Re-new ตอนที่ 84 คนตะกละ
ตอนที่ 84 คนตะกละ
ตอนนี้เสี่ยวเฉาเหลือแต่อาหารตุ๋นที่แยกชนิดไว้แค่ไม่กี่ห่อเท่านั้น และนางสัญญากับหัวหน้าคนงานซุนไว้ก่อนแล้วว่าจะเหลือไว้ให้เขา 1 ห่อ ดังนั้นนางจึงเหลือแค่หูหมู 1 ห่อ,ปากหมู 1 ห่อ และไส้หมู 2 ห่อ
“ได้เจ้าค่ะ ! ทั้งหมด 4 อีแปะเจ้าค่ะ !” เสี่ยวเฉาใช้กระดาษมันห่ออาหารตุ๋นทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันทันที ฉีโตวแบมือออกมารอรับเงิน
เจ้าของร้านจินอึ้งไป 4 อีแปะเองรึ ? เขาเชิญมหาบัณฑิตหยวนกินอาหารราคา 4 อีแปะงั้นรึ ? น่าละอายยิ่งนัก นี่ไม่ใช่การแสดงความเคารพที่เหมาะสมต่อมหาบัณฑิตหยวนเลย เขาจะทำเยี่ยงไรดี ? อาจารย์หยวนยังรอเขาอยู่ตรงนั้น อ่า เหตุใดเขาต้องอาสามาวิ่งทำอะไรเช่นนี้ด้วย ?
“ขอโทษนะเจ้าคะ ท่านยังต้องการอาหารตุ๋นพวกนี้อยู่หรือไม่ ?” เสี่ยวเฉาสังเกตเห็นว่าตอนที่ชายคนนี้เอื้อมมือไปหยิบเงินที่กระเป๋า เขามีท่าทีราวกับมีใครมาแช่แข็งเขาให้ขยับไม่ได้ นางจึงถามขึ้นเบา ๆ ด้วยความสับสนงุนงงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขา
ฉีโตวทำสีหน้า ‘ข้าเข้าใจดี’ แล้วเอ่ยอย่างสงสารว่า “พี่สามคิดว่าท่านลุงคนนี้ถูกขโมยเงินไปหรือไม่ ? ได้ยินว่าที่ท่าเรือมีพวกล้วงกระเป๋าอยู่ด้วย...พี่สาม เขาน่าสงสารมากนะ พวกเราให้อาหารตุ๋นเขาไปห่อหนึ่งฟรี ๆ ดีหรือไม่... ?”
คนงานท่าเรือที่มาถึงช้าและไม่ได้ซื้ออาหารตุ๋นเลยก็ถามชายคนนั้นซ้ำว่า “ท่านยังอยากได้อยู่หรือไม่ ? เสี่ยวเฉา ถ้าเขามิเอาก็เอามาให้ข้าห่อหนึ่ง นี่เงิน !”
เจ้าของร้านจินกัดฟันแล้วกระทืบเท้า “ใครว่าข้ามิเอา เจ้ายังมีเหลืออยู่ในตะกร้าอีกนี่ เอามันมาให้หมดเลย”
เสี่ยวเฉารีบตอบว่า “ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ สองห่อนี้มีคนอื่นจองเอาไว้แล้ว ข้าเหลืออยู่เพียงแค่ 4 ห่อนี้จริง ๆ ต้องขอโทษด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะมาขายอาหารตุ๋นทุกวัน ราคาห่อละ 1 อีแปะ ถ้าท่านชอบก็กลับมาอุดหนุนอีกได้นะเจ้าคะ”
เจ้าของร้านจินกลัวว่าอาจารย์หยวนจะรอนานจนหมดความอดทน เขาจึงหยิบอาหารตุ๋นมาและโยนเงินให้ 1 ก้อนที่มีค่าเท่ากับ 100 อีแปะ เขาหันกลับและวิ่งจากไปทันทีราวกับมีไฟเผาอยู่ที่ก้น เสี่ยวเฉาถือเงินก้อนนั้นไว้แล้วคิดว่าจะทำเยี่ยงไรดีเพราะเงินจากการขายอาหารวันนี้ไม่มากพอจะทอนให้เขา เมื่อนางเห็นชายร่างอ้วนวิ่งจากไป นางจึงเรียกเขาทันที “ไอหยา ! ข้ายังมิได้ทอนเงินให้ท่านเลย !”
“มิต้องทอน เจ้าเก็บที่เหลือไว้ได้เลย” เจ้าของร้านจินมักจะใช้เงินก้อนแบบนี้เป็นรางวัลให้กับคนรับใช้ระดับต่ำในบ้านของเขา ในสายตาของเขาเงินนี้ไม่ได้มีค่ามากไปกว่าเงิน 1 อีแปะ
หยวนซือเหนียนกับหลานชายของเขานั่งลงที่ร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้ ๆ พวกเขาสั่งก๋วยเตี๋ยว 2 ชามและกำลังรอให้เจ้าของร้านจินกลับมา
“เหตุใดถึงไปนานนัก ? ถ้ามันถูกขายไปจนหมดแล้วเล่า ? ไอหยา รู้หรือไม่ว่าปู่แกคนนี้อยากกินมากแค่ไหน ฮึ่ม ! ถ้าข้ามิได้ลองกิน ‘อาหารตุ๋น’ นี่ล่ะก็คอยดูเอาไว้เถิด”
ถึงจุดนี้หยวนซือเหนียนได้สลัดคราบบัณฑิตออกไปหมดแล้ว และเริ่มแสดงท่าทางคล้ายกับเด็กดื้อจอมเกเรมากขึ้นทุกที หยวนหยุ่นซีพยายามจะไม่กรอกตามองบนใส่ท่านปู่และถอนหายใจอยู่เงียบ ๆ ...แต่ทว่าเขารู้สึกว่าเด็กผู้หญิงที่ขายอาหารตุ๋นผู้นั้นดูคุ้น ๆ อยู่ชอบกล...
“มาแล้ว ! มาแล้ว !” หยวนซือเหนียนยืดหลังตรงเปลี่ยนท่าทีทันควัน เขากลับมามีท่าทางสง่างามและลึกลับอย่างบัณฑิตอีกครา หยวนหยุ่นซีถึงกับปากกระตุก เขาก้มหน้าลงมองด้านล่างทันที
เจ้าของร้านจินยิ้มแย้มแจ่มใส เขาขอยืมชามจากร้านก๋วยเตี๋ยวและใส่อาหารตุ๋นลงไปอย่างละชาม แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านมีน้ำมันงาหรือไม่ ? เติมน้ำมันงาลงไปหน่อยน่าจะช่วยทำให้รสชาติดีขึ้น...”
เสี่ยวเฉาที่วิ่งตามมาเมื่อได้ยินคำพูดของเขาจึงยิ้มขึ้น “ความคิดดีนะเจ้าคะ ถ้าใส่น้ำมันงาลงไปหน่อยแล้วโรยกระเทียมอีกนิด ต้องอร่อยขึ้นอย่างแน่นอน ! ข้าเอาเงินทอนมาให้เจ้าค่ะ 96 อีแปะ...”
อาจารย์หยวนมองเงินในมือนางแล้วเอ่ยว่า “เขาบอกแล้วว่าให้เก็บเงินทอนไว้ก็เก็บไปเถอะ ชายผู้นี้รวยจะตายไป เงินมากกว่านี้ก็มิทำให้เขาสะเทือนหรอก”
เจ้าของร้านจินสั่นกลัวอยู่ในใจ เขาไปล่วงเกินชายชราผู้นี้อีกแล้วรึ ? มีเงินเยอะแล้วมันผิดหรือเยี่ยงไร ? ถ้าอาจารย์หยวนยอมรับลูกชายของเขาเข้าโรงเรียนอีกครา เขาจะยอมทิ้งความร่ำรวยของครอบครัวแล้วไปอยู่อย่างยากจนข้นแค้นก็ยังได้...
“อ่า...อาจารย์หยวน พวกเขามิมีน้ำมันงา ประเดี๋ยวข้าไปหาจากที่อื่นมาให้ก็แล้วกัน...” เจ้าของร้านจินใช้โอกาสนี้หลบออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัด เขาหาร้านที่ขายอาหารผัดและโยนเงินให้พวกเขาอีกก้อนเพื่อแลกกับน้ำมันงาที่เหลือมาซึ่งเหลืออยู่แค่ครึ่งขวดเล็ก ๆ เท่านั้น
เมื่อเสี่ยวเฉาสังเกตเห็นว่าทั้งชายอ้วนและบัณฑิตแก่เป็นคนประเภทที่ไม่ต้องการทำอะไรด้วยตนเองมากนัก นางจึงเริ่มทุบกระเทียมอย่างชำนาญและจัดการปรุงอาหารตุ๋นด้วยน้ำมันงา หลังจากนั้นนางก็เอ่ยว่า “เชิญกินได้เลยเจ้าค่ะ !”
“ได้ !” หยวนซือเหนียนใช้พลังใจทั้งหมดต้านทานความอยากและยื่นตะเกียบออกไปคีบหูหมูขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ค่อย ๆ เอาใส่ปากอย่างช้า ๆ
หยวนหยุ่นซีที่อยู่ข้าง ๆ เขาต้องห้ามตนเองไม่ให้กรอกตาอีกครั้ง ไม่มีใครเข้าใจท่านปู่ได้ดีเท่าเขาหรอก หากไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยแล้วล่ะก็ เขาคงสวาปามอาหารตรงหน้าเขาทั้งหมดไปนานแล้ว...แต่เด็กผู้หญิงคนนี้ดูคุ้น ๆ เยี่ยงไรก็ไม่รู้เหมือบกับเคยพบมาก่อน
หยวนหยุ่นซีพูดแดกดันกับตัวเองไม่ทันจบ เขาก็เห็นท่านปู่ของเขาทิ้งมาดอันสง่างามไปแล้ว มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของชายชรา ส่วนปากของเขาก็ขยับไม่หยุด ตะเกียบในมือของท่านปู่คีบอาหารราวกับเป็นเครื่องจักร มันส่งอาหารเข้าปากด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าเหมือนกลัวว่าใครจะมาแย่งเขากิน
“ท่านปู่ขอรับ ช้า ๆ ลงหน่อยเถิดขอรับ ! หูหมูต้องเคี้ยวช้า ๆ ละเอียด ๆ จึงจะได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงได้” ฉีโตวน้อยผู้น่ารักและใจดีรู้สึกสงสารขึ้นมาเมื่อเห็นมหาบัณฑิตยัดอาหารตุ๋นใส่ปากจนเต็ม ‘ท่านปู่คนนี้คงมิได้กินเนื้อมานาน ดูหิวเอามาก ๆ และดูตะกละยิ่งนัก’ เสียงเตือนของฉีโตวช่วยให้มหาบัณฑิตหยวนรู้ตัวว่ามีคนอยู่รอบ ๆ ! แต่ในสายตาของเขาภาพลักษณ์และชื่อเสียงภายนอกไม่ได้สำคัญเท่าการได้เพลิดเพลินกับอาหารอร่อย ๆ อย่างเต็มที่ แต่เขาก็รู้ว่าการโยนภาพลักษณ์ทิ้งไปก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดเช่นกัน
เขาค่อย ๆ ลดความเร็วในการกินลงและเริ่มเคี้ยวแต่ละคำอย่างละเอียดก่อนจะกลืน ขณะที่กินเขาก็ตบโต๊ะชมเชยว่า “แม่หนูน้อย นี่เรียกว่า ‘หูหมูราดน้ำมันพริก’ ใช่หรือไม่ ? ยอดเยี่ยมมาก ! สีแดงสดใส สัมผัสนุ่มเด้ง รสชาติจัดจ้านเข้มข้น... อืม อันนี้เล่า เรียกว่าอะไรรึ ?”
“อันนั้นเรียกว่าไส้หมูตุ๋นเจ้าค่ะ !” เสียงของเสี่ยวเฉาดังชัดเจนสดใสเป็นพิเศษ หยวนซือเหนียนคีบไส้หมูเข้าปาก เขาลิ้มรสชาติของมันอย่างช้า ๆ พร้อมกับพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
“รสชาติเข้มข้น สัมผัสนุ่มเหนียว มันแต่มิเลี่ยน เยี่ยงนี้กินได้ทุกวันมิมีเบื่อ...ดีมาก ดีมาก ! ไส้หมูตุ๋น หืม ? เยี่ยงนั้นเจ้าก็ใช้เครื่องในสัตว์มาทำน่ะสิ”
“ท่านปู่ฉลาดมากเลยเจ้าค่ะ ข้าใช้ไส้หมูกับเครื่องปรุงหลาย ๆ ชนิดมาทำ มันมีรสชาติเผ็ดและเข้มข้น เป็นอาหารที่เข้ากันได้ดีกับเหล้า ไส้หมูตุ๋นมีความหลากหลายมากเลยนะเจ้าคะ กินเย็น ๆ กับเครื่องปรุงก็ได้ เอาไปผัดร้อน ๆ ก็ได้ ใช้เคี่ยวซุปก็ได้ แต่ละแบบก็จะมีรสชาติพิเศษของตนเอง” เมื่อเสี่ยวเฉาเห็นว่าชายชราดูจะยอมรับเรื่องกินเครื่องในได้ นางจึงบอกส่วนผสมกับวิธีปรุงอาหารให้เขารู้อย่างตื่นเต้น
ตอนแรกเจ้าของร้านจินก็พยักหน้าไปเรื่อย ๆ ตามคำวิจารณ์ของชายชรา แต่พอได้ยินว่ามันคืออะไร เขาจึงตัวแข็งทื่อขึ้นทันที ไส้หมูรึ ? เขาเชิญมหาบัณฑิตหยวนกินไส้หมูเยี่ยงนั้นรึ ? จบกัน จบสิ้นแล้ว ! โอกาสในการกลับเข้าเรียนของลูกชายของเขาหมดสิ้นแล้วเป็นแน่ !
ไอหยา ! ลูกของเขามีพ่อโง่ ๆ เช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? เจ้าของร้านจินอยากเอาหัวโขกกับโต๊ะให้ตายไปเสียประเดี๋ยวนี้เลย !
“ดี ! ดี ! ข้าเคยได้ยินว่าฮ่องเต้องค์ก่อนทรงคิดถึงอาหารจากบ้านเกิดของเขา ของโปรดของพระองค์คือ ‘ไส้หมูเผ็ด’ ตอนที่ได้ยินพระองค์ตรัสถึงไส้หมูเผ็ดว่านุ่มละเอียดมากเพียงใด รสชาติอันน่าเหลือเชื่อที่กระจายอยู่ในปากนั้น...ฟังแล้วทำเอาข้าน้ำลายสอ เกือบจะหยดออกมาจริง ๆ แล้วด้วย...”
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม !” พอหยวนหยุ่นซีเห็นว่าท่านปู่ของเขาลืมมารยาทผู้ดีไปแล้วเมื่อเอ่ยถึงเรื่องอาหาร เขาก็กระแอมไอออกมาสองสามครั้งเพื่อเตือนชายชราให้นึกถึงสถานะของตนเอง
หยวนซือเหนียนทำตาโตเป็นไข่ห่านแล้วบ่นพึมพำออกมาอย่างเคือง ๆ “มาไออะไรตอนนี้ ? อาหารคือพระเจ้าของผู้คน ฮ่องเต้องค์ก่อนยังเคยตรัสเลยว่า ‘กองทัพต้องเดินด้วยท้อง’ พูดเรื่องอาหารมันผิดตรงไหนกัน ? ชอบกินอาหารดี ๆ อร่อย ๆ มันน่าอายรึเยี่ยงไร ? ไปห่าง ๆ ข้าเลยไป จะได้มิต้องเห็นหน้าเจ้า เสียอารมณ์ข้าหมดพอดี !”
“ไอหยา ? ท่านคนนั้น...คนนั้น...” พอหยูเสี่ยวเฉามองหน้าเด็กคนนั้นดี ๆ นางจึงจำได้ว่าเขาเป็นใคร แต่นางจำชื่อเขาไม่ได้ “ท่านคือเพื่อนของคุณชายสามโจวใช่หรือไม่ ? เพิ่งลงเรือมารึเจ้าคะ ?”
ในที่สุดหยวนหยุ่นซีก็นึกออกว่าเขาเคยเจอเด็กผู้หญิงคนนี้ที่ไหน เขายิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูหยูนี่เอง...”
“หลานรัก เจ้ารู้จักแม่หนูน้อยคนนี้ด้วยรึ ? เหตุใดปู่มิเคยได้ยินหลานพูดถึงเรื่องที่มีเพื่อนทำอาหารเก่งเช่นนี้เลยเล่า ?” หยวนซือเหนียนมองหลานชายของเขาแล้วหันไปหาหยูเสี่ยวเฉาพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร “แม่หนูน้อย ไส้หมูตุ๋นของเจ้าอร่อยยิ่งนัก บ้านเกิดของเจ้าอยู่ที่ใดรึ ? เป็นคนบ้านเดียวกับฮ่องเต้องค์ก่อนหรือไม่ ? เจ้ารู้วิธีทำหัวหมูอร่อย ๆ หรือไม่ ?” หยวนหยุ่นซีขมวดคิ้ว ด้วยสีหน้าจนปัญญา
หยูเสี่ยวเฉากลั้นขำกับการตอบโต้ระหว่างปู่จอมเกเรกับหลานชายวัยประถมของเขา นางมองทั้งสองคนต่อล้อต่อเถียงกันอย่างสนุกปาก แต่แล้วคำถามที่ไม่คาดคิดก็ทำให้นางเย็นวาบไปทั้งสันหลังทันที รอยยิ้มของนางแข็งค้างไปแวบนึง แล้วรีบส่ายหน้าทันที “บรรพบุรุษของข้าอยู่ที่หมู่บ้านประมงเล็ก ๆ แถวนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเจ้าค่ะ ทุกคนหาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา ครอบครัวของข้ายากจนยิ่งนัก ข้าเลยต้องหาวิธีทำอาหารจากของที่ผู้อื่นมิกินกัน ก็เลยได้วิธีทำหูหมูกับไส้หมูมา ข้าก็เป็นพียงแค่ชาวบ้านธรรมดา จะมาจากบ้านเกิดเดียวกันกับฮ่องเต้องค์ก่อนได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะ...”
นางแน่ใจแล้วว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นคนที่ย้ายร่างมาเช่นเดียวกันกับนาง มีเพียงคนที่ย้ายร่างมาเท่านั้นถึงจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์และก่อตั้งราชวงศ์หมิงที่แตกต่างจากที่นางรู้จักในชาติก่อนของนางได้ ตลกสิ้นดี นางวางแผนจะหาเงินเงียบ ๆ และไม่อยากทำให้ตนเองเป็นเป้าสายตา ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ย้ายร่างมาเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามกับฉีโตวที่ตอบอย่างภูมิใจว่า “อาหารตุ๋นของพี่สามอร่อยที่สุดแล้วขอรับ ท่านปู่ เราขายหัวหมูตุ๋นที่ท่านปู่พูดถึงหมดไปแล้ว แต่ปากหมูพวกนี้ก็อร่อยมากเช่นกันนะขอรับ มันแต่ไม่เลี่ยนแล้วก็เผ็ดอร่อย ถ้าท่านปู่มิเชื่อลองชิมดูได้นะขอรับ”
“ฮ่า ๆ ! ดีมาก ๆ ! เจ้าหนู พูดจาดีใช้ได้เลยนี่ เจ้ากี่ขวบแล้วล่ะ ? เริ่มหัดอ่านหนังสือบ้างแล้วหรือยัง ?” หยวนซือเหนียนคีบเอาผักกับเส้นก๋วยเตี๋ยวบางส่วนออกจากชามแล้วใส่ปากหมูลงไปด้วย เขาคลุกมันเข้าด้วยกันแล้วเริ่มกินก๋วยเตี๋ยวกับอาหารตุ๋นคำใหญ่
ฉีโตวยิ้มกว้าง “6 ขวบแล้วขอรับ พี่สามบอกข้าว่าพอหาเงินได้จากการขายอาหารตุ๋น ท่านพี่ก็จะส่งข้าเข้าไปเรียนโรงเรียนในเมือง หมู่บ้านของเรายากจน ที่นั่นมิมีโรงเรียนหรอกขอรับ แต่เพื่อนบ้านของเรา พี่เสี่ยวเหวิน กลับบ้านตอนวันหยุดบ่อย ๆ แล้วสอนข้ากับพี่เสี่ยวหวู่จำตัวอักษร ตอนนี้ข้าเขียนชื่อตนเองได้แล้ว และก็อ่านตัวอักษรได้ 156 ตัวแล้วขอรับ !”
“โอ้ ? รู้จักตัวอักษรอยู่บ้างกับเขียนชื่อตนเองได้แล้ว ดี ดี ! เยี่ยงนั้นเขียนชื่อของเจ้าให้ตาแก่คนนี้ดูหน่อยได้หรือไม่ ?” มหาบัณฑิตหยวนสนใจเด็กน้อยคนนี้อย่างชัดเจน โรงเรียนของเขาเริ่มมีชั้นเรียนเริ่มต้นสำหรับเด็ก ๆ ที่ฉลาดหัวไวในพื้นที่มาได้ราว 2 ปีแล้ว