Re-new ตอนที่ 89 ค่าเล่าเรียน
ตอนที่ 89 ค่าเล่าเรียน
มื้อเย็นทั้งครอบครัวนั่งล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะ พวกเขากินซุปหัวปลาและเนื้อปลาตุ๋นพร้อมกับพูดคุยเรื่องผลการขายในวันนี้อย่างมีความสุข
“พี่สาม ! ตอนแรกที่พวกเราขายปลาหมักนะ ทุกคนมองเพียงแค่ปลาในไหแต่มิใครอยากซื้อกันเลยสักคนเพราะมันตัวเล็กเกินไป ข้าก็เลยเอาปลาตัวเล็กขึ้นมากินต่อหน้าพวกเขา แล้วบอกพวกเขาว่าก้างปลาทั้งกรอบทั้งนุ่ม กินเข้าไปก็ไม่เป็นไร พวกเขาก็เลยยอมควักเงินซื้อกัน” ฉีโตวซดซุปหัวปลาคำใหญ่และรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก หนึ่งเดือนที่ผ่านมาแผ่นแป้งหยาบไม่อาจสนองความหิวของเขาได้ เมื่อใดกันที่เขาจะมีชีวิตดี ๆ แบบที่สามารถกินปลาได้ทุกวันกันนะ ?
“ตอนแรกข้าก็กังวลนะ เพราะพวกเขาซื้อกันไม่เยอะ แต่โชคดีคนที่ซื้อไปต่างก็เอ่ยชมกันทุกคนเลยว่าอร่อยเป็นอย่างมาก หลายคนก็มาซื้อเพิ่มอีก พวกเขาจะเอากลับบ้านไปให้ลูก ๆ กิน ท่านลุงห่าวซื้อทีเดียวถึง 5 ชุดเลยนะ เขากินเอง 1 ชุดแล้วที่เหลือก็เอากลับบ้าน ท่านลุงห่าวกล่าวว่าช่วงนี้ที่ท่าเรือมีงานเยอะ ก็เลยอยากใช้เงินที่ได้มาเพื่อครอบครัว ถ้าเขามิซื้ออาหารถูก ๆ อร่อย ๆ เช่นนี้กลับบ้าน เขาต้องโดนท่านป้าห่าวด่าเป็นแน่”
เสียงของฉีโตวดังไปทั่วห้อง ทุกคนมองเขายิ้ม ๆ ความสุขที่เรียบง่ายเป็นเช่นนี้นี่เอง...
“ไม่ถึง 2 เค่อด้วยซ้ำปลาร้อยกว่าตัวถูกขายหมดไห พี่หกหัวหน้าคนงานอีกกลุ่มก็มาซื้อไปตั้ง 5 ชุดเลยนะ หัวหน้าซุนเกือบจะทะเลาะกับเขาเพื่อแย่งปลาหมักห่อสุดท้ายอีกด้วย” ฉีโตวเล่าอย่างภูมิใจ “ข้าก็เลยแบ่งปลาห่อสุดท้ายแล้วเอาให้ฟรีคนละตัวจะได้เลิกทะเลาะกัน พี่สาม ข้าฉลาดใช่หรือไม่ ?”
เสี่ยวเฉาจับปลายจมูกเขาแล้วเอ่ยชมออกมาว่า “ใช่แล้ว ฉีโตวของเราฉลาดที่สุด แค่ 6 ขวบก็ฉลาดถึงเพียงนี้แล้ว มิน่าเล่าท่านอาจารย์หยวนถึงได้ชอบเจ้า”
ฉีโตวยิ่งรู้สึกภูมิใจในตนเองมากขึ้นไปอีกและคุยจ้อไม่หยุด สุดท้ายเขาก็หลิ่วตาและเอ่ยว่า “พี่สาม ทายสิว่าวันนี้พวกเราได้เงินมาเท่าใด ? ทายสิ...”
เสี่ยวเฉารู้อยู่แล้วว่าพวกเขามีปลาเท่าไหร่ แต่นางก็แกล้งขมวดคิ้วทำเป็นคิดหนัก แล้วจงใจทายผิด “50 อีแปะรึ ? อย่างมากก็ 60 อีแปะ...”
ฉีโตวทนเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ไหวและรายงานจำนวนเงินที่ได้ในวันนี้ทันที “มิใช่ ผิดแล้ว ! 1 ตำลึงกับ 78 อีแปะต่างหากเล่า ! ดูสิ นี่ไง 1 ตำลึง ! เป็นคราแรกเลยนะที่ข้าได้เห็นเงินมากถึงเพียงนี้ !”
เด็กน้อยเอาถุงเงินที่ใส่ไว้ตรงหน้าอกออกมาอย่างใจร้อน เขาหยิบก้อนเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะ ทั้งครอบครัวต่างมุงดูเงินด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เสี่ยวเฉาจึงเอ่ยถามว่า “เสี่ยวเหลียน ฉีโตว ไปเจอเศรษฐีมารึ ? ถึงให้มาตั้ง 1 ตำลึงเช่นนี้เขาต้องใจกว้างกว่าชายอ้วนที่ชื่อจินเป็นแน่”
ฉีโตวพอใจในตนเองมาก เขาแตะก้อนเงินแล้วยิ้มจนตาหยี “พี่สาม เศรษฐีคืออะไรรึ ? กินได้หรือไม่ ?”
เสี่ยวเหลียนมองเขาแล้วยิ้ม “ให้ข้าอธิบายแทนเถอะ ทันทีที่พวกเราไปถึงท่าเรือ พวกเราก็เจอกับลูกชายของผู้พิพากษา เขาเข้าใจผิดคิดว่าข้าคือเจ้า คุณชายอู๋ไปรับคนที่ท่าเรือ เขาลองชิมปลาหมักแล้วเห็นว่ามันอร่อยมากเลยซื้อกลับไปด้วย แต่เขารีบออกมาก็เลยมิได้เอาเศษเงินมาเลย แล้วก็มิได้พาคนรับใช้มาด้วย เขาก็เลยเอาเงินตำลึงให้ ข้าบอกว่าพวกเรามิมีเงินทอน แต่เรือที่เขารอก็มาถึงแล้ว เขาเลยบอกให้พวกเราเก็บเงินทอนเอาไว้”
“ฮ่า ๆ พวกเราขายปลาหมัก 5 ห่อได้ 1 ตำลึง คงจะดียิ่งนักถ้าได้เจอคนใจป้ำเยี่ยงนี้ทุกวัน” ไม่รู้ว่าฉีโตวไปเรียนคำว่า ‘คนใจป้ำ’ มาจากไหน แต่เขาก็ใช้มันได้ถูกสถานการณ์
นางหลิวดุเขาเชิงหยอกล้อว่า “เจ้าเด็กหิวเงิน วันนี้เจ้าโชคดีได้เจอคนรวยใจกว้างถึง 2 คน แต่การเจอโชคดีเช่นนี้ก็เหมือนฝันลม ๆ แล้ง ๆ นั่นแหละ คิดว่าจะมีมาทุกวันหรือเยี่ยงไร ? แม่จะเก็บเงินก้อนนี้ไว้ให้ ตอนที่ไปเรียนในเมืองจะได้เอาไปจ่ายเป็นค่าเรียน”
เมื่อมีค่าเล่าเรียนของเดือนแรกแล้ว ฉีโตวก็มีความสุขมากยิ่งขึ้น เขาร่าเริงคึกคักตลอดทั้งคืนจนนอนไม่หลับ
หลังมื้อเย็น เสี่ยวเฉาก็ได้สอนนางหลิวกับเสี่ยวเหลียนทำไส้กรอกเลือด นางหั่นเลือดหมูที่แข็งตัวเป็นแผ่น ๆ แล้วต้มน้ำซุปหมูถ้วยใหญ่ด้วยเครื่องปรุงหลาย ๆ อย่าง หลังจากนั้นทิ้งให้เย็นลง และเทมันผสมลงไปในเลือดหมู แล้วใส่กระเทียมตามลงไป จากนั้นก็คนให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็ยัดเข้าไปในลำไส้เล็กที่ทำความสะอาดแล้วและมัดด้วยเชือกให้แน่น เสี่ยวเฉาจงใจเก็บลำไส้เล็กของหมูเอาไว้ นางบอกแม่ไม่ให้ใส่มันลงไปรวมกับอาหารตุ๋นที่เหลือ
หลังจากยัดไส้กรอกเลือดเสร็จแล้ว ก็นำไปนึ่งไฟอ่อน ๆ 1 เค่อ พอสุกแล้วก็เอาไปแช่น้ำเย็นจนเย็นลง ก่อนกินก็ตัดเอาเชือกออก วิธีทำไส้กรอกเลือดนั้นค่อนข้างง่าย รสชาติก็ขึ้นอยู่กับการผสมผสานของเครื่องปรุงที่ใช้ในน้ำซุป แต่นางหลิวกับเสี่ยวเหลียนเป็นคนที่ทำงานในครัวมาตลอด ดังนั้นพวกเขาจึงควบคุมอัตราส่วนที่ต้องใช้เป็นเครื่องปรุงได้อย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเฉาดื่มน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงเข้าไป 1 แก้วก่อนนอนและหลับสนิทไปในทันที วันรุ่งขึ้นเสี่ยวเฉารู้สึกได้ว่ามีพลังสดชื่นมากกว่าปกติ ความเหนื่อยล้าที่สะสมไว้หายไปหมดแล้ว วันนี้นางต้องเอาอาหารไปขายที่ท่าเรือเยอะขึ้น นอกจากหัวหมูตุ๋น, ไส้หมู, กระเพาะหมู และไส้กรอกเลือดแล้ว ยังมีปลาเล็กอีก 100 กว่าตัว
สองวันที่ผ่านมานี้ เสี่ยวเฉาสังเกตเห็นว่ามีคนงานขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรืออย่างน้อย 2 - 3 ร้อยคน ท่านตาหลิวที่ขายก๋วยเตี๋ยวบอกว่าเดือนสองกับเดือนสามเป็นเดือนที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดในท่าเรือ ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ขนสินค้ากันตอนเดือนสิบสองกับเดือนหนึ่ง วันฉลองปีใหม่ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง อีกสาเหตุหนึ่งก็คือน้ำที่ชายฝั่งทางภาคเหนือจะแข็งตัว ทำให้เรือแล่นได้ยาก ดังนั้นพออากาศอุ่นขึ้นในเดือนสองและเดือนสาม เหล่าบรรดาพ่อค้าก็จะเริ่มขนส่งสินค้าที่กักตุนไว้ตลอดฤดูหนาวจากทางใต้ขึ้นไปทางเหนือ
อาหารตุ๋น 1 อีแปะของเสี่ยวเฉาทั้งอร่อยทั้งถูก นางจึงไม่กังวลเลยว่ามันจะขายไม่ออก !
“เฉาเอ้อร์ พ่อจะไปขอยืมรถเข็นจากท่านลุงเฉียน วันนี้พวกเราจะไปท่าเรือด้วยกัน !” หยูไห่เห็นว่าอาหารตุ๋นและปลาหมักที่ใส่เต็มสองตะกร้าดูหนักยิ่งนัก เขากลัวว่าเด็กสองคนจะเหนื่อยจึงเสนอตัวไปด้วย
เสี่ยวเฉาเรียกหินศักดิ์สิทธิ์ในใจ [ เสี่ยวทังหยวน เจ้าได้ยินหรือไม่ ? ]
[ อะไรอีกล่ะ ? ข้าหลับอยู่ เจ้าอย่าเพิ่งรบกวนข้าสิ ! ] หินศักดิ์สิทธิ์ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์
[ ข้าแค่จะถามนิดเดียวเองน่า ขาท่านพ่อของข้าตอนนี้จะเดินนาน ๆ ได้หรือไม่ ? ] เสี่ยวเฉารู้สึกกังวลจึงถามขึ้น
หินศักดิ์สิทธิ์จึงตอบกลับว่า [ ขาของเขาเส้นเลือดและกระดูกเจริญเติบโตได้ดี ออกกำลังกายมาก ๆ ก็เป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัว มิต้องห่วงหรอก เขาไปที่ท่าเรือได้ มิเป็นไร ! ]
นางหลิวที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ขาของท่านพี่จะมิเป็นอะไรแน่รึ ? ว่ากันว่าถ้าบาดเจ็บที่เส้นเลือดกับกระดูกต้องใช้เวลา 100 วันกว่าจะหายมิใช่รึ ? นี่ยังมิถึง 1 เดือนเลยด้วยซ้ำ จะมิเป็นไรจริง ๆ รึ ?”
หยูไห่เตะขาซ้ายแล้วเอ่ยว่า “นี่ขาข้า ข้าต้องรู้สภาพของมันดีอยู่แล้ว ถ้ามิใช้แรงหนัก ๆ ก็มิเป็นอะไรหรอก แค่เข็นตะกร้า 2 ใบเองมิใช่รึ ข้ามิเป็นไรหรอก...”
เมื่อเขายืนกรานเช่นนั้น นางหลิวก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมปล่อยเขาไป ตอนที่พวกเขากำลังออกจากบ้าน นางหลิวก็ได้เอ่ยเตือนเสี่ยวเฉาให้ช่วยหยูไห่เข็นรถด้วยและอย่าปล่อยให้เขาทำงานหนักจนเกินไป
รถเข็นนั้นเป็นรถเข็นไม้ล้อเดียว หยูไห่เอาเชือกของรถเข็นพาดบ่าแล้วจับด้ามจับไว้มั่น จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเข็นรถออกไปอย่างมั่นคง ทั้ง ๆ ที่เดินกะเผลกแต่ขาของเขาก็ยาวกว่าเสี่ยวเฉาอยู่มากโข ดังนั้นหนึ่งก้าวของเขาจึงเท่ากับ 2 - 3 ก้าวของนาง ! เสี่ยวเฉาแทบจะวิ่งไล่ตามเขาไม่ทัน อย่าเอ่ยถึงเรื่องช่วยเขาเข็นรถเลย
หยูไห่ที่เคยทำงานหนักต้องมาอยู่บ้านว่าง ๆ ไม่ได้ทำอะไรจนเกือบเดือน เขารู้สึกเหมือนกระดูกจะขึ้นสนิม และในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้ช่วย ทั้งร่างของเขาจึงเต็มไปด้วยพลัง เขาหันกลับไปและเห็นลูกสาวกำลังหอบ หยูไห่จึงหยุดและเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ขึ้นมา พ่อจะเข็นเจ้าไปเอง”
เสี่ยวเฉารีบส่ายหน้าและตอบกลับว่า “ข้าเดินเองได้ ขาของท่านพ่อยังมิหายดีเลย แล้วนี่ก็ยังต้องเข็นรถที่มีอาหารตุ๋นอยู่เต็มไปหมดอีก...”
ก่อนที่เสี่ยวเฉาจะเอ่ยจบ พ่อของนางก็ได้อุ้มนางด้วยแขนข้างเดียวและวางนางลงบนรถเข็น ถึงนางจะเคยถูกอุ้มมาหลายคราแล้วในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาตั้งแต่ย้ายร่างมาที่นี่ แต่นี่เป็นคราแรกที่เขาอุ้มนางแบบหนีบอยู่ใต้รักแร้แล้วยกขึ้น เสี่ยวเฉารู้สึกอายเล็กน้อยและมองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดเห็น
“ฮ่า ๆ นี่ลูกคิดจริง ๆ รึว่าตัวหนักแค่นี้จะทำให้พ่อเหนื่อยได้ ? เฉาเอ้อร์ เจ้าต้องกินเยอะ ๆ นะ ตัวเจ้าเหลือแต่กระดูกแล้ว !” หยูไห่รู้สึกปวดใจและเสียใจเป็นอย่างมาก ในใจเขาวางแผนจะซื้อข้าวขาวและแป้งสาลีให้ลูก ๆ หลังจากขายอาหารตุ๋นของวันนี้เสร็จ ช่วงอายุของเด็กที่กำลังโตเช่นนี้พวกเขาไม่ควรกินแต่แผ่นแป้งหยาบ...
พอมีพ่อมาด้วยเช่นนี้ เสี่ยวเฉาก็เดินอยู่พักหนึ่งแล้วก็นั่งรถเข็นอีกพักหนึ่ง ตอนที่พวกเขาพักอยู่ข้างถนน นางก็ช่วยนวดขาซ้ายให้พ่อและขอให้หินศักดิ์สิทธิ์ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าให้เขาด้วย ตอนที่พวกเขาไปถึงท่าเรือนั้นมันยังเช้าอยู่มาก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านปู่หลิว” เสี่ยวเฉาเอ่ยทักทายท่านปู่หลิวอย่างร่าเริง สองสามวันที่ผ่านมานี้การค้าของนางเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนอิจฉาตาร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ขายผักดองและอาหารประเภทผัด พวกเขาจะเหน็บแนมจิกกัดนางด้วยความอิจฉาเป็นระยะ แต่เสี่ยวเฉาขี้เกียจเถียงด้วยจึงทำเป็นไม่สนใจพวกเขา ท่านปู่หลิวเป็นคนเดียวที่ใจดีกับนางตั้งแต่ต้นจนจบ เขามักจะนำม้านั่งมาให้สองพี่น้องนั่งพักอยู่เสมอ
ท่านปู่หลิวกำลังนวดแป้งอยู่ เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเฉาเขาจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มและเอ่ยว่า “อ้าว เสี่ยวเฉาเองรึ ? วันนี้มาเร็วนี่ เหนื่อยหรือไม่ ? มานั่งพักก่อนมา อ้าว ฉีโตวมิได้มาด้วยรึ ?”
“ไม่เจ้าค่ะ ! วันนี้ท่านพ่อของข้ามาแทน” เสี่ยวเฉายิ้มพลางชี้ไปทางหยูไห่ที่กำลังจอดรถเข็นที่ข้างถนน
เฒ่าหลิวมองหยูไห่ที่เดินกะเผลกเข้ามา เขาจึงรู้ได้ทันที ‘มิน่าเล่าพวกเขาถึงให้เด็กเล็ก 2 คนมาขายของ แท้ที่จริงแล้วขาของพ่อเสี่ยวเฉา...’
“พ่อของเสี่ยวเฉามานั่งพักก่อนเร็วเข้า เดินมาไกลเยี่ยงนี้เจ้าต้องเหนื่อยมากเป็นแน่” ท่านยายหลิวเดินออกจากเพิงแล้วทักทายเขาอย่างอบอุ่น
หยูไห่ชะงักไปนิดหน่อย หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มและกล่าวขอบคุณทันที “ขอบคุณขอรับ ! พวกท่านคือท่านตาหลิวกับท่านยายหลิวที่เสี่ยวเฉาเอ่ยถึงบ่อย ๆ ใช่หรือไม่ขอรับ ? ต้องขอบคุณท่านทั้ง 2 คนเป็นอย่างมากที่ดูแลพวกเขาในช่วง 2 วันมานี้ ขอบคุณมาก ๆ ขอรับ ขอบคุณมาก !”
“มิต้องขอบคุณหรอก ! เสี่ยวเฉากับน้องชายเป็นเด็กที่เก่งทั้งคู่ ตั้งแต่พวกเขามาขายอาหารตุ๋นที่นี่ ก๋วยเตี๋ยวของร้านข้าก็ขายดีขึ้นเยอะเลย” เฒ่าหลิวเช็ดมือแล้วตอบกลับเสียงดัง
เขาเอ่ยตามความจริง แต่ก่อนที่ท่าเรือไม่มีอาหารที่ดีและราคาถูกเลย พวกคนงานส่วนใหญ่จึงมักจะนำอาหารมาจากที่บ้าน บางคนก็รวมเงินกันซื้อผักดองมากินด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมาทางด้านนี้กันนักหรอก
ตั้งแต่อาหารจานเนื้อราคา 1 อีแปะของเสี่ยวเฉาเป็นที่นิยมในหมู่คนงานขึ้นมา หลายคนที่ซื้อมันมาก็จะซื้อก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ จากร้านขายก๋วยเตี๋ยวใกล้ ๆ ด้วย การกินก๋วยเตี๋ยวอุ่น ๆ กับเนื้อย่อมดีกว่ากินอาหารแห้งแข็ง ๆ นอกจากร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว ร้านหมั่นโถวใกล้ ๆ ก็ขายดีขึ้นด้วย แต่เหล่าแม่ค้าพ่อค้าที่ขายผักดองต่างก็ไม่พอใจกันทั้งสิ้น