระทั่งตอนที่นางซื้อข้าวเหนียวเปียกน้ำพวกนั้น

ระหว่างทางกลับบ้าน เป็นเสี่ยวเฉาเองที่เป็นฝ่ายถามเขาขึ้นมา “ท่านพ่อเจ้าคะ เหตุใดท่านพ่อมิห้ามข้าตอนที่ข้าซื้อข้าวเหนียวเปียกน้ำล่ะเจ้าคะ ?”

หยูไห่เข็นรถที่มีลูกสาวนั่งอยู่ด้วยสีหน้าพอใจแล้วยิ้ม “ของที่เสี่ยวเฉาของพ่อซื้อมาต้องมีประโยชน์เป็นแน่ พ่อรู้ว่าลูกมิใช่เด็กที่ใช้เงินฟุ่มเฟือย อีกอย่าง ต่อให้ลูกทำอะไรกับข้าวเหนียวพวกนั้นมิได้ มันก็มิเสียเปล่าหรอก เศษผงข้าวเหนียวพวกนี้เอาไปใช้ทำโจ๊กได้อร่อยกว่าแผ่นแป้งที่ทำจากแป้งถั่วเสียอีก !”

เสี่ยวเฉายิ้มกว้าง “ขอบคุณนะเจ้าคะท่านพ่อที่เชื่อใจข้า ข้ามีความคิดดี ๆ สำหรับข้าวพวกนี้จริง ๆ พี่หกขอให้ข้าช่วยเขาจัดอาหารให้แขกของเขา ข้าอยากทำของที่พิเศษและมิเหมือนผู้ใดน่ะเจ้าค่ะ ข้าต้องช่วยให้เขาดูดี ยิ่งเขาช่วยข้าเอาไว้จากพวกอันธพาลพวกนั้นด้วยแล้ว แผนของข้าก็คือข้าจะทำลูกชิ้นไข่มุกด้วยข้าวเหนียวพวกนั้น มันจะหอมแล้วก็อร่อยเป็นอย่างมาก ใสแวววาวเป็นเงา เป็นอาหารชั้นเลิศไม่ว่าจะดูจากหน้าตาหรือรสชาติของมัน ลูกค้าของเขาจะต้องชอบมากเป็นแน่ ถ้าบดข้าวเหนียวพวกนี้ให้เป็นแป้งข้าวเหนียว มันก็จะใช้ทำของหวานได้....แล้วก็ ทำข้าวเหนียวเลือดหมูก็มิเลวเช่นกันนะเจ้าคะ !”

เมื่อเห็นใบหน้าของลูกสาวสดใสขึ้นมาด้วยความสุขก็ทำให้หยูไห่รู้สึกมีความสุขและภูมิใจในตัวลูกสาวมากยิ่งขึ้น ลูกสาวที่พวกเขาเคยคิดว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงวัยผู้ใหญ่ได้ก้าวเข้ามาแบกรับภาระความรับผิดชอบมากมายเพื่อครอบครัว !

เมื่อพวกเขากลับไปถึงบ้าน เสี่ยวเฉาก็เริ่มเขียนรายการอาหารและเตรียมวัตถุดิบ ลูกชิ้นไข่มุกต้องใช้เข่งนึ่งขนาดเล็ก ภาชนะไม้ไผ่ง่าย ๆ เช่นนั้นไม่ได้ยากเย็นสำหรับหยูไห่ เขาดื่มน้ำแล้วเริ่มต้นตัดไม้ไผ่ แล้วทำตามคำแนะนำของลูกสาวที่ให้เขาทำเข่ง

การทำลูกชิ้นไข่มุกต้องใช้ไข่แดงเค็ม เสี่ยวเฉาจึงไปหาครอบครัวเฉียนและเคาะประตูบ้านพวกเขา นางเหมาเดินออกมา และเมื่อเห็นเสี่ยวเฉานางจึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า  “เสี่ยวเฉา ? มาบ้านป้ามีเหตุอันใดรึ ?”

เสี่ยวเฉาตอบตรง ๆ โดยไม่อ้อมค้อม “ท่านป้าเฉียนมีไข่เค็มหรือไม่เจ้าคะ ? ถ้ามีขายให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ?”

เป็ดมักจะวางไข่น้อยลงในฤดูหนาว แต่ก็ยังขายออกยาก ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ไม่ชอบกินไข่เป็ดเพราะมีกลิ่นแปลก ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่เสีย นางเหมาจึงใช้เกลือทะเลหยาบมาดองไข่เป็ด นางน่าจะเหลืออยู่บ้างหลังจากกินและขายไปแล้ว

“มีสิ เสี่ยวเฉาอยากได้เท่าใดล่ะ ? แต่ไข่เค็มฟองละ 1 อีแปะนะ” นิสัยของนางเหมาก็เป็นเสียเช่นนี้ นางไม่เคยระวังคำพูดและมักจะพูดแบบตรงไปตรงมาเสมอ เสี่ยวเฉาพยักหน้า นางชอบนิสัยเยี่ยงนี้จริง ๆ ถ้าหากเสนอไข่เป็ดมาให้นางฟรี ๆ นางคงรู้สึกไม่สบายใจที่จะรับไว้ นางหยิบเงิน 10 อีแปะออกจากกระเป๋าผ้าและเอ่ยว่า “ท่านป้าเฉียน ข้าขอไข่เค็ม 10 ฟองเจ้าค่ะ คราวหน้าถ้าข้าอยากได้อีก ข้าจะมาซื้อกับท่านป้านะเจ้าคะ”

นางเหมาเอาไข่เป็ด 11 ฟองออกจากไหและวางลงในตะกร้าของนาง นางยิ้มและเอ่ยว่า  “เมื่อเช้าเฉียนหวู่ลูกป้าไปขออาหารที่บ้านเจ้ากินอีกแล้ว ที่บ้านนี้มิมีของดี ๆ เลย เพราะงั้นป้าจะให้ไข่เป็ดเจ้าเพิ่มอีกฟองนะ”

แม้ว่านางเหมาจะระวังคำพูดไม่เป็น แต่นางก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะเอาเปรียบคนอื่นเช่นกัน เฉียนหวู่กินปลาหมักไป 2 ตัวเมื่อเช้าซึ่งราคาเท่ากับ 1 อีแปะ นางจึงให้ไข่เป็ดเพิ่มอีก 1 ฟองแก่เสี่ยวเฉา

เสี่ยวเฉาไม่ปฏิเสธข้อเสนอและขอบคุณนางเหมา เมื่อนางกลับบ้าน นางก็ทวนรายการอาหารในหัวของนางอีกรอบ ลูกค้าของพี่หกเป็นคนเหนือต้องการกินเนื้อทุกมื้อและชอบกินอาหารรสเผ็ด....นึกออกแล้ว ! บ่ายวานนี้นางจับปลาตัวใหญ่ที่หนองน้ำได้ เยี่ยงนั้นนางก็สามารถทำ ‘เนื้อปลาต้มในน้ำมันพริก’ ได้ส่วนหัวปลาก็เอามาใช้ทำ ‘หัวปลาพริกซอย’ ได้

รวมลูกชิ้นไข่มุกเข้าไปด้วย ตอนนี้เสี่ยวเฉาก็มีอาหาร 3 อย่างแล้ว มีอาหารที่ไม่เหมือนใครอย่างอื่นที่นางสามารถทำได้อีกหรือไม่ ? เสี่ยวเฉาพยายามเค้นสมองคิด...ใช่แล้ว ! นางซื้อพุงหมูมานี่ จำได้ว่าท่านป้าโจวทำผักดองตากแห้ง ถ้านางขอยืมมาได้ นางก็จะทำ ‘หมูนึ่งผักดอง’ ได้

อาหาร 4 จานนี้เป็นอาหารที่มีเนื้อทั้งหมด ดังนั้นนางต้องคิดเมนูผักขึ้นมาให้เข้ากับอาหารพวกนั้นทั้งหมด ! แต่ฤดูนี้นางจะไปหาผักสดได้จากที่ไหนกัน ? เสี่ยวเฉาเดินไปที่สวนผักของนางเพื่อดูต้นอ่อนของผักใบเขียวที่เพิ่งเปิดรับแสงอาทิตย์เมื่อยามอู่ นางรู้สึกปวดใจเมื่อคิดว่าจะต้องทำร้ายพวกมันในช่วงที่กำลังงอกเงยเช่นนี้ ถ้านางไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ เยี่ยงนั้นนางก็จะเลือกใบใหญ่ ๆ มาสักหน่อยและทำ ‘แกงจืดไข่ใส่ผัก’ สักชาม

นางต้องไปหาคนขายเต้าหู้และซื้อเต้าหู้แห้ง แผนก็คือเอามันมาทอดและแช่ในซอสปรุงอาหารตุ๋นเพื่อทำ ‘เต้าหู้แห้งซอสตุ๋น’ แล้ว...นางควรทำ ‘ผักกาดเผ็ดเปรี้ยว’ ด้วยเยี่ยงไรแล้วมันก็ถูกจำกัดด้วยสิ่งที่มีอยู่ในช่วงนี้ของปี

ทันใดนั้น ความคิดอีกอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวนาง นางทำ ‘หมูเส้นผัดในซอสถั่วหวาน’ ได้มิใช่รึ นี่เป็นอาหารที่นางชอบมากจริง ๆ ดังนั้นก็อาจจะหมายความว่ามันยังคงไม่มีในยุคนี้มิใช่รึ ? แน่นอนว่ามันจะได้รสชาติที่แปลกใหม่และอร่อยสำหรับคนที่นี่ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจลบ ‘หัวปลาพริกซอย’ ออกจากรายการอาหาร

จานเนื้อ 4 จาน, จานผัก 2 จาน และซุปอีก 1 น่าจะมากพอสำหรับคน 2 คน ถ้านางเพิ่มจานแป้งหลักไปอีกจานล่ะ...เค้กข้าวเหนียวมันเทศ !

ยามเว่ย เสี่ยวเหลียนเป็นคนไปขายปลาหมักที่ท่าเรือกับฉีโตว หลังจากหยูไห่ทำเข่งไม้ไผ่เสร็จ เขาก็นำเหยื่อปลาที่เสี่ยวเฉาเตรียมไว้ไปจับปลา เขามีภารกิจที่สำคัญมากหนึ่งอย่างนั่นก็คือ เขาต้องจับปลาที่หนักอย่างน้อย 5 ชั่งให้ได้ จะดีที่สุดถ้าเขาสามารถจับปลาตะเพียนดำได้

นางหลิวพบว่าตนเองยุ่งกับการเตรียมหัวหมูและไส้หมูในตอนบ่าย พวกเขาวางแผนจะใช้วัตถุดิบพวกนี้ทำอาหารตุ๋น เมื่อนางฟางมาเยี่ยมพวกเขาและเห็นว่านางมีงานมากเกินกว่าที่คนหนึ่งคนจะทำไหว นางจึงม้วนแขนเสื้อขึ้นช่วย พวกนางยุ่งมากจนอยากได้มืออีกคู่เพื่อช่วยทำงานทั้งหมดให้เสร็จ

แล้วภารกิจของเสี่ยวเฉาล่ะ ? นั่นคือนอนตอนบ่ายเนื่องจากนางต้องตื่นขึ้นตั้งแต่เช้ามืดพรุ่งนี้เพื่อเตรียมอาหารให้ลูกค้าของนาง

แน่นอนว่าเสี่ยวเฉาตื่นขึ้นโดยอัตโนมัติตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันถัดไป เมื่อนางลุกขึ้นจากเตียงก็เห็นนางหลิวกำลังทำอาหารเช้ายุ่งอยู่ในครัว นางหลิวอยากให้แน่ใจว่าทั้งสามีและลูกสาวของนางจะได้กินมื้อเช้าก่อนออกไปขายอาหารที่ท่าเรือ

ไส้ของลูกชิ้นไข่มุกทำจากหมูสับ โชคดีที่ไม่ต้องใช้เนื้อหมูมากนัก นางหลิวสับ ๆ ๆ ไม่กี่ครั้งก็ได้จำนวนที่ต้องการแล้ว เสี่ยวเฉาปรุงรสหมูสับอย่างประณีตแล้วปั้นลูกชิ้นแต่ละลูกโดยใช้หมูสับกับไข่แดงครึ่งฟอง หลังจากนั้นจึงปั้นเป็นก้อนกลมแล้วก็หุ้มด้วยข้าวเหนียวแล้วนึ่งเป็นเวลา 2 เค่อ

เนื้อปลาต้มในน้ำมันพริกนั้นซับซ้อนกว่าเล็กน้อยและต้องกินตอนร้อน ๆ จึงจะรสชาติดีที่สุด เสี่ยวเฉาตัดสินใจนำเตาเล็ก ๆ ที่ใช้ปรุงยาให้พ่อเข้าเมืองไปด้วย พอถึงเวลาพวกเขาก็จะสามารถใช้ถ่านสองสามก้อนจุดไฟแล้วตั้งเตาทำอาหารได้ การที่สามารถกินเนื้อปลาที่เผ็ดร้อนขณะที่ลมทะเลเย็น ๆ พัดอยู่รอบตัวจะช่วยเพิ่มบรรยากาศได้อย่างแน่นอน

เสี่ยวเฉากับนางหลิวใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วยามเตรียมอาหารทั้ง 6 จานและ 1 ซุป วันนี้หยูไห่เข็นรถเข็นเข้าเมืองดังเช่นเมื่อวาน รถเข็นใส่ทั้งอาหารตุ๋นที่พวกเขาวางแผนจะขายในวันนี้และอาหารที่พี่หกสั่งทำเอาไว้

ระหว่างทางไปที่นั่น เสี่ยวเฉาก็นั่งอยู่บนรถเข็น ถือตะกร้า 2 ใบที่ใส่ซุป นี่เป็นการป้องกันไม่ให้ซุปหกออกมาและทำให้งานตอนเช้าของนางพังทั้งหมด

เมื่อพวกเขาไปถึงท่าเรือ พี่หกก็รออยู่แล้ว สถานที่ที่เขาจองไว้เพื่อรับรองแขกก็คือสถานที่ที่ดีที่สุดในแถบนั้น ร้านอาหารของตระกูลหลิน ถึงจะบอกว่าดีที่สุด แต่ความจริงแล้วมันก็แค่อาคารขนาด 3 ห้องที่สร้างด้วยอิฐโคลนและหลังคากระเบื้อง พี่หกจองห้องส่วนตัวในร้านอาหารเอาไว้และได้จ้างเสี่ยวเฉาทำอาหารให้เป็นพิเศษ จากสิ่งเหล่านี้ก็บอกได้ว่าเขาถือว่าคน ๆ นี้เป็นลูกค้าคนสำคัญอย่างแท้จริง

ลูกค้าที่พี่หกเชิญมาเป็นหัวหน้าคนรับใช้จากตำหนักจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องรับผิดชอบการค้าขายทางทะเลส่วนใหญ่ของประเทศ ครานี้เขาได้ขนพวกธัญพืชจากทางใต้ขึ้นมาที่ภาคเหนือ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด