ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 86 ล่อปลา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 88 พ่อกับลูกสาว

Re-new ตอนที่ 87 ปลาหมัก


ตอนที่ 87 ปลาหมัก

นางหลิวรู้สึกกังวลเล็กน้อย “พวกเราต้องทอดด้วยน้ำมันรึ ? บ้านเรามีน้ำมันพอหรือไม่ ?  แม่ควร...ไปขอยืมจากบ้านท่านป้าโจวหรือไม่ ?”

เสี่ยวเฉาคิดเพียงชั่วครู่แล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อวานนี้ ข้ามิได้ใช้น้ำมันถั่วเหลืองไปมากเท่าใดนัก คาดว่าจะมีพออยู่นะเจ้าคะ แต่ต้องใช้น้ำตาลขาวทำปลาหมัก หากจะไปซื้อตอนนี้ก็คงจะช้าไปเสียแล้ว...มิรู้ว่าท่านป้าโจวจะมีเก็บไว้บ้างหรือไม่...”

ครอบครัวโจวเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในครอบครัวที่มีฐานะดีในหมู่บ้าน สามีของนางเป็นคนที่มีความสามารถในการหาเงิน ขณะที่ภรรยาก็มีรายได้จากการเลี้ยงไก่ นางฟางไม่เคยทำรุนแรงและเข้มงวดกับลูก ๆ ของนางเลย ถ้าพวกเขาอยากขอยืมน้ำตาลจากใครสักคนในหมู่บ้าน ครอบครัวของนางก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

นางหลิวถอดผ้ากันเปื้อนแล้วยิ้ม “เยี่ยงนั้นแม่จะไปถามให้ เจ้าต้องการมันกี่มากน้อยล่ะ ?”

เสี่ยวเฉาตอบว่า “แค่เอามาปรุงรส กำมือเดียวก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ...”

“กำมือเดียว ? เฉาเอ้อร์ เจ้ามิรู้ราคาของน้ำตาลขาวรึเยี่ยงไร ? 1 ชั่งราคา 260 อีแปะเชียวนะ ! 1 กำมือของเจ้าคาดว่าคงจะหลายสิบอีแปะ ถึงท่านป้าโจวจะตามใจลูก แต่นางคงมิซื้อเก็บไว้มากนักหรอก” หยูไห่อดเตือนขึ้นมาไม่ได้

เสี่ยวเฉามองเขาอย่างตกใจ “อะไรนะเจ้าคะ ? น้ำตาลแพงมากถึงเพียงนั้นเลยรึ ! แย่แล้ว ! เช่นนี้ครอบครัวทั่วไปก็คงซื้อมิไหวเป็นแน่...”

นางหลิวกรอกตาแล้วหัวเราะออกมา “น้ำตาลขาวมิใช่ของที่ชาวบ้านทั่วไปกินกันหรอกนะ อาหารแบบไหนกันที่ลูกจะทำ ? เหตุใดต้องใช้เครื่องปรุงแพงถึงเพียงนั้นเชียว แล้วเยี่ยงนี้จะขายได้กำไรรึลูก ?”

เสี่ยวเฉามองปลาหมักร้อยกว่าตัวในหม้อแล้วคิดคำนวนในใจ ถ้านางขายปลาตัวละ 1 อีแปะ นางจะได้เงิน 60 - 70 อีแปะโดยไม่มีปัญหาใด แต่ถ้าไม่ใช้น้ำตาลปรุงรสมันก็จะไม่อร่อย ถ้านางใส่ให้น้อยลงล่ะ...พอจะได้หรือไม่ ?

“ท่านแม่ ข้าจะไปที่บ้านของท่านป้าโจวด้วย” เสี่ยวเฉากัดมันเทศอีกสองสามคำแล้วยัดใส่มือของฉีโตว นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามนางหลิวออกไปทางประตูหน้าบ้านทันที

พอเดินออกจากบ้านมาประมาณ 1 ลี้ก็มาถึงบ้านของครอบครัวโจว นางหลิวเคาะประตูหน้าบ้านและมีเด็กหนุ่มอายุราว 12 - 13 ปีมาเปิดประตูให้ เขามีผิวสีแทน ดวงตาเหมือนพระจันทร์เสี้ยว มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยทำให้ดูเหมือนยิ้มทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ยิ้ม  รูปลักษณ์ของเขาเป็นที่สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น

“เหวินหัว ! เหตุใดวันนี้มิได้ตามพ่อของเจ้าไปขายของล่ะ ?” นางหลิวประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเขาจึงถามขึ้น

โจวเหวินหัวไอสองสามครั้งและมีเสียงหายใจแรงดังออกมาจากหน้าอก เขากลั้นอาการคันคอไว้แล้วกลืนน้ำลายจึงเอ่ยออกมาว่า “ตอนที่ข้ากลับบ้านมาเมื่อวาน ข้าถอดเสื้อเพราะรู้สึกร้อน และผลที่ได้คือมิสบายครับ เป็นหวัด ท่านพ่อก็เลยให้ข้าพักที่บ้านสักสองสามวัน แค่ก แค่ก...ท่านน้าหยู น้องเสี่ยวเหลียน มาหาท่านแม่รึขอรับ ?”

นางหลิวถามออกไปด้วยความเป็นห่วงว่า “ไปหาหมอมาหรือยัง ? อย่าได้ปล่อยให้อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องใหญ่เป็นอันขาด !”

“หมอโหยวตรวจอาการของข้าและจ่ายยาให้แล้วล่ะขอรับ ข้ากินยาไป 2 ถ้วยแล้ว  ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้วขอรับ แค่ก แค่ก...ท่านแม่ ! ท่านน้าหยูกับน้องเสี่ยวเหลียนมาหาน่ะ...” ดูเหมือนโจวเหวินหัวจะเชื่อว่าเสี่ยวเฉาคือหยูเสี่ยวเหลียน เสี่ยวเฉาจึงยิ้มให้กับเขาโดยไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดอันใดทั้งสิ้น

นางฟางเดินออกมาและเห็นสองแม่ลูก นางยิ้มและเอ่ยทักว่า “เสี่ยวเฉา กลับมาจากท่าเรือแล้วรึ เป็นเยี่ยงไรบ้างวันนี้ อาหารตุ๋นของเจ้าอร่อยมากถึงเพียงนั้นจะต้องมีลูกค้าเยอะมากเป็นแน่ เหวินหัว นี่น้องเสี่ยวเฉาน่ะ มิใช่เสี่ยวเหลียน เสี่ยวเฉาจะผิวขาวและเรียบเนียนกว่าเสี่ยวเหลียน แล้วก็ตัวเตี้ยกว่านิดหน่อยอีกด้วย ถ้ามิดูดี ๆ ก็ยากที่จะแยกพวกนางทั้งสองคนออก”

โจวเหวินหัวจับท้ายทอยด้วยความขัดเขินที่จำผิดคน เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “เยี่ยงนั้นนี่ก็คือน้องเสี่ยวเฉา แต่ก่อนน้องเสี่ยวเหลียนเป็นคนที่มากับท่านน้าหยูตลอด ข้าก็เลยคิดว่าเป็นนาง ได้ยินจากชานหูว่าตอนนี้สุขภาพของน้องเสี่ยวเฉาแข็งแรงขึ้นแล้ว ข้าดีใจด้วยนะ”

เด็กอายุ 12 - 13 ปีเป็นนักพูดที่เก่งถึงเพียงนี้แล้ว เขามีคุณสมบัติของคนขายของที่ดีเลยทีเดียว เสี่ยวเฉายิ้มให้เขาแล้วเอ่ยว่า “คราก่อน ๆ ที่ข้ามาที่นี่ ท่านพี่เหวินหัวมิอยู่บ้าน  นั่นก็ช่วยมิได้ที่ท่านพี่จะเข้าใจผิด ก็พวกเราเพิ่งเคยเจอกันคราแรกนี่เจ้าคะ บางคราท่านแม่ยังจำพวกเราสองคนสลับกันเลยเจ้าค่ะ แต่จะทำเยี่ยงไรได้ พวกเราดันหน้าเหมือนกันเอาเสียมาก ๆ นี่...”

โจวเหวินขำสีหน้าที่ดูเหมือนจนปัญญาของนาง เขารู้สึกหายใจไม่ค่อยออกเนื่องจากไม่สบาย แต่ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

“ท่านป้าโจวมีน้ำตาลขาวหรือไม่เจ้า ? ข้าอยากทำอาหารแบบใหม่แต่ขาดเครื่องปรุงอยู่สองสามอย่าง...” เสี่ยวเฉามองท่านป้าโจวอย่างคาดหวัง นางกลัวว่าท่านป้าโจวจะตอบว่าไม่มี ถ้าพวกเขาไม่มีจริง ๆ วันนี้นางคงไม่สามารถทำปลาหมักได้...

นางฟางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “บังเอิญจริง ๆ ! ถ้าเจ้ามาเร็วกว่านี้วันนึงเราก็คงมิมี เมื่อวานลุงโจวกลับมาจากขายของ เขาซื้อขนมน้ำตาลราคา 40 - 50 อีแปะมาให้ลูก ๆ ด้วย มีเงินทั้งทีแทนที่จะซื้อเนื้อสัตว์หรือข้าวขาวกับแป้งสาลีมาเพิ่มด้วย แต่กลับซื้อขนมน้ำตาลแพง ๆ มา...หลิงหลง เอาขนมน้ำตาลที่เหลือเมื่อวานมาให้น้องเสี่ยวเฉาลองชิมหน่อยเถิด !”

แม้ว่านางฟางจะบ่น แต่แววตาของนางก็มีรอยยิ้ม สำหรับนางฟางกับสามีนั้น พวกเขาจะลำบากสักหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่พวกเขาจะไม่ให้ลูก ๆ เป็นเหมือนพวกเขาตอนที่ยังเด็กที่ไม่มีประสบการณ์และไม่รู้เรื่องอันใดเลย พวกเขาไม่อยากให้ลูกของพวกเขาถูกปฏิบัติเป็นเหมือนเป็นพวกบ้านนอกตอนที่เข้าไปในเมือง

เสี่ยวเฉาดูที่มือของหลิงหลงและเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าน้ำตาลขาวนั้นเหมือนคล้ายกับน้ำตาลกรวด มิน่าถึงได้ราคา 1 อีแปะต่อชิ้น

นางเลือกน้ำตาลขนาดเท่าไข่มา 1 ก้อน หนักประมาณ 1 เหลียง ราคาราว 15 - 16 อีแปะ นางยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านป้าโจวเจ้าคะ ข้าอยากใช้น้ำตาลทำอาหารแล้วเอาไปขายที่ท่าเรือ น้ำตาลก้อนนี้ราคาเท่าใดรึเจ้าคะ ? ข้าจะเอาของท่านป้ามาใช้ทำเงินฟรี ๆ มิได้หรอกนะเจ้าคะ...”

นางฟางมองเสี่ยวเฉาแล้วยิ้ม “ความสัมพันธ์ของครอบครัวเรายังต้องพูดถึงเรื่องเงินกันอีกรึ ? พี่เหวินหัวมิสบาย กินอะไรมิค่อยลง แต่เมื่อวานเขากินอาหารตุ๋นที่ป้าเอากลับมาแล้วชมไม่หยุดเลย อีกทั้งยังเติมข้าวอีกถ้วยด้วย เอาเยี่ยงนี้ ถ้าเจ้าทำอาหารแบบใหม่เสร็จเมื่อใดก็ส่งมาให้ป้าบ้างก็พอ ตกลงหรือไม่ ?”

เสี่ยวเฉาคิดแล้วก็พยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ ! ถึงท่านป้ามิเอ่ยออกมา ข้าก็มิลืมเอามาให้ที่บ้านของท่านป้าลองชิมกันอยู่แล้ว ขอบคุณมากนะเจ้าคะ เยี่ยงนั้นข้ากลับไปทอดปลาก่อนนะเจ้าคะ...”

ขากลับนางหลิวไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่คิดในใจว่า ‘ถึงปลาจะมิเสียเงินซื้อมา แต่พวกเครื่องปรุงกับน้ำมันอย่างน้อยก็ 30 - 40 อีแปะแล้ว...พวกเราจะได้กำไรจริง ๆ รึ ? ’

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวเฉาก็ได้เตรียมเครื่องปรุงกับวัตถุดิบที่จำเป็นทันที พอปลาหมักได้ที่แล้ว นางจึงเทน้ำมันถั่วเหลืองครึ่งชั่งลงในกระทะเหล็กแล้วควบคุมเตาไฟ พอควันเริ่มขึ้นนางก็พรมน้ำลงไป วิธีนี้จะช่วยกำจัดกลิ่นในน้ำมันถั่วเหลืองได้เป็นอย่างดี

จากนั้นก็ดับไฟในเตาแล้วรอจนกว่าความร้อนของน้ำมันลดลง ถึงตอนนั้นก็ใส่ปลาเค็มลงไปทอดทีละตัว

ปกติแล้วเตาในชนบทมักจะมีเตาวางหม้อกระทะอยู่ 2 เตา ข้างหนึ่งใช้ทำอาหาร ส่วนอีกข้างใช้หุงข้าว เสี่ยวเฉาใส่ต้นหอมซอย,ขิง และกระเทียมลงในหม้ออีกใบแล้วเกลี่ยให้ทั่วเป็นชั้น จากนั้นก็วางปลาทอดอย่างเป็นระเบียบโดยตัวใหญ่อยู่ด้านล่างตัวเล็กอยู่ด้านบน

หลังจากนั้นก็เทน้ำมันที่ใช้ทอดปลาออกครึ่งหนึ่ง แล้วไว้ครึ่งหนึ่งจากนั้นก็นำพริกลงไปทอด และจากนั้นก็ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู, น้ำตาล, เหล้าเหลือง, ต้นหอม, ขิง, กระเทียม, พริกไทย, ยี่หร่า, อบเชย และเครื่องเทศอื่น ๆ หลังจากนั้นก็เหยาะซอสถั่วเหลืองลงไป  แล้วเติมน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ลงไปในปริมาณที่เหมาะสมแล้วเติมฟืนใต้เตาไฟเพื่อที่จะใช้ความร้อนสูง

พอได้ที่ก็เทลงบนปลาที่อยู่อีกหม้อและเอาฝาไม้ปิดให้แน่น นางสั่งให้ฉีโตวให้เอาหินมาวางทับบนฝาไม้ไว้หลายก้อน จากนั้นก็เคี่ยวไฟอ่อน ๆ ราว 2 เค่อแล้วจึงดับไฟ จากนั้นก็เปิดฝาเพื่อให้มันเย็นลง

ปลาหมักจะรสชาติดีที่สุดตอนที่เย็นตัวลงแล้ว เสี่ยวเฉาหยิบปลาตัวเล็ก ๆ ออกมาหลายตัวและให้พ่อแม่, เสี่ยวเหลียน และฉีโตวลองชิม มันมีรสชาติเผ็ดและหวาน มีกลิ่นหอมของน้ำมัน หลังจากทอดและเคี่ยวแล้ว ก้างปลาก็นุ่มเป็นอย่างมากจนสามารถละลายในปากได้ แม้แต่หัวปลาก็เคี้ยวกินได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่มีส่วนใดที่เสียเปล่าเลย

“ดีมาก ! อร่อยมาก ! ไป...แบ่งไปให้ป้าโจว !” นางหลิวทนกินปลาอีกตัวไม่ได้ เพราะปลาพวกนี้ทุกตัวต้องเอาไปขายเพื่อหาเงิน !

เสี่ยวเฉาเอาปลา 20 ตัวใส่จานแล้วบอกให้ฉีโตวเอาไปส่งบ้านท่านป้าโจว นางเอาไหดินเผามาและใส่ปลาที่เหลือไว้ด้านใน นางต้องรีบไปที่ท่าเรือและขายปลาทั้งหมดนี้ก่อนที่คนงานท่าเรือจะกลับบ้านไปกินอาหารเย็น

เสี่ยวเหลียนเห็นว่านางยุ่งกับการขายอาหารตุ๋นและทำอาหารมาทั้งวันแล้วและไม่มีเวลาพักผ่อนเลย จึงเอ่ยขึ้นว่า “น้องสาม ให้ข้าไปที่ท่าเรือกับฉีโตวดีหรือไม่ ?”

เสี่ยวเฉาตื่นแต่เช้าและรีบไปที่ท่าเรือ พอขายอาหารตุ๋นเสร็จนางก็ต้องไปที่ตลาดเพื่อซื้อหัวหมูและวัตถุดิบอื่น ๆ กับเครื่องปรุงอีก พอกลับถึงบ้านยังไม่ทันได้พักหายใจนางก็ออกไปจับปลา หลังจากนั้นก็ทำปลาหมักอีก วันนี้นางคงจะเหนื่อยมากจริง ๆ

เสี่ยวเฉาต้องเดินไปกลับราว 1 ชั่วยาม หากเดินไปอีกคราในยามเว่ยก็ไม่รู้ว่านางจะเดินไปไหวอีกหรือไม่ 2 วันที่ผ่านมานี้ฉีโตวคุ้นกับการขายแล้ว ดังนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว

“ปลาตัวใหญ่ขาย 2 ตัว 1 อีแปะ พยายามขายตัวใหญ่ก่อน แล้วถ้าตัวเล็กขายมิดีก็ขาย 3 ตัว 1 อีแปะ...ก็แค่พยายามขายให้ได้มากที่สุด”

ฉีโตวเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “มิต้องห่วง ! ข้ารับรองจะทำให้สำเร็จ”

หลังจากมองเสี่ยวเหลียนกับฉีโตวจากไป เสี่ยวเฉาก็มิได้ไปพัก นางต้องตุ๋นหัวหมู, กระเพาะหมู และไส้หมู เพื่อขายเช้าวันพรุ่งนี้ต่ออีก

เมื่อเห็นว่าหัวหมูกับน้ำซอสอยู่ในหม้อแล้ว เหลือเพียงแค่ต้องเคี่ยวไฟอ่อน ๆ นางหลิวก็เร่งให้ลูกสาวไปพักผ่อนเร็ว ๆ ทันที

“ประเดี๋ยวแม่จะดูที่เหลือให้เอง...คราหน้าเจ้าเพียงแค่เตรียมซอสให้ก็พอ ที่เหลือให้พวกเราจัดการเอง มิต้องทำทุกอย่างด้วยตนเองหรอกลูก เจ้าเพิ่งจะแข็งแรงขึ้น อย่าทำให้ตนเองเหนื่อยมากนักเลย !”

เสี่ยวเฉาพยักหน้าและตอบกลับว่า “ตกลงเจ้าค่ะ ตกลง ! ข้ารู้ว่าท่านแม่คุมไฟได้เก่งกว่าข้า ! เยี่ยงนั้นต่อไปนี้ข้าจะให้ท่านแม่เป็นคนคุมไงก็แล้วกัน...”

เมื่อนางออกจากครัว นางก็เห็นพ่อของนางกำลังทำตาข่ายอันใหม่ นางเดินเข้าไปใกล้และเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ พวกเราไปจับปลาที่หนองน้ำกันดีหรือไม่ ?”

หยูไห่สนใจอยู่บ้างแต่เขามองเสี่ยวเฉาด้วยความเป็นห่วงและเอ่ยว่า “เจ้ามิเหนื่อยบ้างรึลูก ? น่าจะกลับเข้าห้องไปพักผ่อนเสียหน่อยนะ ส่วนเรื่องตกปลาพ่อจะไปลองเช้าวันพรุ่งนี้เอง...”

จากที่นางสังเกตในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เสี่ยวเฉาเห็นว่าครอบครัวของนางเป็นแบบ ‘แม่เข้มงวดพ่อตามใจ’ ปกตินางหลิวจะรับบท ‘ตำรวจ’ และทำหน้าที่อบรมสั่งสอนและดุพวกลูก ๆ ตรงกันข้ามกับหยูไห่ที่เป็นคนคอยตามใจลูก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสี่ยวเฉา  เขาแทบจะไม่ปฏิเสธคำขอของนางเลยสักครั้งเดียว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด