Re-new ตอนที่ 85 รับศิษย์
ตอนที่ 85 รับศิษย์
ฉีโตวเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำแล้วเขียนชื่อของเขาลงบนโต๊ะไม้อย่างมั่นใจ ‘หยูฝาน’
หยวนซือเหนียนกินอาหารตุ๋นด้วยความพอใจพร้อมกับตั้งใจมองเด็กน้อยเขียนตัวหนังสือ เมื่อเขาเห็นว่าลายมือของเด็กคนนี้มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เขาจึงยิ้ม “มิเลว เด็กคนนี้สอนได้ดี ! หยูฝาน เจ้าอยากไปเรียนที่โรงเรียนหรงซวนกับข้าหรือไม่ ?”
เจ้าของร้านจินฟังคำสนทนาของพวกเขาอยู่ด้านข้างจึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที เด็กน้อยคนนี้โชคดีเอาเสียมาก ๆ เขามีพี่สาวที่มีพรสวรรค์ในการทำอาหาร ทั้ง ๆ ที่เด็กคนนี้รู้เพียงแค่วิธีเขียนชื่อของตนเองเท่านั้น มหาบัณฑิตหยวนก็รับเขาเข้าเรียนด้วยตนเองแล้ว ตรงกันข้ามกับลูกของเขาที่ต้องพึ่งความสามารถของตนเองในการสอบเข้าโรงเรียน เป็นเพราะเขาแท้ ๆ...น่าเสียใจยิ่งนัก เขาเสียใจกับการกระทำคราก่อนของเขาเป็นอย่างมาก !
ฉีโตวกระพริบตาสองสามครั้งแล้วยิ้มกว้าง “ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะขอรับ แต่พวกเรามิมีเงินมากพอจะจ่ายค่าเล่าเรียนหรอกขอรับ เอาไว้พอเรามีเงินมากพอแล้ว ข้าจะไปหาท่านปู่ที่ในเมืองนะขอรับ...”
เจ้าของร้านจินจึงรีบเตือนพวกเขาทันที “อาจารย์หยวนเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงในยุคของพวกเรานะ โรงเรียนหรงซวนที่เขาก่อตั้งก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ดีที่สุดในราชวงศ์หมิงของพวกเรา มีคนมากมายอยากสมัครเข้าเรียนแต่ก็เข้ามิได้ ! เด็กน้อย...เจ้าอย่าได้พลาดโอกาสเยี่ยงนี้เป็นอันขาด !”
“ไอหยา ! ท่านปู่ยอดเยี่ยมมาก ๆ เลยขอรับ ! วันหน้าข้าก็อยากเป็นดังเช่นท่านปู่ เป็นคนที่คนอื่น ๆ เคารพนับถือ !” ฉีโตวอุทานออกมาอย่างชื่นชมขณะที่มองหยวนซือเหนียน นี่เป็นคราแรกในชีวิตที่เด็กชายได้พบเจอคนที่เขาชื่นชมมากยิ่งนัก
“ฮ่า ๆ ! เจ้าหนูจะเป็นเหมือนข้าไปทำไม ? มิอยากเป็นขุนนางระดับสูงรึ พ่อแม่กับพี่ ๆ ของเจ้าจะได้มิโดนดูถูกหรือโดนข่มเหงรังแกอีกต่อไปไง !” หยวนซือเหนียนหัวเราะเสียงดังเนื่องจากเขาอารมณ์ดี การกล่าวแบบเด็ก ๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจ
ฉีโตวทำหน้ายุ่งจากความปั่นป่วนในใจ เขาจึงเอ่ยว่า “เยี่ยงนั้น...จากที่ท่านปู่กล่าวมา เป็นขุนนางก็มิเลวเช่นกัน ข้าอยากเป็นอย่างท่านปู่ เป็นคนที่ทุกคนเคารพนับถือ แต่ก็อยากเป็นขุนนางระดับสูงด้วย ท่านพ่อท่านแม่กับพี่ ๆ จะได้สบาย ข้าดูโลภมากเกินไปหรือไม่ขอรับ ?”
หยูเสี่ยวเฉาคิดว่าคำพูดของเขาตลกจึงเขกหัวน้องชายแล้วเอ่ยว่า “ยังมิทันจะเข้าโรงเรียนเลยก็เริ่มคิดไปไกลเสียแล้ว ที่ข้าอยากส่งเจ้าเข้าโรงเรียนก็เพราะจะได้ให้เจ้าเป็นคนที่มีการศึกษามีวัฒนธรรม คิดว่าการเป็นขุนนางมันง่ายนักรึเยี่ยงไร ? ต้องผ่านการสอบตั้งเยอะ ดูท่านอาสามสิ เรียนมาเกิน 10 ปีแล้วยังสอบมิผ่านระดับเขตเลย ถ้าหัวใหญ่ขึ้นก็ต้องสวมหมวกใหญ่ขึ้น อย่าได้หัวสูงเกินไปนัก มิเยี่ยงนั้นตอนตกลงมาจะเจ็บหนักเอาได้ !”
หยวนซือเหนียนวางตะเกียบลงหลังกินเนื้อสัตว์หมดแล้ว เขาลูบเคราด้วยความพอใจ จากนั้นก็ยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าหนู ที่พี่สาวของเจ้ากล่าวก็เป็นความจริงอยู่บ้างนะ แต่พวกเราเป็นมนุษย์ก็ควรมีเป้าหมายและความฝัน แต่ต้องเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง การเอาแต่นอนฝันกลางวันแล้วมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานเกินไปมิใช่ความคิดที่ดีเลย ! เอาล่ะ สายมากแล้ว เราควรออกเดินทางได้แล้ว แม่หนูน้อย ข้ารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าเสมอ เจ้าสามารถส่งน้องชายเข้าเรียนที่โรงเรียนหรงซวนของข้าได้ ทางโรงเรียนมีการยกเว้นค่าเรียนกับค่าใช้จ่ายบางส่วนสำหรับนักเรียนที่ทำคะแนนได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังให้รางวัลเป็นหนังสือ, พู่กัน กับหินฝนหมึกอีกด้วย ขอเอ่ยอีกคราว่าอาหารตุ๋นของเจ้าอร่อยมากยิ่งนัก วันหน้าข้าก็อยากจะกินมันอีกครา”
เมื่อเจ้าของร้านจินเห็นมหาบัณฑิตหยวนลุกขึ้น เขาจึงรีบก้าวเข้ามาช่วยถือกระเป๋า เขาคิดว่าอาจารย์หยวนดูอารมณ์ดีจึงพูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง ครอบครัวของข้าเป็นพ่อค้ามา 6 รุ่นแล้ว ข้ามีลูกชายเพียงคนเดียวตอนนี้อายุก็มากแล้ว ก็เลยรักเขามากจนเกินไป ข้าจะเปลี่ยน ข้าจะเปลี่ยนแน่นอน ! ตั้งแต่จัวเอ้อร์ถูกไล่ออกจากโรงเรียน เขาก็ไม่กินไม่ดื่มอะไรจนเกือบจะตายตอนฤดูหนาวที่ผ่านมา ท่านจะ...ท่านจะให้โอกาสเขาอีกสักคราได้หรือไม่ขอรับ ?”
หยวนซือเหนียนมองดูรถม้าสีทองหรูหราตรงหน้าแล้วมองไปที่เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “มิมีผู้ใดสามารถได้รับชัยชนะและเกียรติยศมาโดยมิผ่านความยากลำบาก การเป็นบัณฑิตเป็นงานที่ยากและมิมีผลกำไร เป็นเรื่องง่ายที่จะฟุ่มเฟือยหลังจากการประหยัดอดออม แต่การประหยัดมันยากหากเคยชินกับความหรูหราฟุ่มเฟือยไปแล้ว ข้าจะให้โอกาสเขาอีกสักคราก็ได้ แต่ถ้าจินเหวินจัวมิสามารถทำตนเองให้คุ้นเคยกับความยากลำบากได้ ก็ออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ !”
“เขาทำได้ ! เขาทำได้ ! จัวเอ้อร์ทนความลำบากได้แน่นอนขอรับ ! ขอบคุณท่านอาจารย์หยวน ขอบคุณ...” เมื่อเจ้าของร้านจินเห็นว่าความพยายามของเขาได้ผลอย่างที่เขาต้องการในที่สุด น้ำตาของเขาก็ไหลลงมาทันที เขาเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่และเอ่ยขอบคุณบัณฑิตคนนั้นซ้ำ ๆ อยู่หลายครา
เจ้าของร้านจินที่ดีใจเป็นอย่างมาก เขาพามหาบัณฑิตที่อิ่มหนำสำราญไปจากท่าเรือ มิมีผู้ใดที่ลืมเด็กหญิงขายอาหารตุ๋นที่ท่าเรือได้ นางคือคนที่ทำให้พวกเขาสมหวังและมีความสุข...
มหาบัณฑิตหยวนซือเหนียนกลายเป็นขาประจำของท่าเรือถังกู่ เขามักจะใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วยามจากเมืองมาที่ท่าเรือเพื่อแย่งอาหารกับพวกคนงานท่าเรือ และแน่นอนว่าเสี่ยวเฉาย่อมไม่ปล่อยให้เขาเบียดเสียดกับพวกคนงานเพื่อซื้ออาหารตุ๋นจริงอย่างแน่นอน ถึงเยี่ยงไรแล้วเขาก็เป็นถึงอาจารย์ของน้องชายของนางนี่ !
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ! วันนี้พวกเราเจออาจารย์ที่โรงเรียนของพี่เสี่ยวเหวิน เขารับข้าเข้าเรียนด้วยล่ะ !” ฉีโตวตื่นเต้นมาตลอดทางที่กลับบ้านและถามเสี่ยวเฉาไม่หยุดว่าเขาไปเรียนที่โรงเรียนในเมืองได้จริง ๆ รึ ? นี่เป็นความจริงเยี่ยงนั้นรึ ? เขาถามอยู่หลายครั้งหลายคราจนเสี่ยวเฉาคิดว่ามันทั้งตลกและน่าเศร้าใจในเวลาเดียวกัน
หยูไห่กำลังตัดฟืนอยู่ เขาหยุดตัดแล้วเดินเข้ามาหยิบตะกร้าไปจากมือของลูกสาวแล้วขยี้ผมของลูกชาย รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความอับจนหนทางและความรู้สึกผิด “ฉีโตว พ่อรู้ว่าลูกอยากเรียนจริง ๆ แต่สถานการณ์ของบ้านเราตอนนี้มันยังมิดีพอที่จะให้ลูก...ตอนนี้ลูกยังเด็ก รออีกสักปีค่อยไปโรงเรียนเถิด ตกลงหรือไม่ ?”
เพื่อนบ้านของพวกเขา ลูกชายคนโตของตระกูลเฉียนได้สอบผ่านเข้าเรียนที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง นี่จึงมิใช่ข่าวใหม่ในหมู่บ้านตงชาน กล่าวกันว่าโรงเรียนหรงซวนได้สอนนักเรียนที่สอบจอหงวนได้ที่หนึ่ง 2 คน,ได้ที่สอง 1 คน และได้ที่สาม 1 คนภายใน 10 ปีแรกที่ดำเนินการสอน ชาวบ้านทุกคนต่างกล่าวกันว่าครอบครัวเฉียนมีโอกาสที่จะมีขุนนางระดับสูงอยู่ในตระกูล !
โชคดีที่ครอบครัวเฉียนเลี้ยงเป็ด 200 ตัวในตอนที่เขารับเข้าเรียน พวกเขาจึงสามารถหาเงินได้จากการขายเนื้อเป็ดและไข่เป็ดให้แก่ร้านอาหารในเมือง มิเยี่ยงนั้นพวกเขาคงไม่สามารถจ่ายค่าเรียนที่เป็นเงินเกือบ 1 ตำลึงต่อเดือนได้ ครอบครัวส่วนใหญ่ในหมู่บ้านทำเงินต่อเดือนไม่ได้มากมายถึงเพียงนั้น
การที่ครอบครัวต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 1 ตำลึงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้ย่ำแย่เป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฉาขายอาหารตุ๋นในช่วง 2 วันมานี้ พวกเขาคงต้องดิ้นรนกันเป็นอย่างมากกว่าจะหาเงินได้ 300 อีแปะ อ่า ! เขานี่มันเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เขาไม่สามารถส่งลูกเข้าโรงเรียนอย่างที่ลูกต้องการได้...
เสี่ยวเฉาสังเกตเห็นว่าพ่อกำลังโทษตนเองอยู่ นางจึงเดินเข้ามาดึงแขนเขาแล้วยิ้มให้ “อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนหรงซวนชอบรสชาติอาหารตุ๋นของข้าเป็นอย่างมาก เขาสัญญากับพวกเราว่าเราสามารถติดค่าเล่าเรียนไว้ก่อนได้แล้วพอมีเงินก็ค่อยไปจ่ายเขา อาจารย์ใหญ่บอกด้วยว่าทางโรงเรียนจะทดสอบนักเรียนเป็นระยะ และจะยกเลิกค่าเล่าเรียนให้คนที่ทำคะแนนได้ดี การสอบจะจัดขึ้นทุก ๆ 3 เดือน ตราบใดที่ฉีโตวขยันเรียน พวกเราก็แค่ต้องเก็บเงินค่าเรียนของเขาเพียง 3 เดือนเท่านั้น...มิต้องห่วงหรอกท่านพ่อ พอขาของท่านพ่อหายดีและผ่านฤดูที่สัตว์ออกลูกไปแล้ว ท่านพ่อก็จะออกไปล่าสัตว์ช่วยครอบครัวได้อีก อีกเดือนเดียวผักของพวกเราก็พร้อมจะส่งขายที่ตลาดแล้ว เดี๋ยวพวกเราก็มีเงินพอสำหรับค่าเรียน 3 เดือนแล้วนะเจ้าคะ”
หยูไห่ลูบขาที่ยังลงน้ำหนักไม่ได้มากแล้วถอนหายใจเบา ๆ หลังจากที่เสี่ยวเฉานวดให้เขาทุกวัน ขาของเขาก็ฟื้นตัวขึ้นมามากแล้ว ตอนนี้เขาเดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำแล้ว และยังสามารถทำงานทั่ว ๆ ไปรอบบ้านได้อีกด้วย
ก่อนหน้านี้หมอในเมืองบอกเขาว่าไม่สามารถเก็บขาเอาไว้ได้ ซึ่งทำให้เขาแทบอยากจะตายเสียตั้งแต่ตอนนั้น การที่ขาของเขาดีขึ้นได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่หมอจากร้านยาถงเหรินก็ยังรู้สึกว่าเป็นปาฏิหาริย์ เขาควรพอใจกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่ใจจริงของเขาก็อยากให้ขาของเขาหายสนิทจนสามารถออกไปล่าสัตว์ในภูเขาได้เช่นกัน
เมื่อเสี่ยวเฉาเห็นว่าพ่อของนางก้มหน้าคิดอะไรบางอย่างอยู่ นางจึงหันความสนใจไปที่ฉีโตว นางลูบใบหน้าที่เริ่มจะมีเนื้อขึ้นมาบ้างแล้วยิ้มกว้าง “ฉีโตวน้อยของเราก็แค่ต้องรออีกสักสองสามวัน พอข้าหาเงินได้มากกว่านี้ ข้าจะตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ 2 ชุด เจ้าจะได้ไปโรงเรียนด้วยชุดใหม่ แล้วพอท่านพี่เสี่ยวเหวินกลับมาบ้านเมื่อใด พวกเราค่อยถามเขาว่าต้องเตรียมอะไรไปโรงเรียนบ้าง พวกเราจะปล่อยให้บัณฑิตน้อยหยูฝานถูกรังแกมิได้ !”
ฉีโตวดูจะพอใจกับชื่อบัณฑิตน้อยหยูฝานของเขาเป็นอย่างมากและหัวเราะอย่างมีความสุข “พี่สาม ท่านพี่มิต้องเตรียมอะไรหรอก ข้าเคยได้ยินท่านพี่เสี่ยวเหวินกล่าวเรื่องนี้แล้ว ทางโรงเรียนมีที่ให้นักเรียนอยู่และมีที่ให้กินด้วย ท่านพี่มิต้องตัดชุดใหม่ด้วย คนที่โรงเรียนดูถูกคนที่ทำตัวมิสง่างาม มิใช่คนที่ยากจน ! ตราบใดที่ข้าทำตัวดี ๆ ก็มิมีใครกล้าดูถูกข้าได้หรอก !”
“อ่า ! พวกเขาดูถูกคนที่ทำตัวมิสง่างาม มิใช่คนที่ยากจน นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าเรียนมาจากท่านพี่เสี่ยวเหวินรึ ? ฉีโตวเจ้าก็เห็นว่าการค้าของพวกเราดีมากถึงเพียงใด เจ้ามิคิดรึว่าการหาเสื้อผ้าใหม่ให้เจ้า 2 ชุดเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย มิต้องเอ่ยแล้ว เอากระเป๋าเงินของพวกเราออกมาแล้วนับว่าวันนี้พวกเราได้เงินเท่าใด ?” ตอนที่พวกเขาเดินกลับบ้าน เด็กน้อยรู้สึกว่ากระเป๋าเงินหนักมาตลอดทาง
นางหลิวกับเสี่ยวเหลียนวางงานเย็บผ้าของพวกเขาลงแล้วรับตะกร้าที่ใส่หัวหมูกับไส้ไป พวกนางยิ้มให้เสี่ยวเฉาแล้วเอ่ยว่า “ไปพักสักหน่อยเถิด ! ให้พวกเราทำความสะอาดเอง วางใจได้ ถึงพวกเราจะมิสามารถช่วยปรุงรสได้แต่พวกเราก็ช่วยอย่างอื่นได้นะ...”
เสี่ยวเฉาเองก็มีความสุขที่ให้พวกนางรับงานหนักไปและนั่งนับเงินกับฉีโตวอย่างดีใจ การค้าของพวกเขาวันนี้ดีกว่าเมื่อวานมากโข พวกเขาขายอาหารตุ๋นได้เงินมาทั้งหมด 130 อีแปะ ถ้ารวมกับเงินที่เจ้าของร้านจินให้มาด้วยก็จะมากกว่า 200 อีแปะ !
ที่ท่าเรือวันนี้นางได้ถามไถ่เกี่ยวกับราคาสินค้าในเมือง ผ้าเรียบ ๆ 1 พับที่ตลาดขายประมาณ 230 - 240 อีแปะ ถ้าพวกเขาซื้อผ้าให้ฉีโตวสัก 3 ฉื่อแล้วซื้อฝ้ายสักครึ่งชั่งทำเสื้อบุฝ้าย 2 ชุดก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเงินแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขามีเงินไม่พอซื้อของใช้จำเป็น 4 อย่างของบัณฑิตนั่นก็คือ หมึก, พู่กัน, กระดาษ และหินฝนหมึก นางได้ยินมาว่าของพวกนั้นแพงมากเสียด้วย !
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องทำงานหนักอีกสักสองสามวันเพื่อที่จะต้องหาเงินมาให้ได้ ! เสี่ยวเฉามองกองเหรียญอีแปะอย่างเหม่อลอยแล้วเค้นสมองคิดหาวิธีทำเงินเพิ่ม
“พี่สาม ปลาเหลืองเมื่อวานเอามาต้มขายได้หรือไม่ ? ท่านลุงที่ท่าเรือเอ่ยถามว่าพวกเราจะขายอาหารตุ๋นยามเว่ยด้วยหรือไม่ พี่สาม ?” ฉีโตวก็พยายามคิดหาทางแก้ไขปัญหาเดียวกับที่เสี่ยวเฉาคิดอยู่
การมีรายได้ 200 อีแปะต่อวันทำให้เขาได้ลิ้มรสชาติของความสำเร็จ ถ้าพวกเขายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปอีกสัก 5 - 6 วันพวกเขาคงมีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนของฉีโตวได้ ! ด้วยรายได้ที่มั่นคงเขาจึงจะสามารถเรียนที่โรงเรียนได้อย่างสบายใจ น่าเสียดายที่พวกเขาซื้อหัวหมูได้แค่หัวเดียวกับเครื่องในหมู 1 ตัวจากตลาดต่อวันเท่านั้น วัตถุดิบพวกนั้นทำอาหารตุ๋นได้ไม่มากพอสำหรับตอนเช้าด้วยซ้ำ
ปลาเหลืองรึ ? นางรู้วิธีทำปลานี้อยู่สองสามอย่างนี่ อย่างเช่น ปลาเหลืองทอด, ปลาเหลืองกรอบ หรือปลาเหลืองเปรี้ยวหวาน...อาหารพวกนี้อร่อยทุกอย่างแต่ใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการทำ อีกทั้งนอกจากจะต้องเสียเงินซื้อปลาเหลืองแล้ว ยังต้องเสียค่าเครื่องปรุงกับน้ำมันที่ใช้ในสูตรด้วย ถ้าพวกเขาขาย 2 ชิ้นต่อ 1 อีแปะ พอหักต้นทุนแล้วนางกล้าพนันได้เลยว่าพวกเขาจะเหลือกำไรไม่มากนัก...